อวี๋เซ่าชิงไม่ใช่ทั้งหน่วยกล้าตายและศิษย์ของวิหารเจาหยาง เขาไม่มีสัมผัสต่อหลัวช่าโลหิตอย่างพวกอิ่งสือซัน แต่แม้จะรับรู้ถึงลมหายใจของราชาหลัวช่า ก็ไม่มีทางคิดว่าเป็นเด็กอายุแปดเก้าขวบที่นอนขดอยู่บนพื้น
คิดว่าเด็กนั่น…ไม่ นั่นไม่ใช่เด็ก แต่เป็นราชาหลัวช่า!
ขณะราชาหลัวช่าอ้าปากกว้างเผยเขี้ยวอันแหลมคม หมายจะกัดอวี๋เซ่าชิง อวี๋เซ่าชิงก็ตกใจรีบร้อนโยนเจ้าสิ่งนั้นออกไป ทว่าก็สายเกินไป มันราวกับติดแน่นอยู่บนแขนของเขา ไม่ว่าใช้แรงอย่างไรก็ไม่อาจสลัดมันออกได้
ขณะที่มันกำลังจะกัดคอของเขา ทันใดนั้น เงาร่างเล็กสีดำก็พุ่งจากอากาศมาอยู่ด้านหลังราชาหลัวช่า เหยียดมือเรียวยาวคว้าคอราชาหลัวช่า แยกออกจากแขนอวี๋เซ่าชิง จากนั้นก็ฟาดร่างมันลงกับพื้นอย่างโหดเหี้ยม!
ราชาหลัวช่าไม่ทันตั้งตัว ถูกเหวี่ยงกระแทกอย่างแรงจนส่งเสียงกรีดร้อง
อวี๋เซ่าชิงยังไม่ได้รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น เสียงกรีดร้องนั้นดังจนปวดแก้วหู เขาปิดหูหันตัวไปด้านข้างตามสัญชาตญาณ
ในเวลาเดียวกัน อิ่งสือซันและอิ่งลิ่วก็รีบวิ่งมาที่ห้อง
พวกเขาแบกร่างไร้สติของเด็กหนุ่มสาวสองคนไว้บนหลัง และใช้เชือกมัดไว้อย่างดี แม้พวกเขาจะวิ่งอย่างเร็วรี่ก็ไม่จำเป็นต้องห่วงว่าจะหล่นลงมา
เมื่อมาถึงประตูก็ได้ยินเสียงกรีดร้องที่รุนแรงนั้น อิ่งลิ่วรู้สึกชาหนังศีรษะไปครู่หนึ่ง “โอ้สวรรค์ เหตุใดถึงมีคนที่กรีดร้องได้ไม่น่าฟังเช่นนี้?”
อิ่งสือซันสูดหายใจ
นี่ไม่ใช่เสียงกรีดร้องธรรมดา แต่เป็นเสียงคำรามจากราชาหลัวช่า ที่แฝงด้วยแรงกดดันและกำลังภายในของราชาหลัวช่า สามารถทำให้จิตใจของอีกฝ่ายสั่นสะเทือนหวาดผวา
ราชาหลัวช่าสกุลซางก็ยังไม่มีพลังแบบนี้ อีกทั้งในอากาศก็ไม่มีกลิ่นคาวเลือดเข้มข้นรุนแรงเช่นนี้
นี่ไม่ใช่หลัวช่าโลหิต!
แท้จริงแล้วมันคืออะไร อิ่งสือซันก็ตอบไม่ได้
เขาแค่อยากช่วยอวี๋เซ่าชิงออกมาให้เร็วที่สุด แม้จะไม่เข้าใจว่าเหตุใดคุณชายถึงยอมให้อวี๋เซ่าชิงมากับพวกเขา แต่สิ่งที่แน่นอนคือ พวกเขาไม่อาจปล่อยให้อวี๋เซ่าชิงเป็นอะไรไปแม้แต่น้อย ไม่เช่นนั้น คงยากที่พวกเขาจะอธิบายให้คุณชายและฮูหยินเข้าใจ!
“นายท่าน!”
