บทที่ 209 หมูป่า
พวกเขากินอาหารกันที่บ้านตระกูลโจว หลังกินเสร็จแล้วพี่สาวตระกูลโจวทั้งสองก็มาเยี่ยมที่บ้าน
หลินชิงเหอให้การต้อนรับพวกหล่อน ทั้งคู่ไม่ใช่ญาติระดับสูงที่ไหนและยังมาดีด้วย จึงไม่เป็นไรนักหากญาติสองคนนี้จะมาเยี่ยมที่บ้าน
ทั้งพี่สาวใหญ่กับพี่สาวรองรู้ว่าสะใภ้สี่ปรับปรุงตัวดีขึ้นแล้ว พวกหล่อนย่อมเต็มใจที่จะคลุกคลีกับครอบครัวนี้
ก่อนที่หลินชิงเหอจะมาที่นี่ พวกหล่อนไม่เคยย่างเท้าเข้ามาในบ้านนี้แม้แต่ก้าวเดียว ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าของร่างเดิมคงไม่สนใจในสิ่งที่พวกหล่อนทำหรอก
ในใจของเจ้าของร่างเดิมคงจะคิดว่ามันคงดีกว่าหากถอนความสัมพันธ์กับคนยากจนสองคนนี้เร็วขึ้น
พี่สาวใหญ่กับพี่สาวรองพาสามีของหล่อนกลับไปในทันทีที่ถึงเวลาบ่ายสองโมง ทั้งสองครอบครัวเดินทางบนถนนสายเดียวกัน จึงทำให้พี่สาวน้องสาวได้คุยกัน
“สะใภ้สี่ตอนนี้มีเหตุมีผลมากขึ้นแล้วนะ” พี่สาวใหญ่เ่อ่ยด้วยท่าทางพอใจอย่างมาก
“ในอดีตที่ชิงไป๋ไม่อยู่บ้าน มันไม่ง่ายเลยนะคะที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะต้องเลี้ยงลูกสามคนตามลำพัง โดยเฉพาะตอนนั้นที่หล่อนยังเด็กอยู่มาก” พี่สาวรองเอ่ยกลับ
หล่อนชี้นี้จุดขึ้นมาเป็นประเด็น
พี่สาวใหญ๋ก็คิดเช่นนั้นด้วย
ในฐานะผู้หญิงแล้ว เรื่องที่เหลือต่างไม่สำคัญ แค่ไม่สามารถอยู่ได้โดยไร้สามีในครอบครัวเท่านั้น
ผู้ชายในครอบครัวเหมือนกับเสาหลักต้นหนึ่ง พวกเขาจะทำอย่างไรหากไร้เสาหลัก?
พี่สาวใหญ่กับพี่สาวรองมีความคิดแบบอนุรักษนิยมมาก แต่เป็นเพราะการมีความคิดแบบนี้จึงทำให้พวกหล่อนอาศัยอยู่ได้อย่างสมถะอย่างยิ่ง
แม้ทางฝั่งพี่สาวรอง พ่อแม่สามีจะลำเอียงต่อครอบครัวสาขาแรก แต่คนทั้งคู่ก็ได้แยกตัวออกมาแล้วในตอนนี้ ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรในอนาคต มันก็ไม่กระทบกับพวกเขา
ดังนั้นหล่อนจึงรู้สึกสงบใจลงได้
“พี่หญิงใหญ่ ฉันกลัวว่ามันจะต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งกว่าจะคืนเงินที่ยืมพี่มาได้นะคะ” พี่สาวรองบอกพี่สาวใหญ่
“เธอใช้ชีวิตอยู่ให้ดีก่อนเถอะแล้วเราค่อยคุยเรื่องนี้กัน” พี่สาวใหญ่ไม่ใส่ใจมากนัก
