หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] – บทที่ 496.1 พบราชินีแม่มด (1)

บทที่ 496.1 พบราชินีแม่มด (1)

ทันทีที่อวี๋หวั่นได้ยินเรื่องนี้ สิ่งแรกที่เธอคิดก็คือตัวตนของพวกเขาถูกเปิดเผยแล้ว ราชินีแม่มดคิดจะจัดการพวกเขา แต่เมื่อลองใคร่ครวญดูแล้ว เรื่องนี้ความเป็นไปได้นั้นมีน้อยเหลือเกิน

พวกเขาซ่อนตัวได้แยบยล แม้แต่กลิ่นอายของพ่อมดจากต๋าหว่าก็ถูกหนอนพิษของอวี๋หวั่นกลบจนหมด บวกกับการปลอมตัวเป็นเวินซวี่ ทำให้ยากที่จะบอกได้ว่าเขาเป็นปรมาจารย์พิษตัวปลอม

อวี๋หวั่นให้ผิงเอ๋อร์ไปเรียกอิ่งลิ่วมา แล้วบอกว่า “ความสัมพันธ์ของเวินซวี่และราชินีแม่มดเป็นอย่างไร”

อิ่งลิ่วไม่ได้พักมาตั้งแต่เช้า เขาออกไปสืบข้อมูล หนึ่งในสิ่งที่เขาสืบมาได้ก็คือความสัมพันธ์ของเวินซวี่และราชินีแม่มด

อิ่งลิ่วตอบว่า “ราชินีแม่มดอายุมากกว่าเวินซวี่ไม่กี่ปี นางเป็นพี่สาวคนโต เป็นพี่น้องมารดาเดียวกับเวินซวี่ ความสัมพันธ์ของสองพี่น้องนับว่าดี แต่ราชินีแม่มดไม่ชอบใจน้องชายลูกอนุภรรยาคนอื่นๆ ขอรับ”

หากเป็นเช่นนี้ ก็หมายความว่าราชินีแม่มดใส่ใจเลือดเนื้อเชื้อไขของเวินซวี่ จึงเรียกเธอเข้าวัง?

แต่ก็มีคุณชายบางคนที่ไม่พอใจกับเรื่องนี้

เขานอนหลับไปตื่นหนึ่ง จึงจะรู้ว่าผู้อาวุโสสูงสุดเข้าใจผิดว่าต๋าหว่ามีความสัมพันธ์กับอวี๋อาหวั่น แม้ว่ารูปร่างหน้าตาของเวินซวี่จะไม่ได้ดูกเฬวรากซากศพ แต่เมื่อเทียบกับคุณชายเยี่ยนซึ่งงามประหนึ่งเทพเซียนแล้ว ต่อให้มีเวินซวี่สักสิบคนก็เทียบไม่ได้แม้แต่นิ้วโป้งเท้าของเขา

คุณชายเยี่ยนเดือดดาล!

แต่อวี๋หวั่นกลับคิดว่าเรื่องนี้นับว่าเป็นการดี

ได้เข้าใกล้ราชาพ่อมด ทั้งยังได้เข้าไปสืบความในรังของศัตรู

“ราชินีแม่มดรักน้องชายถึงขนาดนี้ ก็ต้องเอ็นดูลูกที่ยังไม่ลืมตาดูโลกของเขาอย่างแน่นอน” อวี๋หวั่นยิ้มพลางลูบหน้าท้องนูน

“โจวจิ่น ข้าจะเข้าวังไปกับเจ้า!”

เธอรู้สึกสบายใจเหลือเกินที่ได้ปกป้องโจวจิ่นด้วยตนเอง

อวี๋หวั่นเข้าวัง คุณชายบางคนก็ต้องติดสอยห้อยตามไปด้วย เพราะฉะนั้นแผนการย่อมเปลี่ยนไป อวี๋เซ่าชิงเฝ้าอยู่ที่บ้าน ส่วนเยี่ยนจิ่วเฉาเข้าวังไปพร้อมกับอวี๋หวั่น

อวี๋หวั่นพูดว่า “ท่านจะเข้าวังไปด้วยได้ แต่รูปร่างหน้าตาของท่านโดดเด่นเกินไป ข้าต้องแปลงโฉมให้ท่านหล่อน้อยกว่านี้สักหน่อย”

เยี่ยนจิ่วเฉาไม่อาจเข้าวังไปในฐานะคุณชายแห่งเมืองเยี่ยน อวี๋หวั่นคิดว่าจะให้เขาเป็นองครักษ์ผู้ติดตามของโจวจิ่น แต่หน้าตาและรูปร่างของเขาสะดุดตาเช่นนี้ จะมีใครเชื่อว่าเขาเป็นองครักษ์?

