โจวจิ่นนอนหลับไปสามวันเต็มๆ เมื่อเขาลืมตาตื่นขึ้นมา เรือก็เดินทางออกจากเกาะร้าง และมุ่งหน้าไปยังจุดหมายต่อไปแล้ว
แม้ว่าโจวอวี่เยี่ยนจะถูกเลี้ยงมาอย่างสุขสบาย แต่กับศิษย์น้องเล็กคนนี้ นางกลับกระตือรือร้น ไม่รู้ว่านางอยากดูแลโจวจิ่นอยู่ในห้องอย่างเต็มที่ด้วยตนเอง หรือว่านางเพิ่งจะเผชิญสถานการณ์เสี่ยงตายบนเกาะร้าง เมื่อรอดชีวิตกลับมานางจึงเปลี่ยนนิสัย อย่างน้อยนางก็ไม่คิดจะตาต่อตา ฟันต่อฟันกับอวี๋หวั่นดังที่เคยเป็นมา
อวี๋หวั่นกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องหนังสือ เยี่ยนจิ่วเฉากำลังนั่งพักผ่อนอยู่ข้างกายเธอ อิ่งสือซันสาวเท้าเข้ามา มองไปยังคุณชายซึ่งกำลังนอนหลับ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นเสียงค่อยว่า “ฮูหยินน้อย ศิษย์น้องเล็กของมู่ชิงตื่นแล้วขอรับ”
“โอ้? อย่างนั้นหรือ?” อวี๋หวั่นวางตำราแพทย์ในมือลง จากนั้นจึงมองไปยังเยี่ยนจิ่วเฉา อากาศเหนือผืนทะเลร้อนชื้น เมื่อเปิดหน้าต่าง ลมจากทะเลก็โบกพัดเข้ามา แต่เขาก็ยังมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นบางๆ อวี๋หวั่นปลดกระดุมคอเสื้อให้เยี่ยนจิ่วเฉา แล้วพยักหน้าให้อิ่งสือซัน
อิ่งสือซันเข้าใจ แล้วหันหลังเดินออกไป
อวี๋หวั่นและอิ่งสือซันเดินไปยังห้องของโจวอวี่เยี่ยน ชุยเฒ่าถูกอิ่งลิ่วอุ้มมา เขาจับชีพจรให้โจวจิ่นด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก “ไม่เป็นไรมาก! ไม่เป็นไร! พิษของหนอนพิษก็ถูกกำจัดไปหมดแล้ว!”
“แต่เขาหลับไปนานถึงเพียงนี้…” อิ่งลิ่วพึมพำ
“เขาสูดยาชามากเกิน ผู้ใดมือหนักถึงเพียงนี้ เด็กอายุแปดเก้าขวบ…” ชุยเฒ่าพร่ำบ่นไปพลางเก็บล่วมยา
“ไม่ต้องจ่ายยาหรือ?” โจวอวี่เยี่ยนถามด้วยความกังวลว่า “ศิษย์น้องของข้าย่ำแย่เหลือเกิน”
“เขายังเด็ก พักผ่อนอีกแค่ไม่กี่วันก็ไม่เป็นไรแล้ว!” ชุยเฒ่าหาววอด เมื่อครู่เขาล้มตัวลงนอนไปได้ไม่เท่าไรก็ถูกอิ่งลิ่วลากมา ง่วงจะตายอยู่แล้ว!
