บทที่ 208 ไก่ฟ้า
“สะใภ้รองจะประหยัดเกินไปแล้ว เสื้อผ้าของเซี่ยเซี่ยบางไม่กันความหนาวออกขนาดนั้น ทำไมหล่อนถึงไม่ทำเสื้อผ้าหนา ๆ สักตัวนะ” ท่านแม่โจวหันมาเอ่ยกับท่านพ่อโจว
“แต่นี่ก็ยังดีกว่าพ่อของเขาตอนยังเด็กนะ” ท่านพ่อโจวไม่ใส่ใจ
หลานของพวกเขามีชีวิตที่ดีกว่ารุ่นพ่อของพวกเขาเยอะ อย่างน้อยพวกเขาก็มีกินอิ่มร้อยละเจ็ดสิบถึงแปดสิบ
ในอดีต การได้กินอิ่มเพียงครึ่งหนึ่งนับว่าดีมากแล้ว
“มันดีกว่าตอนนั้นมากจริง ๆ ด้วย” ท่านแม่โจวเห็นด้วยเพราะมันเป็นความจริง
ท่านพ่อโจวเอ่ย “อย่าเทียบเซี่ยเซี่ยกับเจ้าใหญ่และน้องชายของเขาเลย นอกจากหมู่บ้านเราแล้ว เด็กบางคนในเมืองก็อาจมีชีวิตอยู่ไม่ดีเท่าพวกเขาก็เป็นได้”
เรื่องนี้เป็นความจริง จากเด็กทั้งหมดที่ท่านพ่อโจวเห็นมาทั้งชีวิต ไม่มีใครสามารถเป็นได้อย่างเจ้าใหญ่ เจ้ารอง เจ้าสาม หลานชายทั้งสามของเขาเลย
มันไม่อาจสรรหาคำใด ๆ มากล่าวเกี่ยวกับวิถีชีวิตแบบนี้ได้
ว่ากันว่าเด็ก ๆ ในเมืองล้วนโชคดี แต่ท่านพ่อโจวกลับรู้สึกว่าต่อให้พวกเขาจะโชคดีขนาดไหน พวกเขาก็ไม่อาจสู้เจ้าใหญ่กับน้อง ๆ ได้
เมื่อท่านแม่โจวได้ยินดังนี้ นางก็ไม่เอ่ยอะไร
นางถูกสะใภ้สี่ล้างสมองมาเล็กน้อย ตอนนี้นางลองมาคิดดูแล้ว มันไม่ใช่เพราะเรื่องนี้หรอกหรือ
มีเด็กคนไหนในหมู่บ้านบ้างที่ไม่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างหิวโหยและเย็นชา ซึ่งนั่นก็ไม่อาจเทียบกับเจ้าใหญ่และน้อง ๆ ได้อยู่แล้ว
ชีวิตของเจ้าใหญ่กับน้อง ๆ ช่างดีเยี่ยมจนเป็นเป้าแห่งความอิจฉาของเด็กทุกคนในหมู่บ้าน
แต่ก็เป็นอย่างที่เจ้าใหญ่พูด หากอยากสวมมงกุฏแล้วก็ต้องทนรับน้ำหนักของมงกุฏให้ได้
อย่างเช่นในตอนนี้ที่เจ้าใหญ่เริ่มเรียนหนังสือในทันทีหลังกินอาหารเช้าเสร็จ แม้มันจะเป็นวันแรกของเทศกาลปีใหม่ เขาก็ยังคงเรียนต่อตามปกติ
ปีนี้อากาศหนาวเย็นเกินไป หนาวเสียจนไม่มีใครอยากจะมาเจอกัน พวกเขาทุกคนต่างหลบอาศัยอยู่ในบ้านของตัวเองกันหมด
ส่วนเจ้ารองกับเจ้าสามนั้นนับว่าดีกว่า ในเมื่อพวกเขาสอบเข้าไม่ทัน หลินชิงเหอก็ไม่บังคับพวกเขา ทั้งสองจึงค่อนข้างว่าง