อวี๋หวั่นใช้วิชาปลอมตัวเปลี่ยนให้ใบหน้าของเยี่ยนจิ่วแลดูเป็นชายหนุ่มธรรมดา แต่แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ดวงตาคู่นั้นของเขายังคงดูงดงาม ทว่าเรื่องนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่วิชาปลอมตัวจะช่วยได้

“สามีของข้า งามกระไรปานนี้” อวี๋หวั่นใช้จังหวะที่ไม่มีใครเห็น เขย่งปลายเท้า จุมพิตลงบนริมฝีปากของเขา แล้วพูดว่า “ปากของท่านสีสดเกินไป ต้องกลบสักหน่อย”

เยี่ยนจิ่วเฉา “…”

หลังจากที่เยี่ยนจิ่วเฉาปลอมตัวแล้ว ก็เปลี่ยนไปสวมชุดองครักษ์ ขึ้นรถม้าไปพร้อมกับโจวจิ่น

ก่อนออกเดินทาง โจวอวี่เยี่ยนดึงแขนเสื้อของอวี๋หวั่น เดิมทีนางอยากดึงแขนเสื้อของเยี่ยนจิ่วเฉา เพราะเยี่ยนจิ่วเฉาใกล้ชิดกับศิษย์น้องเล็กของนางมากกว่า แต่เยี่ยนจิ่วเฉาน่ากลัวเหลือเกิน นางไม่กล้าเข้าใกล้เขา

แน่นอนว่าอวี๋หวั่นก็น่ากลัว แต่ก็น่ากลัวน้อยกว่าเยี่ยนจิ่วเฉา

นางกระซิบว่า “วังหลวงอันตรายมาก ขอฝากศิษย์น้องของข้าไว้กับพวกเจ้าด้วย พวกเจ้าอย่าห่วงแต่น้ำตาพ่อมด แล้วไม่สนใจความเป็นความตายของศิษย์น้องข้านะ”

แม้ว่าลึกๆ ในใจของโจวอวี่เยี่ยนจะรู้ว่าพวกอวี๋หวั่นจะไม่ทำอย่างนั้น แต่นางก็อดเป็นห่วงศิษย์น้องไม่ได้ จึงทำได้เพียงมาบอกด้วยสีหน้าหนักใจ

ในตอนนี้อวี๋หวั่นพอจะล่วงรู้แผนการของราชินีแม่มด ถ้าหากโจวอวี่เยี่ยนมาพูดกับเธอเช่นนี้ตอนอยู่บนเรือ เธอคงจะไม่สนใจนาง ทว่าตั้งแต่ที่เธอมองนางเป็นภรรยาในอนาคตของอิ่งลิ่ว ก็พลันรู้สึกว่านางน่ารักขึ้นมาก

อวี๋หวั่นยิ้ม ตอบว่า “เข้าใจแล้ว พวกข้าจะพาโจวจิ่นกลับมาอย่างปลอดภัย”

เมื่อโจวอวี่เยี่ยนเห็นใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้มและท่าทางเป็นมิตรของอวี๋หวั่น นางก็อ้าปากค้าง “…ข้าว่าเจ้าน่ากลัวกว่านี้ดีกว่า เจ้าเป็นเช่นนี้แล้วข้าไม่ค่อยชิน”

“…” อวี๋หวั่นทำสีหน้าถมึงทึงในทันใด

หลังคาเรือนของเผ่าพ่อมดนั้นรูปร่างกลม ซึ่งแตกต่างกับสถาปัตยกรรมในต้าโจวและหนานจ้าวมาก เสื้อผ้าอาภรณ์ของชาวบ้านก็ต่างกัน สตรีสวมเสื้อผ้าสีหม่น ส่วนบุรุษกลับสวมเสื้อผ้าสีสันฉูดฉาดสดใส

อวี๋หวั่นพึมพำว่า “ข้าว่าการแต่งตัวของคนสกุลเวินนับว่าปกติกว่ามาก” อย่างน้อยก็ใกล้เคียงกับรสนิยมของชาวจงหยวนมากกว่า

ในเมื่อต๋าหว่าต้องรับบทเป็นสามีของอวี๋หวั่น เขาจึงนั่งบนรถคันเดียวกับอวี๋หวั่น

ต๋าหว่าสัมผัสได้ว่ามีสายตาคมกริบคู่หนึ่งจับจ้องเขาผ่านช่องของม่านอยู่ตลอดเวลา คล้ายกับงูพิษซึ่งกำลังจะกัดเขาให้ตาย ทำเอาเขาตกใจกลัวจนเม็ดเหงื่อเย็นผุดขึ้นเต็มหน้าผาก

