บทที่ 227 พระเอกในนิยายต้นฉบับ
เจ้าใหญ่ได้หยุด 1 วันระหว่างเทศกาลล่าปา เนื่องจากในยุคนี้ไม่ได้เคร่งเหมือนกับยุคต่อมา
หลินชิงเหอเองก็ได้หยุด 1 วันเหมือนกับเจ้าใหญ่ ปีนี้เธอได้รับคูปองผ้ากับคูปองอาหารเพิ่มขึ้นอีก 2 ใบจากปีที่แล้ว แต่ยังได้ธัญพืชจำนวนเท่าเดิม
เจ้าใหญ่กลับมาที่บ้าน แล้วก็เอ่ยขึ้นว่า “แม่ ผมเจอคุณน้าสามในอำเภอด้วยล่ะครับ เพราะว่าคุณตาไม่สบาย”
หลินชิงเหอพูดในใจ ชายแก่คนนั้นจะป่วยเป็นอะไรก็ไม่เกี่ยวกับฉัน แต่พอเป็นคำพูดที่ออกจากปากของเธอ หญิงสาวกลับจ้องมองเขาและเอ่ยว่า “ถ้างั้นลูกคิดว่าเราควรทำยังไงดีล่ะ?”
“จะว่าไปแล้ว แม่ส่งเงินให้คุณตาสักหน่อยดีไหมครับ?” เจ้าใหญ่เสนอ
เขายังเป็นลูกชายตัวร้ายของเธออยู่หรือเปล่าน่ะ? เธอชักนำเขาผิด ๆ งั้นเหรอ?
“เราทุกคนเป็นลูกสาวที่แต่งงานออกเรือนไปแล้ว ตอนแรกแม่ก็ไม่อยากจะสนใจพวกเขาหรอก เพราะแม่ให้ความเคารพกับพวกเขามากพอแล้ว เป็นพวกเขาเองที่ไม่รักใคร่แม่ แต่ใครปล่อยให้แม่มีลูกชายคนโตแสนกตัญญูกันล่ะ”
เจ้าใหญ่ผุดยิ้มกริ่ม หลินชิงเหอจึงพูดต่อ “ฝันไปเถอะว่าแม่จะให้เงินเขา ถ้าแม่กลับถึงบ้านแล้ว แม่จะไปหั่นเนื้อมาสักส่วนให้คุณน้าเอาไปให้แทน”
เธอยังไม่ให้พวกเขารู้ด้วยว่าเป็นฝีมือของเธอ
เจ้าใหญ่พยักหน้า วิธีนี้นับว่าเข้าท่า
“อ๋อแม่ครับ เพื่อนร่วมชั้นของผมบอกว่าเขาจะมาเล่นที่บ้านเราสักวันนะครับ” เจ้าใหญ่เอ่ยขึ้น
“จริงเหรอ เมื่อไหร่ล่ะ? ถ้าเป็นหลังการแจกจ่ายเนื้อเราก็เลี้ยงอาหารเขาได้ ไม่อย่างนั้นเขาก็จะได้กินของธรรมดานะ” หลินชิงเหอบอก
เธอไม่คัดค้านอะไรหากลูกชายจะพาเพื่อนร่วมชั้นมาที่บ้าน แถมเธอยังยินดีต้อนรับ ในเมื่อลูกชายผูกมิตรกับคนอื่นได้ เธอต้องสนับสนุนพวกเขาในเรื่องนี้
“อาหารที่เรากินตามปกติก็ไม่เลวเลยนะครับ” เจ้าใหญ่เอ่ยตามตรง
บางครั้งเพื่อนร่วมชั้นของเขาก็ชวนเขาไปกินอาหารที่บ้านของพวกเขา แต่เขาไม่เคยไปหาอีกเลยหลังจากไปครั้งหนึ่ง
เพราะอาหารที่บ้านเพื่อนสุดแสนจะธรรมดามาก ต่อให้พวกเขาจะทำอาหารที่ดีที่สุดต้อนรับเขาแล้วก็ตาม
พูดถึงเรื่องนี้แล้วเขาก็ต้องพูดถึงทักษะการทำอาหารของคุณอาซู
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมโจวเสี่ยวเม่ยถึงอวบอ้วนขึ้นถึงขนาดนี้ระหว่างอยู่ในช่วงพักฟื้นร่างกายหลังคลอด ฝีมือการทำอาหารของซูต้าหลินนับว่าเสมอกับหลินชิงเหอเลยทีเดียว
เขาสามารถทำอาหารอร่อย ๆ ได้ทุกอย่าง
หลังคุ้นเคยกับอาหารที่คุณอาทำแล้ว เจ้าใหญ่ก็กินอาหารที่บ้านเพื่อนไม่ลงเลยแม้แต่คำเดียว
หลังจากไปเยี่ยมเพียงครั้งเดียวเขาก็ไม่ไปอีก
เขาเห็นได้ว่าไม่ทุกคนที่เต็มใจทำอาหารเหมือนกับแม่ของเขา เงินทั้งหมดที่ครอบครัวของเขาหามาได้ล้วนทุ่มไปกับอาหารการกิน
แน่นอนว่าเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้อื่น ๆ ก็มีไม่ขาดเช่นกัน
เจ้าใหญ่ยังตกอยู่ในห้วงอารมณ์ของตัวเองอยู่
หลินชิงเหอยิ้ม เธอชอบสิ่งที่ได้ยิน ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เพื่อนลูกชื่ออะไรล่ะ? แล้วเขาจะมาเมื่อไหร่?”