สองพี่น้องไม่ได้อยู่เฉย ๆ เลย เมื่อเห็นว่าข้างนอกบ้านหิมะไม่ตกแล้ว พวกเขาก็ออกไปเล่น
โจวชิงไป๋ก็ไม่อาจอยู่เฉยได้เช่นเดียวกัน เขาออกจากบ้านไปเพื่อดูว่าจะล่าไก่ฟ้าหรือกระต่ายได้สักตัวไหม
ทันทีที่เจ้ารองกับเจ้าสามได้ยินดังนี้ พวกเขาก็หยุดเล่นและรีบตามพ่อของพวกเขาออกจากบ้านไปในทันที
การล่าไก่ฟ้าและกระต่ายป่าถือเป็นความสนุกสนานที่ใหญ่กว่าสำหรับพวกเขาสองคน
เจ้าใหญ่เองก็อยากออกไปเหมือนกัน
“ปีนี้ลูกทนไปก่อนนะ รอจนถึงมัธยมต้นปีที่สองลูกก็เรียนตามปกติได้โดยไม่ต้องข้ามชั้นแล้ว” หลินชิงเหอปลอบเขา
เจ้าใหญ่มีเหตุมีผลอย่างมาก ปีนี้เขาอายุได้ 11 ปีแล้ว และโตเร็วมากด้วย ตอนนี้เขาสูงเลย 160 เซนติเมตรมานิดหน่อย ตัวเตี้ยกว่าหลินชิงเหอเพียงเล็กน้อย
เขาดูเหมือนโจวชิงไป๋ผู้เป็นพ่อมาก การมีหน้าตาเกินวัยเล็กน้อยทำให้เขาดูเหมือนเด็กอายุ 13 หรือ 14
หากกล่าวด้วยคำของยุคหลัง ๆ แล้ว การพัฒนาของเขานับว่าค่อนข้างรวดเร็ว
จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่หรอก
เจ้าใหญ่เป็นคนประเภทเดียวกับพ่อของเขา ตรงที่มีเสน่ห์ดึงดูดคนอื่น ๆ อย่างมาก
ตอนอายุ 17 หรือ 18 ปี เขาก็จะดูราวกับมีอายุในช่วง 20 ปี แต่ในทันทีที่เขามีอายุเกิน 25 ปี ความได้เปรียบก็จะเริ่มปรากฏ เขาจะดูมีเสน่ห์ดึงดูดต่อสายตาและหล่อเหลาได้มากกว่านี้
อย่างเช่นตัวเธอที่ตกอยู่ภายใต้มนต์สะกดของโจวชิงไป๋เสมอ
หล่อเหลาและสูงสง่า ทั่วทั้งหมู่บ้านแล้วก็ไม่มีใครสู้ชายผู้มีหน้าตาดีเกินมาตรฐานคนนี้ของเธอได้เลย
แม้แต่เฉินซานวายร้ายนั้นก็ไม่อาจเทียบกับชิงไป๋ของเธอได้
พูดถึงเฉินซานแล้ว ในที่สุดชายคนนี้ก็รู้จักห่างกับเธอแล้ว ในวันแรก ๆ ที่เขาได้ทำงานในโรงเรียน เขาก็มักจะหาข้ออ้างมาขอคำแนะนำด้านการเรียนกับเธออยู่เสมอ
เธอไม่สนใจเขาแม้แต่นิดเดียว ตอนนี้ลูกชายของเธอเข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมต้นแล้ว ใครจะคาดคิดกันล่ะว่าเขาจะรู้จักวางระยะห่างด้วย?