เยี่ยนจิ่วเฉาจ้องเขม็งไปยังรถม้าฝั่งตรงข้าม จนโจวจิ่นซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างทนดูไม่ได้

โจวจิ่นถอนหายใจออกมาอย่างที่พวกผู้ใหญ่ชอบทำ แล้ววางแม่กุญแจขงเบ้งในมือลง “เอาเถอะ เห็นแก่ที่สภาพจิตใจของท่านย่ำแย่อยู่ ข้าจะยอมแพ้ให้สักตา”

…เอาละ ไหนๆ ก็ต้องแพ้อยู่แล้ว ขอมีจุดจบที่ดีสักหน่อยก็แล้วกัน

“ราชินีแม่มดเป็นพี่สาวของเจ้า ชื่อเล่นของนางคือหลินหลาง นางรักและเอ็นดูเจ้า ประเดี๋ยวเจ้าเจอนาง อย่าได้วิตกกังวลเหมือนกับตอนที่เจ้าพบกับผู้อาวุโสสูงสุด” อวี๋หวั่นเล่าข้อมูลที่อิ่งลิ่วสืบมาได้ให้ต๋าหว่าฟัง

“อ้อ” ต๋าหว่าตอบ

อวี๋หวั่นพูดต่อว่า “แล้วก็ ข้างกายของราชินีแม่มดมีแม่มดอีกสองคน คนแรกชื่อหลีชั่ว อีกคนหนึ่งชื่อหงหลวน พวกนางเป็นคนสนิทของราชินีแม่มด และมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเจ้า”

ต๋าหว่าสะดุ้งโหยง “มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับข้าหมายความว่าอย่างไร คงไม่ใช่สตรีที่เวินซวี่เคยพัวพันด้วยหรอกกระมัง?”

อวี๋หวั่นพยักหน้า “ถูกต้อง เวินซวี่เคยพัวพันกับพวกนาง แต่พวกนางต้องรับใช้ราชินีแม่มด จึงไม่ได้เข้าไปอยู่ในจวนกับเวินซวี่ ราชินีแม่มดไม่รู้เรื่องนี้”

“เจ้าเวินซวี่คนนี้ไปยุ่งกับสตรีทุกที่เลยหรืออย่างไรกัน…” ต๋าหว่าโมโห แล้วเขาจะต้องแสดงเช่นนี้ต่อไปหรือ?

“อีกประเดี๋ยวพบหน้าพวกนางแล้วข้าจะทำอย่างไร” สตรีสามคนในเรือนก็ทำให้เขาปวดหัวแทบแย่ ในวังหลวงอีกสองคน จิตวิญญาณการแสดงของต๋าหว่าแห้งเหี่ยวหมดแล้วเนี่ย!

อวี๋หวั่นยิ้ม “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวลไป มีข้าอยู่ เจ้าแสร้งทำเป็นสนใจเพียงข้ากับลูกในท้องข้า ไม่กล้าเข้าใกล้พวกนาง เช่นนี้ก็เท่ากับแสดงให้เห็นเป็นประจักษ์แล้ว”

เมื่ออวี๋หวั่นพูดเช่นนี้ ต๋าหว่าจึงใจเย็นลง อันที่จริงท่านปู่อะไรนั่นเข้าใจเขาผิดก็นับว่าไม่เลวเหมือนกัน มีเกราะกำบังชั้นดีเช่นนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะถูกเปิดเผย

“แต่ถ้าราชินีแม่มดถามเรื่องของเจ้าขึ้นมา…” ต๋าหว่าถามอวี๋หวั่น

อวี๋หวั่นยิ้มน้อยๆ “ก็บอกว่าข้าเป็นคนที่ตลาดมืด ที่เจ้าไปตลาดมืดทุกเดือน ไม่ใช่เพื่อตามหาตัวโจวจิ่นเพียงอย่างเดียว แต่เพื่ออยู่กับข้าด้วย”

เวินซวี่เริ่มตามหาโจวจิ่นในตลาดมืดเมื่อหนึ่งปีก่อน อวี๋หวั่นอายุครรภ์หกเดือน จึงไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องเวลา

ในรถม้าด้านข้าง แม่กุญแจขงเบ้งถูกเยี่ยนจิ่วเฉาขยำจนเละเทะไปเสียแล้ว

โจวจิ่นไม่กล้ามอง เขายกมือขึ้นปิดตา แล้วถอนหายใจออกมา “ข้าพูดเพียงไม่กี่ประโยค ท่านต้องทำถึงขนาดนี้เชียวหรือ?”