อิ่งสือซันก้าวเข้ามาในห้องอย่างรีบร้อน เมื่อเห็นอวี๋เซ่าชิงปิดหู เขาก็รีบก้าวไปพยุงอวี๋เซ่าชิงที่ก้มตัวลงขึ้นมา จากนั้นสายตาเขาก็กวาดไปเห็นราชาหลัวช่าที่ถูกกระแทกลงกับพื้น
ที่แท้ราชาหลัวช่าตนนั้นก็คือเด็ก?
แต่ในไม่ช้า อิ่งสือซันก็ไม่คิดเช่นนั้น
ได้ยินเสียงกร๊อบแกร๊บของกระดูก ราชาหลัวช่าในร่าง ‘เด็ก’ ค่อยๆ เหยียดกายขยายออกในชั่วพริบตา เขากลายเป็นอีกคน!
อวี๋เซ่าชิงตกตะลึง “นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
“วิชาย่อกระดูก!” อิ่งสือซันกล่าวอย่างเคร่งขรึม
วิชาย่อกระดูกเป็นวิชาที่เลื่องลือว่าสามารถย่อกระดูกของตนเองในขอบเขตพลังเล็กๆ ได้ ส่วนใหญ่ใช้เพื่อการหลบหนี ในจงหยวนอิ่งสือซันก็เคยเห็นวิชาย่อกระดูก ทว่าสามารถหดตัวลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ต่างจากราชาหลัวช่าตรงหน้าที่สามารถแปลงกายเป็นเด็กได้
วิชานี้ ช่างแข็งแกร่งจนน่ากลัว
อิ่งสือซันกล่าวอย่างเคร่งขรึม “นายท่าน เราไปกันเถอะ!”
ขณะที่ทั้งสองกำลังจะจากไป ราชาหลัวช่าในห้องก็ระเบิดโทสะ ดวงตาส่องประกายกระหายเลือด พุ่งเข้าหาทั้งสอง!
อิ่งสือซันผลักอวี๋เซ่าชิงออกไป หมายจะใช้ตัวบังอวี๋เซ่าชิง แต่ทันใดนั้นเงาร่างหนึ่งก็พุ่งเข้ามาปล่อยหมัดใส่ราชาหลัวช่าลอยขึ้นไปอย่างโหดเหี้ยม!
อิ่งสือซันตกตะลึงตาค้าง
นี่มันเรื่องอะไรกัน? ในห้องนี้ยังมีผู้ใดอีกหรือ? เขาเป็นหน่วยกล้าตายที่มีประสาทสัมผัสทั้งห้าที่แตกต่างจากคนทั่วไป แต่กลับไม่ได้สังเกตเห็นเลย!
หากอีกฝ่ายหมายเอาชีวิตของพวกเขา…
อิ่งสือซันร่างกายสั่นสะท้าน!
โชคดีที่เงาดำร่างเล็กดูเหมือนไม่ได้คิดจะฆ่าพวกเขา ทั้งยังใช้กำลังภายในส่งพวกเขาออกมา
ราชาหลัวช่าตามพวกเขามาหลายครั้งหลายครา แต่ก็ถูกอีกฝ่ายใช้หมัดเล็กๆ ทุบลงกับพื้นทุกครั้งไป!
อิ่งสือซัน “…”
เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าฉากนี้มันดูคุ้นๆ…
เนื่องจากอีกฝ่ายไม่ใช่ศัตรู พวกเขาจึงไม่มีอะไรต้องกังวล อิ่งสือซันรีบวิ่งเข้าไปในห้อง ได้พบกับพ่อมดน้อยตัวจริง ภายใต้การคุ้มกันของเงาดำนั้น และพาพ่อมดน้อยออกจากห้องไป
อวี๋เซ่าชิงต้องการเข้าไปค้นหาความจริงภายในห้อง แต่อิ่งสือซันก็หยุดไว้
“นายท่าน ไปกันเถอะขอรับ!” อิ่งสือซันกล่าว
อวี๋เซ่าชิงลังเล “อ่า แต่ว่า…อิ่งลิ่วคนเดียวจะหยุดมันได้หรือ?”
“นายท่าน เรียกข้าหรือ?” อิ่งลิ่วแบกคนวิ่งสวบๆ เข้ามา
“หือ?” อวี๋เซ่าชิงมองไปที่อิ่งลิ่ว แล้วก็มองร่างเล็กสีดำในห้องที่ต่อสู้กับราชาหลัวช่าจนแยกไม่ออก “ไม่ใช่เจ้ารึ?”