“วันมะรืนนี้ครับ เขาชื่อหานสวี้เจี๋ย” เจ้าใหญ่ตอบ
หลินชิงเหอได้ยินก็แทบจะสำลักน้ำที่เพิ่งดื่มเข้าไป เธอจ้องมองลูกชายคนโต “ลูกบอกว่าเพื่อนลูกชื่ออะไรนะ?”
“หานสวี้เจี๋ยครับ” เจ้าใหญ่หันมองแม่ของเขา “แม่รู้จักเขาเหรอครับ?”
“อ๋อ หานสวี้เจี๋ยนี่เอง แม่จำคนผิดอย่างที่คิดจริง ๆ ด้วย” หลินชิงเหอตอบก่อนดื่มน้ำทั้งหมดในแก้วเคลือบจนหมดรวดเดียว
ไม่ เป็นไปไม่ได้ เธอต้องไม่ตกใจสิ
หานสวี้เจี๋ยนี่มันพระเอกในนิยายต้นฉบับนี่ เธอไม่คิดเลยว่าโลกจะกลมขนาดนี้ เขามาข้องเกี่ยวกับลูกชายคนโตของเธอนี่เอง
พลังของเส้นเรื่องเดิมในเรื่องนี้แข็งแกร่งเกินไปแล้ว
“เพื่อนผมเก่งบาสเกตบอลแล้วก็เรียนเก่งด้วยนะครับ คราวที่แล้วเขาเกือบจะโค่นผมได้เลย” เจ้าใหญ่บอก
เขาร่วมหุ้นกันซื้อลูกบาสเกตบอลกับหานสวี้เจี๋ย ต้องบอกว่าเด็กทั้งคู่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกลมเกลียวกันมาก อย่างน้อยก็มากกว่าคนอื่น ๆ
หลินชิงเหอพูดในใจ แน่ล่ะก็เขาเป็นพระเอกนี่ เขาจะไม่ทรงพลังได้ยังไงล่ะ?
“งั้นก็ชวนมาเลย ให้เขามานั่งเล่นที่บ้านเราคงไม่เป็นไรหรอก” แม้หลินชิงเหอจะรู้สึกระแวง แต่เธอก็ยังอยากทดสอบพระเอกของเรื่องอยู่
ถ้าเป็นไปได้ก็เป็นเพื่อนกันเถอะ แต่ถ้าไม่ได้ก็ต่างคนต่างอยู่อย่างสงบๆ มีเธออยู่ที่นี่แล้ว ต่อให้เขาเป็นพระเอกของเรื่องก็อย่าคิดรวมพลังกับนางเอกกระต่ายขาวตัวเล็กน่ารักคนนั้นมาทำอะไรลูกชายของเธอเลย
แม้จะรู้สึกว่าปฏิกิริยาของแม่ดูแปลกไปหน่อย แต่เจ้าใหญ่ก็ไม่เอ่ยอะไร
หานสวี้เจี๋ยมาเยี่ยมที่บ้านในวันมะรืนอย่างที่เจ้าใหญ่บอก
ต้องบอกว่าเขาสมกับถูกปูมาเป็นพระเอกของเรื่องจริง ๆ เขามีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาอย่างมาก ไม่ด้อยไปกว่าเจ้าใหญ่เลย และยังแก่กว่าเจ้าใหญ่ 2 ปี ถึงอย่างนั้นก็เป็นเรื่องยากที่จะเข้าโรงเรียนมัธยมปลายได้ในตอนนี้
ในเรื่องต้นฉบับบอกว่าพระเอกแก่กว่านางเอกหลายปี แต่ด้วยความเป็นผู้ใหญ่ ความสุขุมมั่นคงเชื่อถือได้บวกกับสถานะทางสังคมในตำแหน่งข้าราชการก็ทำให้นางเอกของเรื่องหลงใหลเขา
หลินชิงเหอไม่สนใจจุดนั้นมากนัก เธอมองหานสวี้เจี๋ยและยิ้มให้ “เธอต้องเป็นหานสวี้เจี๋ยแน่เลยใช่ไหมจ๊ะ? เสี่ยวข่ายของฉันกลับมาหาและบอกเรื่องนี้กับฉันแล้ว ยินดีต้อนรับสู่บ้านของเรานะจ๊ะ”
“สวัสดีครับคุณน้า ต้องขอโทษด้วยนะครับที่มารบกวนกะทันหัน” หานสวี้เจี๋ยยิ้มพลางเอ่ยอย่างสุภาพ
“รบกวนอะไรกันจ๊ะ? น้าชอบเด็กนักเรียนอย่างเธอมากเลย ถ้าวันไหนเธอหยุดก็มาเยี่ยมบ้านน้าบ่อย ๆ สิจ๊ะ” หลินชิงเหอตอบด้วยรอยยิ้ม
ไม่ว่าเธอจะคิดอย่างไร หานสวี้เจี๋ยก็ยังรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและการต้อนรับขับสู้จากพ่อแม่ของเพื่อนร่วมชั้น
เมื่อหานสวี้เจี๋ยปั่นจักรยานกลับไป เขาก็รู้สึกเสียดายเล็กน้อยที่บอกพ่อกับแม่ไปว่าวันนี้เขาจะกลับไปหา ไม่อย่างนั้นเขาคงจะอยู่ค้างคืนที่นี่แล้วค่อยกลับไปในวันพรุ่งนี้
เมื่อเด็กชายคนนี้จากไปแล้ว หลินชิงเหอก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
“แม่ ทำไมผมรู้สึกว่าแม่กำลังประจบเขาอยู่เลยล่ะ?” เจ้ารองถามขณะมีลูกกวาดอยู่ในปาก
หลินชิงเหอตวัดสายตามองตอบ “พี่ชายใหญ่ของลูกนาน ๆ ทีจะพาเพื่อนมาที่บ้าน แม่ของลูกก็แค่ทำในสิ่งที่เรียกว่าการต้อนรับขับสู้อย่างจริงใจน่ะสิ”
เธอไม่ได้ประจบเลย ทำไมเธอต้องประจบพระเอกของเรื่องด้วย ในชีวิตนี้เธอสอนลูกชายสามคนมาอย่างดี พวกเขาคงไม่ทำสิ่งผิดกฎหมายพวกนั้นหรอก
แต่ถึงอย่างนั้นเส้นเรื่องเดิมก็ทรงพลังเหลือเกิน โครงเรื่องถูกเธอเปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว แต่เมื่อกี้เธอเพิ่งถามพระเอกของเรื่องไป เขาก็ยังมีจิตใจแน่วแน่ไม่หวั่นไหว บอกว่าในวันข้างหน้าอยากเป็นข้าราชการ
“พี่ใหญ่ พื้นฐานทางบ้านของเพื่อนพี่เป็นยังไงบ้าง?” เจ้ารองถาม
“แค่คนทำแรงงานธรรมดาน่ะ” เจ้าใหญ่ตอบ
หลินชิงเหอรู้เรื่องนี้โดยไม่ต้องถาม เห็นชัดว่าพระเอกของเรื่องกำลังดิ้นรนปากกัดตีนถีบจากชั้นล่างสุด แต่ด้วยความซื่อตรงของเขา เขาก็จะมีอนาคตแจ่มใสไร้ที่สิ้นสุด แถมยังได้รับความนับถือจากคนจำนวนมาก บอกได้ว่าเขาต้องก้าวหน้าอย่างแน่นอน
และแน่นอนว่าลูกชายตัวร้ายทั้งสามของเธอคือบันไดสู่ความสำเร็จของเขาในเส้นเรื่องเดิม
แต่ตอนนี้ไม่แน่ว่าลูกชายทั้งสามของเธอจะเป็นบันไดให้เขาอีกหรือไม่
แน่นอนว่าหลินชิงเหอไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อหานสวี้เจี๋ย คงจะดีกว่าหากทุกคนสามารถอยู่กันได้อย่างสงบสุข
แม้ว่าการปรากฏตัวของพระเอกของเรื่องอย่างหานสวี้เจี๋ยจะทำให้หลินชิงเหอรู้สึกระแวงในพลังของโครงเรื่อง แต่เธอก็ไม่ตื่นตกใจ
ชั่วพริบตาเดียว วันแจกจ่ายเนื้อก็มาถึง หลังการแจกจ่ายเนื้อไปแล้วก็จะถึงวันปีใหม่ และเมื่อซูต้าหลินได้วันหยุดงานแล้ว เขาก็จะมาพาซูเฉิงกับซูสวิ่นกลับ
ที่บ้านมีเด็ก ๆ อยู่มากเหลือเกิน ทำให้บ้านดูคึกคักไม่น้อย
ในวันสิ้นปีนี้เอง หลินชิงเหอกับท่านแม่โจวก็ปรุงอาหารหลัก 6 จาน จากนั้นทั้งครอบครัวจึงมารวมตัวกันกินเลี้ยงอาหารเย็นเนื่องในวันสิ้นปี
ปีนี้ท่านพ่อโจวไม่ได้พูดถึงการร่วมรับประทานอาหารเย็นในวันสิ้นปีกับสายตระกูลที่เหลือ หลินชิงเหอจึงไม่ได้ใส่ใจ หากเขายังมีความต้องการแบบนั้นอยู่ เธอก็ไม่เห็นด้วย
พฤติกรรมของโจวลิ่วนีเมื่อปีที่แล้วนับว่าเพียงพอแล้ว หลินชิงเหอไม่อยากรู้สึกผิดต่อตัวเองและเห็นมันอีก
……………………………………………………………………………………