สภาพครอบครัวของหล่อนยังไม่สู้ดีนัก แต่หล่อนก็ไม่ได้มีความเร่งด่วนที่จะต้องใช้จ่าย
พี่สาวน้องสาวคุยกันตลอดทางจนถึงทางที่ต้องแยกกัน ถึงจุดนั้นแล้วต่างคนต่างก็พาสามีของพวกหล่อนกลับบ้าน
หลินชิงเหอไม่รู้เลยว่าบทสนทนาของพี่สาวน้องสาวสองคนนั้นรวมถึงตัวเธอด้วย ซึ่งเธอกำลังง่วนอยู่กับการนึ่งถั่วแดง
เธอวางแผนจะทำหมั่นโถวถั่วแดง
ถั่วแดงถูกต้มจนกระทั่งน้ำงวด จากนั้นก็จะใช้ช้อนบดจนกลายเป็นถั่วแดงบด ก่อนเติมน้ำตาลลงไปในปริมาณที่เหมาะสมและคนให้เข้ากัน
หลังจากนั้นจึงตักออกมาใส่แป้งที่นวดแผ่เป็นแผ่นแล้วห่อก่อนนำลงหม้อ หมั่นโถวที่นึ่งได้จะมีไส้ภายในเป็นถั่วแดงบด
มันมีรสหวานปะแล่มเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นโจวชิงไป๋ก็สามารถกินได้ 7 ลูกในมื้อเดียว
เหล่าเด็กชายชอบมันเป็นพิเศษ
ไม่ต้องพูดถึงท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวเลย แต่ละคนกินมันพร้อมกับซุปที่ทำมาจากถั่วลิสงกับงาบด
เมื่อเห็นว่าอากาศในปีนี้หนาวเหน็บจนแทบแข็งเพียงใด พวกเขาก็ไม่ได้เข้าอำเภอไปเที่ยวเล่น รอจนกว่าจะถึงฤดูใบไม้ผลิก่อนเถอะแล้วค่อยว่ากันอีกที คงจะดีกว่าถ้าตอนนั้นได้ถ่ายรูปเก็บไว้ปีละครั้งเป็นการบันทึกความทรงจำ
โจวชิงไป๋กับลูกชายคนรองและลูกชายคนเล็กไม่มีอะไรต้องทำจึงออกไปล่าไก่ฟ้าและกระต่ายป่าทุกวัน ่ส่วนหลินชิงเหอทำอาหารอร่อย ๆ ที่บ้านเมื่อมีเวลาว่าง
จะว่าไปแล้ว คนที่ยุ่งมากที่สุดก็คือเจ้าใหญ่ เขาทำทั้งท่องจำบทความ แก้โจทย์คณิตศาสตร์ และเขียนเรียงความ
ในวันที่เจ็ดของเดือนแรก หลินชิงเหอก็ให้เขาได้พักหนึ่งวัน
“พ่อกับน้าของลูกกำลังจะเดินทางไปที่ไกลออกไปเพื่อไปล่าไก่ฟ้า ลูกอยากไปพร้อมกับพวกเขาไหม” หลินชิงเหอถาม
เจ้าใหญ่รู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก เขาจึงหันไปมองพ่อ
โจวชิงไป๋ไม่คัดค้าน แต่พูดกับลูกชายว่า “อย่าคอยถ่วงเราล่ะ”
“ไม่ถ่วงแน่นอนครับ!” เจ้าใหญ่ลั่นวาจาทันที
เพราะว่าสถานที่ที่พวกเขาจะไปนั้นอยู่ไกลออกไป เจ้ารองกับเจ้าสามเลยไม่ได้ไปด้วย ส่วนเจ้าใหญ่นั้นไม่มีปัญหา เด็กคนนี้ยังคงโตขึ้นเรื่อย ๆ เขาสูงถึง 160 เซนติเมตรเทียบได้กับเด็กอายุ 14 ปีโดยเฉลี่ยเลยทีเดียว