ชุยเฒ่าโยนล่วมยาให้อิ่งลิ่ว แล้วเดินกลอกตาออกไป
“อีกแล้ว ข้าอีกแล้วสินะ” อิ่งลิ่วถือล่วมยาไว้ หมายจะนำไปคืนให้ชุยเฒ่าที่ห้อง เมื่อเดินออกมาก็บังเอิญพบกับอวี๋หวั่นและอิ่งสือซันซึ่งมาเยี่ยมโจวจิ่นเข้าพอดี
“ฮูหยินน้อย มาแล้วหรือขอรับ” อิ่งลิ่วยิ้มพร้อมเอ่ยทักทาย
“อื้ม ข้าจะมาดูโจวจิ่นสักหน่อย” อวี๋หวั่นตอบ
“อ้อ เช่นนั้นข้าขอตัวนำล่วมยาไปคืนชุยเฒ่าก่อนนะขอรับ” อิ่งลิ่วพูดจบ ก็หอบล่วมยาเดินออกไป
อิ่งสือซันขมวดคิ้ว เขาสาวเท้าตามไป แล้วรับล่วมยาหนักอึ้งในมือของอิ่งลิ่วมา และนำไปส่งที่ห้องของชุยเฒ่าด้วยตนเอง
อาการของโจวจิ่นในตอนนี้ยังไม่นับว่าดีเต็มร้อย นอกจากปวดเมื่อยไร้เรี่ยวแรงแล้ว อาการอื่นๆ ล้วนปกติดี อวี๋หวั่นให้พ่อครัวต้มโจ๊กข้าวฟ่างให้เขาหนึ่งชาม เขาก็มิได้มากความ กินโจ๊กข้าวฟ่างอย่างว่าง่าย
“ว่าง่ายกว่าเจ้าตั้งเยอะ” อวี๋หวั่นบอกกับโจวอวี่เยี่ยน
โจวอวี่เยี่ยนแค่นเสียงขึ้นจมูกแล้วเบือนหน้าหนี!
โจวจิ่นอายุน้อยที่สุดในบรรดาพวกเขา แต่กลับสุขุมเยือกเย็นที่สุด เขาลืมตาตื่นขึ้นมาในสถานที่ซึ่งไม่คุ้นเคย กระนั้นก็ไม่ได้แสดงอาการตื่นตระหนก และไม่ได้ถามว่าเกิดอะไรขึ้น หรือที่นี่คือที่ไหน
อาหารไม่ตกถึงท้องหลายวัน จนเครื่องในของเขาส่งเสียงร้องระงม แต่ยามกินอาหารกลับมิได้สวาปามด้วยท่าทางหิวโหย เขามีท่าทางของความเป็นชนชั้นสูงอยู่ในตัว
อวี๋หวั่นนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเขา “เจ้าคือโจวจิ่น?”
“ใช่” โจวจิ่นตอบอย่างใจเย็น
อวี๋หวั่นมองดูใบหน้าของเขา เป็นเพราะว่าเขาคือทายาทของราชาพ่อมดหรือเปล่านะ? เขาไม่เพียงสุขุมเยือกเย็นต่างจากคนทั่วไป แม้แต่บุคลิกของเขาก็ไม่เหมือนผู้อื่น ทั้งยังไม่เย่อหยิ่ง หนักแน่นดุจขุนเขา นับว่ามีศักยภาพล้นเหลือ
เธอชอบเด็กคนนี้!
อวี๋หวั่นวางมือไว้บนท้องของเธอเบาๆ แล้วเอ่ยถามว่า “เจ้าอายุเท่าไหร่”
“เดือนหน้าเก้าขวบเต็ม” โจวจิ่นตอบ
“เจ้าคงรู้ใช่ไหมว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไร?” อวี๋หวั่นถาม
โจวจิ่นชะงักไปครู่หนึ่ง
โจวอวี่เยี่ยนเอ่ยขึ้นว่า “ข้ายังไม่ทันได้บอกเขา!”
“อาจารย์ของเจ้าล่วงลับไปแล้ว” อวี๋หวั่นบอกตามตรง
“นี่! เจ้า!” โจวอวี่เยี่ยนร้อนรน “อยู่ๆ เจ้าบอกเรื่องนี้กับศิษย์น้องข้าได้อย่างไร เขายังเล็กอยู่!”