“ไม่ใช่นะ” อิ่งลิ่วส่ายหัวอย่างงวยงง มองเข้าไปในห้องด้วยความสงสัย “หือ?”
อิ่งสือซันกระแอม “ไม่ต้องมองแล้ว! อาจเป็นศัตรูของพวกเขาเอง!”
อิ่งลิ่วพยักหน้าเห็นด้วย “ก็จริง มีพ่อมดหลายคนถูกขังอยู่ที่นี่ พวกเขาคงมีศัตรูไม่น้อยเป็นแน่!”
“เหตุใดข้ารู้สึกว่า…” อวี๋เซ่าชิงจ้องมองร่างเล็กทรงพลังภายในห้อง ขมวดคิ้วอย่างประหลาดใจ
อิ่งสือซันกระแอมเบาๆ ก้าวเท้ายาวไปบดบังสายตาของเขา และวางเด็กที่กำลังหลับสนิทลงในมือของเขา “เด็กคนนี้ต้องฝากนายท่านแล้ว!”
“โอ้ ได้สิ” ความคิดของอวี๋เซ่าชิงถูกขัดได้สำเร็จ เขาอุ้มเด็กไปขึ้นเรือกับอิ่งสือซันและอิ่งลิ่ว
ราชาหลัวช่าต้องการไล่ตามพวกเขาเพียงใด แต่ก็ถูกหมัดน้อยๆ ต่อยกลับมาอย่างโหดเหี้ยม
ราชาหลัวช่าทนไม้ทนมือยิ่งกว่าหลัวช่าโลหิต
เรือจอดที่เกาะนี้นานเท่าใด ราชาหลัวช่าก็ถูกทุบตีนานเท่านั้น เรียกได้ว่าน่าเวทนาอย่างยิ่ง
ว่ากันว่าหลังจากอวี๋เซ่าชิงและอิ่งสือซันพาคนกลับไปที่เรือ พวกเขาก็ไปที่ห้องชุยเฒ่าทันที อวี๋หวั่นและเด็กหนุ่มก็อยู่ที่นั่นด้วย
อวี๋หวั่นได้รู้ชื่อของเขาจากปากของเด็กหนุ่ม เขาชื่อมู่ชิง ปีนี้อายุสิบเจ็ด ศิษย์พี่ชายของเขา มู่ถิง เป็นลูกพี่ลูกน้องฝ่ายมารดา ทั้งสองได้พบกับอาจารย์ด้วยกันในยามแห้งแล้งอดอยาก มู่ชิงมีคุณสมบัติสูงกว่า เดิมทีอาจารย์จึงคิดจะเก็บเขาไปคนเดียว เป็นเขาที่ขอร้องวิงวอนต่อผู้เป็นอาจารย์ จนท้ายที่สุดจึงยอมรับมู่ถิงไว้อย่างไม่เต็มใจ
ศิษย์พี่สาวของมู่ชิงที่มีแซ่ว่าโจว ชื่ออวี่เยี่ยน เป็นบุตรสาวโดยสายเลือดของอาจารย์ ว่ากันว่าศิษย์น้องชายของมู่ชิงมีภูมิหลังบางอย่าง อาจารย์ให้ความสนใจกับเขามากกว่าบุตรสาวแท้ๆ ไม่เช่นนั้น เขาคงไม่เฝ้าฝึกฝนเขาอย่างจริงจังเช่นนี้ ทั้งยังมอบมรดกวิชาทั้งหมดให้กับเขา
“เขาชื่ออะไร?” อวี๋หวั่นจับชีพจรศิษย์น้องชายคนเล็ก
มู่ชิงกล่าวว่า “ศิษย์น้องของข้าใช้แซ่อาจารย์ข้า ชื่อโจวจิ่น เขาไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
อวี๋หวั่นปรบมือลุกขึ้นยืน “ถูกคนพวกนั้นวางยาสลบเล็กน้อย ไม่เป็นไรมาก หนอนกู่ในร่างกายพวกเขาก็ถูกขับออกไปแล้ว ระยะนี้กำลังภายในอาจอ่อนแอลง ยาที่ให้เจ้าไป จำไว้ว่าต้องให้พวกเขากินตรงเวลา”
“ข้าทำได้ ขอบคุณมาก…” มู่ชิงใช้คำพูดสับสนเล็กน้อย “ฮูหยินน้อยเยี่ยน”
อวี๋หวั่นตอบรับเบาๆ และกล่าวว่า “เจ้าบอกว่าศิษย์น้องของเจ้าเก่งกาจ เขาเก่งกาจเพียงใดกัน?”