ไม่อย่างนั้นแล้วร่างกายอันบอบบางของเขาคงไม่อาจต้านทานหมัดจากชิงไป๋ของเธอได้
แต่ต้องยอมรับว่าเฉินซานเป็นนักพูดที่พูดจาลื่นไหลและยังมีความรู้กว้างขวาง เขามีลางสังหรณ์ว่าเหมือนมันจะมีการฟื้นฟูการสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว เขาจึงซุ่มอ่านหนังสือและเรียนหนังสือเป็นการส่วนตัว
หากเธอจำไม่ผิด เฉินซานไม่ได้หลุดคำพูดมาให้คนอื่น ๆ ในวงการบันฑิตรุ่นเยาว์ฟังเลยสักคำ
ชายคนนี้เจ้าแผนการจริง ๆ ไม่แปลกใจเลยว่าหลังจากการฟื้นฟูการสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว เขาก็กลายเป็นคนแรก ๆ ที่สอบผ่าน จากในหลาย ๆ ที่ภายในพื้นที่นี้เขาเป็นคนเดียวเท่านั้นที่สอบผ่าน
เรื่องนี้จะไม่เจ๋งได้อย่างไรล่ะ?
แต่ครั้งนี้มันจะไม่เกิดขึ้น เธอกับลูกชายของเธอจะต้องสอบผ่าน เฉินซานจะไม่ใช่คนเดียวที่สอบผ่านอีกต่อไป
หลินชิงเหอให้เจ้าใหญ่เรียนต่อ จากนั้นเธอก็ต้มซุปถั่วลิสงผสมงาให้เจ้าใหญ่กินพร้อมกับโรลถั่วแดง
และแน่นอนว่าเธอไม่ลืมที่จะให้เจ้าใหญ่ส่งส่วนแบ่งไปให้กับคุณปู่และคุณย่าของเขา ถือเสียว่าเป็นการออกกำลังกายแล้วกัน
“ย่าเพิ่งเห็นเจ้ารองกับเจ้าสามและพ่อของพวกเขาออกไปจับไก่ฟ้า ทำไมหนูถึงไม่ได้ไปกับพวกเขาล่ะ?” ท่านแม่โจวถามเขา
“ผมยังมีการบ้านที่ต้องทำอยู่น่ะครับ” เจ้าใหญ่ตอบ
“อย่าหักโหมหนักเกินไปนะ ถ้าหนูสอบเข้าไม่ผ่านในชั้นปีที่สอง มันก็ไม่เป็นไรหรอกที่จะเรียนต่อในชั้นปีแรกน่ะ” ท่านแม่โจวพูด
“หือ? เจ้าใหญ่กำลังจะเรียนชั้นปีที่สองเหรอ? หนูไม่ได้เรียนแค่ชั้นปีแรกหรอกเหรอ?” สะใภ้ใหญ่ที่เพิ่งเดินมาพลันอุทานอย่างประหลาดใจ
“ปีนี้ผมคิดจะเลื่อนชั้นไปเรียนในชั้นปีที่สองเลยน่ะครับ” เจ้าใหญ่บอก
“นี่มัน….หนูทำได้เหรอ?” สะใภ้ใหญ่อดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมา
“แม่ของผมสอนพิเศษให้แล้วครับ มันคงจะเป็นไปได้อยู่” เจ้าใหญ่ตอบ
แม่ของเขามุ่งเน้นเนื้อหาวิชาหลัก ๆ ให้แล้ว ดังนั้นต่อให้ในโรงเรียนมัธยมปลายจะมีวิชาที่ต้องเรียนมากมาย มันก็ไม่ใช่เรื่องเหนื่อยยากที่จะเรียนนัก และมันก็ไม่มีอะไรที่สามารถฆ่าเวลาได้ดีเท่ากับการเรียนหนังสือด้วย
เจ้าใหญ่อยู่ไม่นานนักก็กลับไปที่บ้าน
สะใภ้ใหญ่เห็นดังนี้ก็มีท่าทีอิจฉาขึ้นมา “ถ้าหยางหยางเป็นอย่างเจ้ารองได้ฉันก็จะพอใจมากเลยค่ะ”