โจวจิ่นก้มหน้าลงเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไร
ร่างผ่ายผอมแลดูเปล่าเปลี่ยว
เขากำลังเสียใจ
แต่ก็ไม่อยากให้ผู้ใดมองออกว่าเขากำลังเสียใจ
เด็กคนนี้ไม่ถูกความรู้สึกชักจูงให้ไขว้เขวได้ง่าย เขามีวุฒิภาวะทางอารมณ์ที่เหนือกว่าศิษย์พี่ของเขามาก
“ศิษย์พี่หญิง ข้าไม่เป็นไร” โจวจิ่นบอกกับโจวอวี่เยี่ยน จากนั้นก็มองไปทางอวี๋หวั่น ด้วยตาใสบริสุทธิ์ของเขาแล
ดูประหนึ่งมีดวงดาวสุกใสอยู่ด้านใน “ขอบคุณที่ท่านบอกข้า”
“ศิษย์น้อง…” โจวอวี่เยี่ยนพูดไม่ออก
โจวจิ่นเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย “อาจารย์ปฏิบัติต่อข้าราวกับเป็นลูกแท้ๆ ข้าไม่ได้อยู่ส่งอาจารย์ในวาระสุดท้ายของชีวิต รู้สึกเสียใจเหลือเกิน”
เด็กคนนี้ ยังมีบุคคลิกความโศกเศร้าอยู่ด้วย…
อวี๋หวั่นตบไหล่ของเขาเบาๆ “อย่าเศร้าไปเลย ผู้ล่วงลับก็จากไปแล้ว ส่วนคนที่ยังอยู่ก็ต้องใช้ชีวิตอยู่ต่อไป ข้าเชื่อว่าดวงวิญญาณของอาจารย์เจ้าต้องไม่อยากเห็นพวกเจ้าจมอยู่กับความเศร้าเป็นแน่ เอาละ ข้าจะไม่พูดอ้อมค้อมแล้ว เรื่องรายละเอียด ให้ศิษย์พี่เล่าให้เจ้าฟังก็แล้วกัน ตอนนี้พวกเรากำลังจะเดินทางไปยังเผ่าพ่อมด เจ้าก็จะเดินทางไปด้วย เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเผ่าพ่อมด เจ้ามีอะไรจะบอกไหม?”
“ไม่มี” โจวจิ่นส่ายหน้า
อวี๋หวั่นพยักหน้า แล้วบอกว่า “เรื่องที่เกี่ยวข้องภูมิหลังของเจ้า เจ้าพอจะจำได้หรือไม่”
โจวจิ่นส่ายหน้าอีกครั้ง
โจวอวี่เยี่ยนกอดโจวจิ่นไว้ แล้วพูดอย่างปวดใจว่า “เจ้าไม่ต้องถามเขาแล้ว เขาไม่รู้อะไรทั้งนั้น เขามาอยู่ที่บ้านข้าตั้งแต่สามขวบ เจ้าคาดหวังให้เด็กสามขวบจำอะไรได้?”
อวี๋หวั่นตอบว่า “เขารู้แล้วว่าท่านพ่อของเจ้าไม่ใช่พ่อแท้ๆ ของเขา เห็นได้ชัดว่าท่านพ่อของเจ้าก็ไม่ได้คิดปิดบังเขา หรือไม่ก็ปิดบังเขาไม่ได้”
“ข้า…” โจวจิ่นพูดไม่ออก
อวี๋หวั่นมองไปยังโจวจิ่น “เจ้าเพิ่งฟื้น สมองอาจพร่าเลือนไปบ้าง ข้าจะไม่เร่งเร้า เจ้านึกออกเมื่อใด ก็ให้คนมาบอกข้าสักหน่อย เจ้ายิ่งจำได้มากเท่าไร การเดินทางในครั้งนี้ก็ยิ่งราบรื่นขึ้น”
พูดจบ อวี๋หวั่นก็ลุกขึ้นยืน แล้วเดินออกไปทางประตู
“ดอกไม้” โจวจิ่นเอ่ยปาก
อวี๋หวั่นส่งเสียง ‘หืม’ ด้วยความสงสัย แล้วหันมาถามว่า “ดอกไม้อะไร”
“ดอกไม้สีม่วง” โจวจิ่นพึมพำ
อวี๋หวั่นตีพัดกับมือของตนเบาๆ “สถานที่ที่เจ้าอาศัยอยู่ตอนเด็ก มีดอกไม้สีม่วงหรือ?”