“ข้าบังเอิญได้ยินการสนทนาระหว่างท่านอาจารย์กับคนอื่น เขาบอกว่าศิษย์น้องมีความสามารถฉลาดหลักแหลม ศิษย์ทั่วไปไม่อาจเทียบได้ แต่น่าเสียดายที่อาจารย์อ่อนแอเกินกว่าจะปกป้องเขา จึงขอให้ศิษย์น้องไม่แสดงพลังของตนต่อหน้าผู้อื่น”
อวี๋หวั่นแกะป้ายคำสั่งของพ่อมดออกจากเอวของโจวจิ่น “เช่นนั้น เขาก็เป็นมากกว่าพ่อมดใหญ่”
“ใช่” มู่ชิงกล่าวอย่างเป็นเกียรติ
อวี๋หวั่นถามว่า “ระดับของพ่อมดแบ่งเช่นไร?”
มู่ชิงอธิบายอย่างอดทน “เทียนตี้เสวียนหวง[1] ไปถึงระดับตี้ ก็เรียกว่าพ่อมดใหญ่ได้แล้ว ข้าคิดว่าศิษย์น้องของข้าน่าจะเป็นพ่อมดใหญ่ที่อายุน้อยที่สุดในประเทศมรกต ข้าเดาว่าความแข็งแกร่งของเขาอาจไปถึงแล้วระดับเทียนแล้ว และเป็นไปได้ว่าอาจจะสูงกว่าระดับเทียน”
อวี๋หวั่นลูบคาง “ราชาพ่อมดเล่า?”
มู่ชิงคิดว่าเธอจะถามว่าพ่อมดระดับเทียนเก่งกาจหรือไม่? เก่งมากเพียงใด? ไม่คิดว่าเมื่อเธออ้าปากก็เอ่ยถึงราชาพ่อมด ความกระหายของเธอ…ที่แท้ก็มากเช่นนี้เชียวหรือ?
มู่ชิงอดไม่ได้ที่จะชะงักไปครู่หนึ่ง “ราชาพ่อมดนั้นอยู่เหนือกว่าระดับเทียน แต่ทว่าที่ประเทศมรกตไม่มีราชาพ่อมด และข้าก็ไม่เคยได้ยินว่าที่ใดมีราชาพ่อมดมาก่อน นั่นเป็นเพียงตำนานที่เล่าลือกัน”
อวี๋หวั่นเล่นกับป้ายคำสั่งพ่อมดในมือ “เป็นไปได้หรือไม่ว่าศิษย์น้องของเจ้าเป็นราชาพ่อมด?”
“เอ่อ…” มู่ชิงตกตะลึง
พรสวรรค์ของศิษย์น้องชาย เขาเคยได้ยินกับหูได้เห็นกับตา แต่เขาไม่เคยกล้าสงสัยถึงราชาพ่อมด
อวี๋หวั่นหันไปมองอาม่า “อาม่ามีวิธีใดบ้าง ที่จะรู้ว่าเขาเป็นราชาพ่อมดหรือไม่?”
อาม่าเดินเข้ามาช้าๆ จับฝ่ามือของเด็กน้อย หลับตาสัมผัสอย่างละเอียดและลืมตาขึ้น “ในร่างกายของเด็กคนนี้มีพลังเวทที่ทรงพลังมาก แต่เขาถูกพลังเวทอื่นปิดกั้นไว้ หากคลายพลังเวทที่ปิดกั้นได้ ก็จะรู้ว่าเด็กคนนี้เป็นราชาพ่อมดหรือไม่”
…………………………………………
[1] เทียนตี้เสวียนหวง สี่ตัวอักษรแรกจากพันตัวอักษรที่นิยมให้เด็กๆ ท่องหรือเขียนกัน จะหมายถึง ฟ้า ดิน ดำ เหลือง