ปีที่แล้วเขาสูงเพิ่มขึ้นอีก 10 เซนติเมตร ในช่วงฤดูหนาวนี้หลินชิงเหอได้ตัดชุดใหม่ให้เขาสองชุด เพราะเขาใส่ชุดของปีที่แล้วไม่ได้
ยิ่งกว่านั้นเขายังมีร่างกายที่แข็งแกร่งมาก หากไม่ใช่เพราะช่วงนี้อากาศเย็นจัด เขาก็คงออกไปวิ่งกับพ่อของเขาได้
ทันทีที่น้องชายสามตระกูลหลินมาถึง พวกเขาก็ออกเดินทางไปด้วยกัน ทุกคนต่างถือขวานไปด้วยเล่มหนึ่งเผื่อสถานการณ์ฉุกเฉิน
ในฤดูหนาวไม่ใช่เรื่องแปลกที่สัตว์ป่าขนาดใหญ่จะออกมาหาอาหาร
แน่นอนว่าโจวชิงไป๋ไม่ต้องใช้ขวาน เขามีความสามารถไม่น้อยและสามารถจัดการได้ด้วยมือเปล่า ซึ่งหมาป่าอาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาด้วยซ้ำ
น้องชายสามตระกูลหลินกับเจ้าใหญ่ถือขวานกันคนละเล่ม นอกจากนี้ยังมีหมั่นโถว พวกเขาไม่จำเป็นต้องกลับมากินอาหารกลางวัน แต่ใช้วิธีติดหมั่นโถวไปกินข้างนอกแทน
มันเป็นแค่มื้อนี้มื้อเดียวเท่านั้น จึงไม่ใช่เรื่องน่ากังวลนัก เมื่อเขากลับมาที่บ้านตอนกลางคืนก็มีอาหารอันโอชะรออยู่แล้ว
มันเป็นเวลาใกล้ค่ำแล้ว เกือบจะถึงเวลาเย็นย่ำพอดี ในตอนที่โจวชิงไป๋ เจ้าใหญ่ และน้องชายสามตระกูลหลินลากสัตว์ขนาดใหญ่ตัวหนึ่งกลับมา
ใช่แล้ว มันเป็นสัตว์ขนาดใหญ่เลยล่ะ!
“หมูป่า!” ดวงตาของหลินชิงเหอแทบถลนออกจากเบ้าขณะอุทานอย่างประหลาดใจ
สัตว์ขนาดยักษ์ที่ถูกหามกลับมาบนแผ่นกระดานตัวนี้เป็นหมูป่ามีเขี้ยวตัวหนึ่ง!
วันนี้พวกเขาออกล่าไก่ฟ้า แต่กลับได้หมูป่าตัวใหญ่ขนาดนี้กลับมาอย่างไม่คาดคิด!
ท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวเดินมาหา เห็นชัดว่าพวกเขาต่างประหลาดใจที่ได้เห็นหมูป่าตัวใหญ่ขนาดนี้
“ชิงไป๋กับเจ้าใหญ่เป็นอะไรไหม?” ท่านแม่โจวรีบถามรัวเร็ว
“พวกเขาไม่เป็นไรค่ะ คุณพ่อคุณแม่อย่าห่วงไปเลย” หลินชิงเหอเอ่ยปลอบ
น้องชายสามตระกูลหลินก็สบายดีเช่นกัน
พูดถึงหมูป่าตัวนี้ มันก็เป็นเพราะโชคช่วยด้วย เป็นโจวชิงไป๋ที่รับมือกับอันตรายใหญ่หลวงที่สุด เขาโจมตีใส่หมูป่าหนังหนาตัวนี้สองครั้งและบีบให้มันพุ่งเข้าใส่เขา นับว่าชายหนุ่มมีความสามารถขนาดไหนกันล่ะ?