“อื้ม” โจวจิ่นพยักหน้า
ส่วนดอกไม้สีม่วงนั่นเป็นดอกไม้อะไรนั้น โจวจิ่นตอบไม่ได้
“เอาเถิด อย่างน้อยก็รู้แล้วว่าบ้านของเจ้ามีดอกไม้ ทั้งยังเป็นดอกไม้สีม่วง” อวี๋หวั่นยิ้ม กางพัดออก แล้วหุบพัดกลับอีกครั้ง บ้านใครไม่มีดอกไม้สีม่วงเลยสักดอกบ้าง?! นี่มันงมเข็มในมหาสมุทรชัดๆ!
อวี๋หวั่นกัดฟันกรอด สูดหายใจเข้าลึกแล้วเดินออกจากห้องไป!
“ฮูหยินน้อยขอรับ ท่านกังวลหรือว่าจะหาราชาพ่อมดไม่พบ?” หลังจากที่อิ่งสือซันนำล่วมยาไปส่งที่ห้องชุยเฒ่าแล้ว เขาก็รีบวกกลับมา และบังเอิญได้ยินบทสนทนาระหว่างอวี๋หวั่นและโจวจิ่นเข้าพอดี
“ผู้คนบนเรือตั้งมากมาย กลับไม่มีใครเคยไปเผ่าพ่อมด ไม่รู้ว่าราชาพ่อมดนิสัยเป็นอย่างไร หน้าตาเป็นอย่างไร หาตัวพบยากหรือไม่ อีกอย่าง” อวี๋หวั่นขมวดคิ้ว แล้วพูดต่อว่า “เดิมทีข้าคิดว่าเด็กคนนี้จะสามารถเดินเข้าไปในเผ่าพ่อมดได้อย่างผึ่งผาย ตอนนี้เกรงว่าคงจะต้องพรางตัวอีก”
“เพราะเขาเป็นคนเผ่าพ่อมดหรือขอรับ?”
อวี๋หวั่นส่ายหน้า “ไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนเผ่าพ่อมดหรอก แต่เป็นเพราะเขาเป็นคนเผ่าพ่อมดที่ถูกส่งออกมานอกเผ่า เขาเป็นทายาทของราชาพ่อมด มีพรสวรรค์เป็นเลิศ ตามหลักแล้วเขาควรจะเป็นบุคคลสำคัญของเผ่าพ่อมด แต่เขากลับถูกเลี้ยงไว้ในที่ที่เล็กกระจ้อยร่อยอย่างประเทศมรกต ทั้งยังถูกผนึกพลังไว้ด้วย ข้าว่าเป็นไปได้มากที่เขาจะเป็นเด็กที่ห้ามให้ผู้อื่นรู้ว่ายังมีชีวิตอยู่ แต่บนตัวเขามีสัญลักษณ์ของราชาพ่อมด หมายความว่าราชาพ่อมดยอมรับเด็กคนนี้แล้ว”
“หมายความว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นในเผ่าพ่อมด” อิ่งสือซันพูด “มิน่าเล่าฮูหยินจึงอยากรู้ที่มาที่ไปของเขา ขอเพียงรู้ว่าเขาเป็นใคร จึงจะหาวิธีป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ดีกว่าเดิม”
“น่าเสียดายที่เด็กคนนี้นึกเรื่องของตนเองไม่ออก” อวี๋หวั่นส่ายหน้าด้วยความเสียดาย เมื่อนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ อวี๋
หวั่นก็พูดขึ้นว่า “ใช่สิ สีย้อมของชุยเฒ่าทำเสร็จหรือยัง?”
“เสร็จแล้วขอรับ” อิ่งสือซันตอบ
อวี๋หวั่นถอนหายใจ “อาจเจ็บเล็กน้อย แต่เพื่อรักษาชีวิตของเขา คงทำได้เพียงทำให้เขาเจ็บ”
อิ่งสือซันมีสีหน้าจริงจัง “ข้าจะไปจัดการขอรับ”
จากนั้นไม่นาน อิ่งสือซันก็ถือสีย้อมสีดำมิดหมีและเข็มเล่มเล็กเข้าไปในห้องของโจวอวี่เยี่ยน
โจวอวี่เยี่ยนรู้เรื่องนี้แต่แรกแล้ว เมื่อเห็นว่าในมือของเขามีเครื่องมือต่างๆ นางก็รู้แล้วว่าเขาจะทำอะไรต่อไป นางเดินไปยืนขวางหน้าประตู “เจ้า เจ้ารอก่อน”
อิ่งสือซันพยักหน้า
โจวอวี่เยี่ยนปิดประตู ปรี่เข้าไปข้างกายของโจวจิ่น แล้วพูดกับเขาเสียงค่อยว่า “ศิษย์น้อง อย่าไปเผ่าพ่อมดเลยนะ! เผ่าพ่อมดนั้นอันตราย! ศิษย์พี่จะพาเจ้าหนีไป!”
ต่อให้นางโง่งมกว่านี้ นางก็ยังเดาออกว่าเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากล ด้วยพรสวรรค์และภูมิหลังของศิษย์น้องของนาง ย่อมต้องถูกยกย่องบูชา มิใช่ถูกฝังกลบไว้ใต้ฝุ่นของสกุลโจว ต้องเป็นเพราะเผ่าพ่อมดหมายหัวศิษย์น้องเป็นแน่!
“ศิษย์พี่หญิง ข้าไม่ไป” โจวจิ่นบอก
“เจ้าจะตายนะ!” โจวอวี่เยี่ยนร้อนรนจนกระทืบเท้า
“ชีวิตของข้า ควรจะจบไปตั้งแต่บนเกาะแล้ว” โจวจิ่นเปิดหน้าต่าง สายลมจากท้องทะเลโหมซัดเข้ามาราวกับคลื่นร้อนระอุ “ตอนนี้ คงจะถูกทวงคืนแล้ว”
……
อิ่งสือซันใช้เวลาครึ่งชั่วยาม สักกลบสัญลักษณ์ของราชาพ่อมดให้กับโจวจิ่น
สัญลักษณ์ของราชาพ่อมดนั้นลึกเหลือเกิน อิ่งสือซันจำต้องสักให้ลึกเช่นกัน
โจวจิ่นกัดท่อนไม้ไว้ ไม่ยอมปล่อยให้ตนเองส่งเสียงร้องออกมา
หลังจากสักเสร็จ แม้แต่บุรุษอกสามศอกอย่างอิ่งสือซันก็ต้องยกย่องความอดทนอดกลั้นของเด็กคนนี้
อิ่งสือซันเก็บอุปกรณ์ และให้โจวจิ่นพักผ่อน
กระนั้น โจวจิ่นก็ยังไม่นอน แต่กลับสวมเสื้อผ้าแล้วเดินไปยังดาดฟ้าเรือ
วันนี้เป็นวันที่สามสิบห้าที่อาจารย์ล่วงลับไป
ร่างผ่ายผอมยืนปะทะสายสม
เขาเงยหน้าขึ้น ทอดสายตามองไปยังผืนฟ้าอันกว้างใหญ่
ท้องน้ำนิ่งสงบถูกแรงลมพัดเป็นลูกคลื่น ฟ้าร้องคำราม ผ่านไปไม่นาน หมู่เมฆคล้อยมาบดบังดวงอาทิตย์ สายฝนโหมกระหน่ำลงมาเหนือผืนน้ำ
ร่างผอมโซยืนอยู่ท่ามกลางสายฝน ท่าทางผึ่งผาย
เขาหันหน้าไปยังประเทศมรกต ค้อมกายลง คำนับด้วยความนอบน้อมสามครั้ง
……………………