รถม้าเคลื่อนมาถึงวังหลวง

เมื่อเทียบกับวังหลวงขอต้าโจวซึ่งใหญ่โตโอฬาร และวังหลวงของหนานจ้าวซึ่งวิจิตรตระการตา วังหลวงของเผ่าพ่อมดแลดูเรียบง่ายกว่ามาก หลังคาทรงงอนขึ้น กระเบื้องสีดำ ผนังสีเทา กลิ่นอายแห่งความเก่าแก่และน่าเกรงขามกำจายไปทั่ว ราวกับด้านในประดิษฐานจิตวิญญาณแห่งทวยเทพ ชวนให้รู้สึกยำเกรง

คนที่ไม่เชื่อเรื่องเทพเซียนอย่างอวี๋หวั่นก็อดชะงักไปครู่หนึ่งและจับจ้องวังหลวงแห่งนี้ไม่ได้

โจวจิ่นหันหน้าไปยังวังหลวงแล้วก้มลงคำนับ อวี๋หวั่นไม่เขาใจว่าโจวจิ่นคำนับอะไร ต๋าหว่าจึงอธิบายว่า “เขากราบไหว้เทพพ่อมด” ต๋าหว่าก็อยากทำ แต่ต๋าหว่าทำไม่ได้

ในตอนนี้ต๋าหว่าไม่ใช่พ่อมด เขาเป็นปรมาจารย์พิษ ปรมาจารย์พิษคนหนึ่งมาคำนับเทพพ่อมดก็ออกจะไม่สมเหตุสมผลไปสักหน่อย

วังหลวงของเผ่าพ่อมดไม่มีนางกำนัลหรือขันที มีเพียงสาวกชายและสาวกหญิง ในบรรดาสาวกทั้งหลาย มีทั้งพ่อมดแม่มด และคนธรรมดา ก่อนหน้านี้สาวกที่ไปรับพวกเขายังจวนสกุลเวินนั้นเป็นกลุ่มแรก

ราชินีแม่มดรักและเอ็นดูน้องชาย ไหนเลยจะกล้าส่งสาวกระดับล่างมารับเขา?

พวกเขาตามสาวกเข้าไปในวังหลวง

อวี๋หวั่นนึกอยากชื่นชมบรรยากาศของวังหลวงแห่งนี้สักหน่อย น่าเสียดายที่ราชินีแม่มดส่งเกี้ยวมา พวกเขานั่ง

บนเกี้ยว เกี้ยวเคลื่อนไปตามทางเดินเล็กสายหนึ่ง พริบตาเดียวก็ถึงตำหนักของราชินีแม่มด

พวกเขาเข้าวังหลวงของที่นี่เป็นครั้งแรก

ทว่าสาวกกลับไม่บอกไม่กล่าว พาพวกเขาตรงไปยังตำหนักของราชินีแม่มดทันที แสดงว่าเวินซวี่เป็นที่รักของนางจริงๆ

…………………………..

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2]

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2]

Status: Ongoing

เธอคือหมอ(รักษาสัตว์)เทวดาคนแรกของอาณาจักร

เริ่มจากข้ามมิติมาอยู่ในร่างของเด็กสาวชาวบ้านผู้แสนยากจน

ทางซ้ายมีท่านแม่ที่ป่วยกระเสาะกระแสะ ทางขวาก็มีน้องชายตัวน้อยคอยให้ป้อนข้าว

ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เธอถูกผู้ชายเฮงซวยยกเลิกการแต่งงาน…

ให้ตายเถอะ! เสือไม่โอ้อวดพลังก็จริง แต่เห็นเธอเป็น HelloKitty หรืออย่างไร ถึงมารังแกกันแบบนี้?!

สั่งสอนผู้ชายเฮงซวย รักษาอาการป่วยของท่านแม่ เลี้ยงดูน้องชายที่ผอมแห้งแรงน้อย

บุกเบิกที่นารกร้าง ปลููกพืชบนที่ดินว่างเปล่า นั่งดูความอุดมสมบูรณ์ แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

วันเวลาอันแสนสุขค่อยๆ ผ่านไป…

วันหนึ่งก็ได้ยินว่าเทพแห่งความตายผู้น่าสะพรึงกลัวจะมาเยือนถึงหน้าบ้าน บังคับขู่เข็ญให้เธอแต่งงานด้วย?

ถึงเธอจะชอบผู้ชายหน้าตาดีก็เถอะ แต่ได้ยินว่าท่านอ๋องผู้นี้…

“ท่านอ๋อง พวกเราไม่ได้สนิทกันเสียหน่อย!” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

“เหอะๆ” ท่านอ๋องยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย แล้วคว้าเด็กน้อยตัวอ้วนจ้ำม่ำสามคนออกมาจากด้านหลัง

“เรียกแม่สิ”

เธอล่ะอยากจะเป็นลม…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท