ทุกคนรู้จักราชาพ่อมด จึงไม่มีใครใส่ใจเขา ทว่าผู้ที่ดึงความสนใจของทุกคนได้ก็คือบุรุษผู้ที่เขาพามาด้วย
บุรุษคนนั้นอายุอานามใกล้เคียงกับอวี๋เซ่าชิง เพียงแต่ว่ารูปร่างของเขาผอมกว่าอวี๋เซ่าชิงเล็กน้อย สวมอาภรณ์ผ้าไหมสีกรมท่า บนศีรษะประดับกว้านหยก ห้อยป้ายหยกไขแพะทรงกลมไว้ที่เอว ดูจากการแต่งกายของเขาแล้ว ย่อมรู้ได้ว่าเขาไม่ใช่คนไม่มีอันจะกิน และด้วยรูปร่างหน้าตา แม้จะไม่ได้นับว่าเป็นบุรุษรูปงาม แต่องคาพยพบนใบหน้าก็สมดุล ท่าทางผึ่งผาย ข้อบกพร่องอย่างเดียวก็คือคิ้วข้างขวาของเขา ดูคล้ายกับแผลเป็น แต่หากไม่สังเกตก็จะมองไม่เห็น
เสียงเรียกท่านพ่อเมื่อครู่เป็นเสียงของเขา
ตอนนี้ นอกจากพ่อครัวเทพเป้า ในลานบ้านมีคนอยู่ทั้งหมดห้าคน ผู้ที่เอ่ยคำว่าท่านพ่อย่อมไม่มีทางเป็นโจวจิ่น อิ่งลิ่ว หรืออิ่งสือซัน
อวี๋หวั่นกะพริบตาปริบๆ แล้วหันไปมองพ่อครัวเทพเป้า
โจวจิ่น อิ่งลิ่ว และอิ่งสือซันก็หันไปมองพ่อครัวเทพเป้าเช่นกัน
พวกเขาเห็นเพียงว่าพ่อครัวเทพเป้านิ่งไป ทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘ท่านพ่อ’ จากนั้นน้ำตาก็ไหลรินออกมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ เขามองไปยังบุรุษคนนั้นทั้งน้ำตา
หัวใจของพ่อครัวเทพเป้าพลันเต้นระรัว เขาไม่อาจควบคุมความรู้สึกแปลกประหลาดที่แผ่ซ่านไปทั้งตัวได้
กล่าวตามตรง พ่อครัวเทพเป้าจินตนาการภาพของบุตรชายนับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ไม่เหมือนกับบุรุษตรงหน้าแม้แต่น้อย ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด เขาจึงสัมผัสได้ถึงความรู้สึกผูกพันที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน จึงเร่งร้อนเดินเข้าไป
เขาไม่ทันได้สังเกตเห็นม้านั่งหินตรงหน้า จึงสะดุดและล้มลง
ท่านปู่เป้าอายุมากแล้ว หากล้มลงไปสักครั้ง ไม่ตายก็คงพิการลุกไม่ขึ้น!
ท่านปู่เป้าเจ้าคะ! อวี๋หวั่นหน้าถอดสี
โจวจิ่นก็ยื่นมือออกไปโดยสัญชาตญาณ
อิ่งลิ่วคิดจะใช้วิชาตัวเบาเข้าไปช่วยพยุงเขา แต่กลับถูกอิ่งสือซันจับแขนเอาไว้เสียก่อน
อิ่งสือซันส่งสายตาให้อิ่งลิ่ว อิ่งลิ่วร้อง ‘โอ้’ อย่างรู้ความ เมื่อหันกลับไปอีกที ก็พบว่าบุรุษชุดสีน้ำเงินเข้มคนนั้นได้เข้าไปประคองพ่อครัวเทพเป้าแล้ว
วินาทีที่ถูกประคอง น้ำตาที่พ่อครัวเทพเป้ากลั้นไว้ก็พรั่งพรูออกมา เขาจับมือของบุรุษผู้นั้น สายตาจับจ้องไปยัง
ใบหน้าของอีกฝ่าย เสียงของพวกเขาสั่นเทิ้ม…
พ่อครัวเทพเป้าเดินไปยังระเบียงทางเดินอย่างเงียบเชียบ ปล่อยสองพ่อลูกไว้ในลานบ้าน
อวี๋หวั่น โจวจิ่น และคนอื่นๆ ก็เดินเข้ามา ดวงตาทั้งสี่คู่มองไปที่เขา ราวกับกำลังถามว่า ‘ทำได้อย่างไร บุรุษชุดสีน้ำเงินเข้มคนนั้นเป็นใคร’ พวกเขาถึงกับคิดว่าราชาพ่อมดใช้อาคม
ข้าไม่ได้ใช้อาคม ราชาพ่อมดยิ้ม
บนใบหน้าของเขาไม่มีรอยแผลแล้ว แม้ว่าวันเวลาจะทิ้งร่องรอยเอาไว้ แต่เขาก็ยังคงดูเป็นบุรุษฉกรรจ์ที่หล่อเหลา
แน่นอนว่าในตอนนี้ไม่มีใครมีกะจิตกะใจจะมาชมความงามของราชาพ่อมดหรอก
ถ้าหากไม่ใช่อาคม หรือว่า…เขาจะเป็นลูกของท่านปู่เป้าจริงๆ? อวี๋หวั่นถามพลางมองไปยังบุรุษอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มคนนั้น
ทั้งสองไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกัน พ่อครัวเทพเป้าร่ำไห้ราวกับเป็นเด็ก บุรุษหนุ่มก็ร้องไห้น้ำตาไหลอาบข้างแก้ม ร่างของเขาสั่นเทิ้ม มือของเขาจับมือของพ่อครัวเทพเป้า
ราชาพ่อมดพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ใช่ เขาเป็นลูกของพ่อครัวเทพเป้า
นั่น… ช่างเหลือเชื่อจริงๆ อวี๋หวั่นละสายตาจากบุรุษอาภรณ์สีน้ำเงินเข้ม แล้วหันมามองราชาพ่อมด ท่านหาเขาเจอจากที่ไหน ท่านไม่ได้บอกหรือว่า…มีเรื่องสำคัญต้องไปจัดการ?
ราชาพ่อมดหัวเราะ พร้อมทั้งตอบคำถามข้อที่สองของอวี๋หวั่น ข้าก็ไปจัดการเรื่องนี้อย่างไรเล่า
อ่า… อวี๋หวั่นพูดไม่ออก
ในตอนที่เธอขอให้ราชาพ่อมดช่วยสร้างอาคมให้กับท่านปู่เป้า เพื่อเติมเต็มปณิธานของท่านปู่เป้า แต่ราชาพ่อมดบอกว่ามีเรื่องสำคัญต้องไปจัดการ จึงผลักเรื่องนี้ไปให้โจวจิ่น ในตอนนั้นเธอยังคิดเสียอีกว่าเขาต้องไปจัดการราชการของเผ่า ไม่คิดเลยว่าเขาจะช่วยท่านปู่เป้าตามหาลูกชาย
เธอเข้าใจราชาพ่อมดผิดไป…
ความกระดากใจปรากฏบนสีหน้าของอวี๋หวั่น
ราชาพ่อมดมองออกแต่มิได้พูดออกมา เขายิ้ม แล้วเอ่ยว่า ข้าไม่ได้บอกเจ้าแต่แรก เพราะข้าไม่รู้ว่าจะจัดการเรื่องนี้ได้ทันการณ์หรือไม่
เขาเป็นราชาพ่อมด ไม่ได้เป็นเทพเจ้า สามารถทำนายชีวิตคน สามารถใช้อาคมทำให้เกิดภาพลวงตา แต่ก็หาใช่ว่าจะทำได้ทุกสรรพสิ่งไม่ เขาเพียงทำนายตำแหน่งใกล้เคียง กว่าจะหาพบก็ใช้เวลาและแรงไปมหาศาล
โจวจิ่นกะพริบตาปริบๆ มองราชาพ่อมด
ราชาพ่อมดลูบศีรษะของเขาด้วยความเอ็นดู เวทมนตร์เหล่านี้ ข้าจะค่อยๆ สอนเจ้า
เรื่องบางเรื่องจำเป็นต้องรอเวลาอันเหมาะสม หากเร็วเกินไป พลังเวทก็จะได้รับความเสียหาย ทำนายไม่ได้ หากช้าเกินไป พ่อครัวเทพเป้าก็อาจจะรอไม่ไหว เพราะฉะนั้นเรื่องนี้นับว่าเป็นโชคดีของพ่อครัวเทพเป้า
ท่านบอกเขาว่าอย่างไร อวี๋หวั่นถาม
ราชาพ่อมดมองไปยังบุรุษหนุ่ม อันที่จริงข้าก็ไม่พูดอะไรมาก ข้าแค่บอกว่าข้าคือราชาพ่อมด ข้าหาพ่อแท้ๆ ของเขาพบแล้ว
อวี๋หวั่นเอ่ยถามเขาด้วยความประหลาดใจว่า เขาก็เชื่อท่านเลยหรือ? ง่ายดายขนาดนั้นเชียว?
ราชาพ่อมดหัวเราะ แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าหลายปีมานี้เขาไม่ได้ตามหาพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด?
พ่อครัวเทพเป้าและบุรุษหนุ่มกอดกันร้องไห้ น่าจะพูดคุยกันจนกระจ่างแล้ว ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องจริง ในยามที่ยังไม่สายเกินไป ในยามที่เวลาชีวิตยังไม่สิ้นสุด ท่านปู่เป้าก็ได้พบกับบุตรชายที่พลัดพรากจากกันไปสักที
อวี๋หวั่นรำพึงรำพันว่า ที่แท้ก็อยู่ที่เผ่าพ่อมด…
ราชาพ่อมดยิ้มอย่างมีเลศนัย ใต้หล้าไหนเลยจะมีสิ่งที่ได้มาโดยปราศจากความพยายาม
ไม่มีวันไหนเลยที่อวี๋หวั่นไม่คาดหวังให้ท่านปู่เป้าได้พบหน้าลูก แต่เมื่อเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริงกลับรู้สึกเหลือเชื่อ
ท่านปู่เป้า เข้าไปนั่งข้างในเถิดเจ้าค่ะ เธอเดินเข้าไปประคองพ่อครัวเทพเป้าเข้าห้องไปพร้อมกับบุรุษหนุ่ม
อวี๋หวั่นจะไปชงชาให้ทั้งสอง แต่พ่อครัวเทพเป้ากล่าวว่า อาหวั่นอยู่ที่นี่ก่อนเถิด
จากคำบอกเล่าของบุรุษหนุ่ม อวี๋หวั่นก็ได้รู้ว่าเขาแซ่เจียง เขาได้แซ่นี้มาจากบิดาซึ่งเลี้ยงเขามา ครั้นยังเด็ก เขาก็รู้ว่าตนเองถูกเก็บมาเลี้ยงแล้ว ผู้ที่เก็บเขามานั้นเป็นวาณิชซึ่งผ่านทางมา พวกเขาจิตใจดี แต่น่าเสียดายที่เขามักจะเดินทางไปค้าขายต่างถิ่น ไม่อาจเลี้ยงเด็กได้ จึงมอบเขาให้กับครอบครัวชาวนาที่นั่น เขามอบเงินให้กับครอบครัวชาวนาจำนวนหนึ่ง เพื่อให้พวกเขามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
ครอบครัวชาวนามีบุตรสาวคนหนึ่งทำงานเป็นสาวใช้ในตำบล ครอบครัวที่นางรับใช้อยู่ไม่มีบุตร เมื่อรู้ว่าครอบครัวนางเก็บทารกเพศชายคนหนึ่งได้ จึงถามคนที่บ้านนางว่ายินดีมอบเด็กคนนั้นให้หรือไม่
ฮูหยินท่านนั้นอยากมีลูก ครอบครัวชาวนาใคร่ครวญอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็ตอบตกลง
ฮูหยินท่านนั้นก็คือแม่บุญธรรมของท่าน อวี๋หวั่นบอก
ฮูหยินเจียง…ดีกับเจ้าหรือไม่? พ่อครัวเทพเป้าเอ่ยถามเสียงสั่น
เจียงจิงเหนียนยิ้ม ท่านแม่ดีกับข้ามาก
แท้จริงแล้วไม่ว่าจะเป็นพ่อค้าที่เก็บเขาได้คนแรก หรือว่าครอบครัวชาวนาที่รับเขามา ล้วนแต่เป็นคนจิตใจดี ทุกคนดีต่อเขามาก เพียงแต่เมื่อเทียบกันแล้ว ครอบครัวของฮูหยินเจียงเหมาะสมให้เขาไปอยู่มากที่สุด
ฮูหยินเจียงเป็นหญิงหม้ายในสกุลเจียง สามีของนางล่วงลับไปนานแล้ว ภายหลังนางมิได้แต่งงานใหม่ สกุลเจียงรักและเอ็นดูนาง เมื่อรู้ว่านางรับอุปการะเด็กคนหนึ่ง จึงปฏิบัติต่อเขาเหมือนกับลูกหลานสายเลือดของสกุลเจียง
เจียงจิงเหนียนอับโชค แต่ในขณะเดียวกันเขาก็พบกับโชคดี เขาถูกพรากไปจากพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด แต่ก็ได้ไปพบผู้มีน้ำใจงามคนแล้วคนเล่า เขาได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี เติบโตขึ้นมาเป็นวิญญูชนผู้เปี่ยมความรู้ เพียงแต่ว่าฮูหยินเจียงล้มป่วยและจากไปตั้งแต่เขาอายุสิบหกปี ก่อนจะจากไป ฮูหยินเจียงได้บอกเล่าชีวิตของเขาให้เขาฟัง
‘ข้าคิดว่า…ท่านพ่อกับท่านแม่เจ้าต้องเสียใจมากเป็นแน่’
ฮูหยินเจียงหยิบห่อผ้าของเขาออกมา แม้ว่าของสิ่งนี้จะเก่ามากแล้ว แต่ก็เป็นเนื้อผ้าชั้นดี ฮูหยินเจียงจึงเชื่อว่าเขาไม่ได้ถูกครอบครัวทอดทิ้ง ต้องเกิดเรื่องขึ้นเป็นแน่
หลายปีมานี้ฮูหยินเจียงก็ไหว้วานคนออกไปสืบความ แต่ก็ปราศจากข่าวคราว
นางไม่อยากเก็บเรื่องนี้ลงโลงไปด้วย นางไม่อยากให้เจียงจิงเหนียนต้องเสียใจ
เจียงจิงเหนียนจึงตัดสินใจตามหาพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดด้วยตนเอง สกุลเจียงทำเครื่องหยก เขาได้เรียนรู้วิชาจากปรมาจารย์ในจวน ฝีมือในการทำเครื่องหยกของเขายอดเยี่ยม นับว่าเหนือกว่าคนรุ่นก่อน แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เขาไม่ยักจะชอบการแกะสลักหยก
เขาชอบทำอาหาร
ความปรารถนาสูงสุดในชีวิตของเขาก็คือการเปิดภัตตาคารที่มีชื่อเสียงก้องไกลไปทั้งใต้หล้า
ทว่าเขาต้องตามหาพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด จึงทำให้เรื่องนี้ต้องล่าช้า ภายหลังจึงจับพลัดจับผลูมาอยู่ที่นี่ แต่งงาน มีลูก จึงลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่