ปีนี้หยางหยางลูกชายคนโตของหล่อนมีอายุ 8 ขวบ เขาอ่อนกว่าเจ้ารอง 1 ปี แต่หล่อนวางแผนให้เขาเริ่มเข้าโรงเรียนในปีนี้ หล่อนกับพี่ชายใหญ่เองไม่รู้หนังสือ จึงไม่สามารถสอนวิชาเรียนให้เขาที่บ้านได้เหมือนกับหลินชิงเหอ
หากเขายังเด็กเกินไป เขาก็จะไม่เข้าใจบทเรียนยามที่ต้องเข้าโรงเรียน ดังนั้นพวกเขาจึงวางแผนส่งเขาเข้าโรงเรียนในปีนี้
เจ้าสามที่อายุ 7 ขวบจะได้เรียนภาคการศึกษาปลายของชั้นปีแรกในปีนี้ ลูกชายของหล่อนไม่อาจอยู่รั้งท้ายไกลเกินไปนัก
กล่าวก็คือสะใภ้ใหญ่อิจฉาหลินชิงเหอสะใภ้คนนี้มากจริง ๆ
ก่อนหน้านี้ไม่มีการปรองดองกันหรอก แต่ตอนนี้เธอกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพวกหล่อนไปแล้ว โดยที่พวกหล่อนตามเธอไม่ทันเลย
ท่านแม่โจวไม่ปล่อยให้สะใภ้ใหญู่รู้สึกผิดหวังจึงพูดขึ้นมาว่าตระกูลโจวไม่มีพรสวรรค์ในด้านนี้ ทักษะการเรียนของเจ้าใหญ่ล้วนได้มาจากแม่ ดังนั้นหยางหยางขยันเรียนมากขึ้นคงจะดีกว่า
สิ่งหายากอย่างนักศึกษามหาวิทยาลัยนี้ ยิ่งมีมากยิ่งถือว่าดีกว่า
ในวันเดียวกัน โจวชิงไป๋ก็กลับมาที่บ้านพร้อมเจ้ารองและเจ้าสามและหิ้วไก่ฟ้ามา 2 ตัว
หลินชิงเหอเห็นแล้วก็รู้สึกประหลาดใจแกมยินดี “ทำไมได้มา 2 ตัวเลยล่ะ?”
“ตัวหนึ่งพ่อเป็นคนเจอ ส่วนอีกตัวหนึ่งผมเป็นคนเจอครับ!” เจ้าสามเอ่ยในทันที
เด็กชายตัวน้อยคนนี้ดีใจไม่น้อย ได้ไก่ฟ้ามา 2 ตัวแบบนี้ มันจะต้องเป็นอาหารมื้อใหญ่แน่!
“เก่งมากจ้ะ” หลินชิงเหออุทาน จากนั้นก็ขอให้โจวชิงไป๋จัดการถอนขนทำความสะอาดมัน
พวกเขาจะกินไก่ฟ้าตัวหนึ่งในสองตัวนี้ ส่วนตัวที่เหลือจะเก็บไว้ต้อนรับการมาเยี่ยมของลูกเขยในวันพรุ่งนี้ที่เป็นวันที่สองของช่วงปีใหม่ นับว่าเป็นอาหารจานใหญ่เลยทีเดียว
ในวันที่สาม พี่สาวรองกับพี่เขยรองและพี่สาวใหญ่กับพี่เขยใหญ่ก็มาเยี่ยมที่บ้าน
เดิมทีพวกเขาอยากพาเด็ก ๆ มาพร้อมกับพวกเขาในปีนี้ แต่อากาศมันหนาวเกินไปและยังไม่มีเสื้อผ้าอุ่น ๆ พอที่จะใส่ จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมมีแต่ผู้ใหญ่เท่านั้นที่มาเยี่ยมโดยที่ไม่มีเด็ก ๆ อยู่เลย
ไก่ฟ้าตัวนี้จึงถูกสับและตุ๋นพร้อมกับเห็ดหูหนูที่แช่น้ำจนพองตัว พร้อมกับมีผัดผักอีกหม้อใหญ่ โดยที่จานหนึ่งเป็นของที่บ้าน ส่วนจานที่เหลือนั้นหลินชิงเหอให้โจวชิงไป๋นำมันไปที่บ้านตระกูลโจว และเธอเองก็ให้โจวชิงไป๋ร่วมรับประทานกับพวกเขาด้วย
…………………………………………………………………………………