เขาจงใจสับใส่มัน ซึ่งมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมากและหมูป่าตัวนั้นก็ชนเข้ากับศิลาใหญ่ในตอนที่โจวชิงไป๋ก้าวหลบ จากนั้นเขาก็ฟาดใส่มันอีกสองครั้งจนหมูป่าตายสนิท
แม้เจ้าใหญ่จะเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยท่าทางเป็นปกติ แต่มันก็เป็นเรื่องชวนขนลุกทีเดียวหากได้อยู่ในเหตุการณ์จุดนั้นจริง ๆ
ในตอนนี้คนทั้งสามต่างกำลังกินอาหารเย็น พวกเขากินบะหมี่ซี่โครงหมูโดยมีไข่คนชามหนึ่งเป็นเครื่องเคียง
พวกเขารวมถึงโจวชิงไป๋ต่างหมดพลังกันทุกคน แม้แต่ชายผู้แข็งแกร่งอย่างโจวชิงไป๋ยังมีท่าทีอ่อนล้าหลังหามหมูป่าตัวใหญ่ขนาดนั้นกลับมาจากสถานที่อันแสนไกล และยิ่งแต่ละคนได้กินหมั่นโถวกันแค่สองลูกในตอนกลางวันแล้ว พวกเขาจึงไม่รู้สึกอิ่มเลยแม้แต่น้อย
หลังเห็นคนทั้งสามกลับมาด้วยสภาพสมบูรณ์ครบสามสิบสอง ท่านแม่โจวก็รู้สึกโล่งอก
ชาวบ้านที่ยืนอยู่นอกบ้านต่างอยากได้รับผลประโยชน์ในครั้งนี้บ้างและทนไม่ไหวอีกต่อไป พวกเขาจึงได้ถามหลินชิงเหอขึ้นมา “คุณครูหลิน หมูป่าตัวนี้ตัวใหญ่มากเลย ทางบ้านคุณครูจะแบ่งกันอย่างไรเหรอ?”
ก่อนที่หลินชิงเหอจะปริปากเอ่ย ท่านแม่โจวก็สวนกลับไปก่อน “ฝันไปเถอะ ชิงไป๋ของครอบครัวเรากับคนอื่น ๆ เพิ่งจะเสี่ยงชีวิตเพื่อได้มันมา แต่พวกคุณกลับจะมาเอ่ยปากขอเปล่า ๆ เนี่ยนะ ทำไมไม่เสี่ยงชีวิตไปจับมันซะเองล่ะ?”
“ครอบครัวเรากินเนื้อหมูป่ากันไม่หมดหรอกค่ะ แต่เจ้าใหญ่จะต้องเข้าโรงเรียนมัธยมปลายในปีนี้ แถมค่าใช้จ่ายครอบครัวเราก็สูงอยู่แล้ว ตอนนี้เราจึงเหลือเงินอยู่ไม่มากนัก นับว่าหมูป่าตัวนี้ช่างมาถูกเวลาจริง ๆ” หลินชิงเหอเอ่ย
ทุกคนได้ฟังก็เข้าใจได้ในทันที หมูป่าตัวนี้เอาไว้ขายเหรอ?
“ไม่ใช่ว่าเจ้าใหญ่เรียนอยู่ระดับมัธยมต้นปีที่หนึ่งหรอกเหรอ? ทำไมเขาถึงจะเข้าโรงเรียนมัธยมปลายล่ะ?” ใครบางคนเอ่ยถาม
“ฉันคิดจะให้เขาเลื่อนชั้นในปีนี้ไปเรียนชั้นปีที่สองเลยน่ะค่ะ ไม่ใช่ว่าในเทอมหน้าจะมีการสอบเข้าโรงเรียนมัธยมปลายเหรอคะ?” หลินชิงเหอบอก
ทุกคนถึงกับฮือฮา
“เนื้อหมูป่าตัวนี้ปกติเอาไว้แลกเปลี่ยนไม่ได้เอาไว้ขาย แต่ครอบครัวเราไม่มีทางเลือก พวกเขาต้องหาเงินส่งให้ลูก ๆ ได้เรียน ดังนั้นหากใครก็ตามอยากจะรายงานว่าอาสี่ของฉันขายของก็เชิญ บรรพบุรุษของฉันเป็นชาวนายากจนมาหลายสิบรุ่นแล้ว เราก็แค่อยากผลิตนักศึกษามหาวิทยาลัยมารับใช้ประเทศเท่านั้นเอง!” ท่านพ่อโจวเอ่ย