ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม – บทที่ 281 ไม่นำของอะไรไปเลย

บทที่ 281 ไม่นำของอะไรไปเลย

บทที่ 281 ไม่นำของอะไรไปเลย

ในยุคนี้การได้ย้ายทะเบียนบ้านในชนบทเข้าไปในเมืองและกลายเป็นคนเมืองกรุงที่ต้องซื้ออาหารกินนับว่าเป็นเกียรติยศอย่างใหญ่หลวง

และน้องชายสี่ของพวกเขาก็ได้ย้ายทะเบียนบ้านไปยังเมืองหลวงอย่างปุบปับ

พวกเขาจะไม่อิจฉาได้อย่างไรล่ะ?

แต่อิจฉาไปก็ไร้ประโยชน์ ในเมื่อภรรยาของเขาช่างน่ารักใคร่และซื่อสัตย์แบบนี้ เธอให้การดูแลอาสี่เป็นอย่างดีตอนอยู่ที่บ้าน ตอนนี้เธอเข้าเมืองหลวงไปแล้ว แต่กลับไม่ลืมที่จะพาอาสี่ไปอยู่ด้วย

ท้ายที่สุดแล้วก็บอกได้แค่ว่าชีวิตของอาสี่ช่างโชคดีจริง ๆ

“แต่ถ้านายได้เป็นเถ้าแก่แล้ว นายจะได้เรียนหนังสือไหม?” พี่ชายสามถาม

“ไม่หรอกครับ” โจวชิงไป๋ส่ายหน้า

นี่คือสัญญาณของการพัฒนาในอนาคต เขามองพี่ชายทั้งสามและเอ่ยต่อ “ถ้าพวกพี่ไม่ใช้ของที่บ้าน พี่ก็ขนเข้าเมืองเอาไปให้คนอื่นได้นะครับ ที่บ้านมีจักรยานอยู่คันหนึ่ง”

ที่บ้านของเขามีจักรยานอยู่คันหนึ่ง เช่นเดียวกับอีกคันหนึ่งที่เป็นของขวัญวันแต่งงานของโจวเสี่ยวเหมย

ภรรยาของเขาบอกให้นำจักรยานคันหนึ่งไปให้น้องชายสามของเธอ ซึ่งเขาก็ไม่คัดค้าน

โจวชิงไป๋ทำรายการบัญชีอย่างเช่นต้นทุนของแป้ง ไส้ และอื่น ๆ ที่ต้องใช้ทำเกี๊ยวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่อให้เกี๊ยวชามหนึ่งจะทำกำไรได้ 5 เหมา แต่มันก็ดึงดูดคนมาได้ไม่มากนัก

ต่อให้จะเรียกแขกได้ไม่มาก แต่ถ้าได้ลูกค้า 20 คนต่อวัน เขาก็จะได้เงิน 1 หยวน ใน 1 เดือนก็จะเป็นหลัก 10 หยวน

แน่นอนว่าเงินจำนวนนี้นับว่าไม่มากในเมื่อเงินเดือนของภรรยาเพิ่มขึ้น ซึ่งเธอได้เงินมากกว่า 60 หยวนต่อเดือน แถมยังมีเงินสวัสดิการอีกต่างหาก

ต่อให้การเปิดร้านขายของจะทำเงินได้ไม่มาก แต่ก็ยังดีกว่าอยู่บ้านเฉย ๆ

โจวชิงไป๋รู้สึกกดดันขึ้นมาเล็กน้อย

เขารู้สึกค่อนข้างมั่นใจว่าเกี๊ยวที่เขาทำรสชาติไม่ได้แย่ หากเขาหาเเหล่งซื้อเนื้อแกะกับเนื้อวัวในเมืองหลวงได้ เขาก็สามารถทำเกี๊ยวไส้อื่น ๆ ได้

ทั้งหมดทั้งมวลแล้ว เขาสามารถจัดการดูแลร้านได้

นี่คือสิ่งที่หลินชิงเหอชื่นชมและชื่นชอบในตัวของโจวชิงไป๋

หากเขาตัดสินใจทำอะไรแล้ว เขาก็จะไม่ลังเลอีกต่อไป เขาวางแผนอนาคตไว้อย่างจริงจังและไม่สักแต่ว่าพูด กลับกันชายหนุ่มนับว่าเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองมากทีเดียว

มีทั้งความมั่นใจและมีวินัยในตัวเอง ซึ่งเรื่องนี้ทางกองทัพสอนเขามาอย่างดีมาก

ดังนั้นต่อให้เป็นแบบหลินชิงเหอ เธอก็ไม่อาจต้านทานเสน่ห์ของเขาได้เลย นับจากเวลาที่เธอทะลุมิติมาและรักษาระยะห่างจากเขาจนกระทั่งถูกเขากลืนกินอย่างสมบูรณ์แบบในภายหลัง

เช่นเดียวกัน โจวชิงไป๋เองก็หลงใหลในอ้อมกอดแสนอบอุ่นอ่อนโยนของภรรยา

หลังอยู่ที่บ้านตระกูลโจวมามากกว่าหนึ่งชั่วโมง คนอื่น ๆ ก็เข้ามาเยี่ยมเยียนและสนทนาด้วย จึงเป็นเหตุให้ข่าวคราวแพร่สะพัดออกไป

มันกลายเป็นประเด็นใหญ่และร้อนแรงที่สุดของปีนี้ในหมู่บ้านโจวเจี่ย

หลังปีใหม่นี้ โจวชิงไป๋และภรรยาของเขาจะย้ายไปอยู่ในเมืองหลวงพร้อมเจ้ารองและเจ้าสาม!

“แกไม่รู้เหรอว่าพวกคนบ้านโจวโชคดีกันขนาดไหน พวกเขาได้แต่งกับภรรยาที่นำความรุ่งเรืองมาสู่ครอบครัวขนาดนั้นล่ะ”

“ใครจะปฏิเสธเรื่องนั้นได้ล่ะ? ภรรยาคนนี้นับว่าเป็นยอดหญิง ได้มาไว้ในตระกูลถือว่าโชคดีไปสามชั่วรุ่นเลยทีเดียว ดูเฒ่าเจ็ดโจวกับภรรยาของเขาสิ พวกเขาไม่ต้องทำงานในทุ่งนากันแล้ว”

“นั่นแค่คนรุ่นก่อนหน้านะ ดูเจ้าใหญ่กับน้อง ๆ ที่อยู่รุ่นหลังจากนี้สิ นับจากนี้ไปพวกเขาทุกคนจะกลายเป็นคนมีพรสวรรค์ ในอนาคตเด็ก ๆ พวกนี้จะต้องมีชีวิตที่มั่งคั่งแน่”

“เรียกว่าโชคดีสามรุ่นได้อย่างไรล่ะ? ต้องโชคดีสี่รุ่นถึงจะถูก”

“…”

ในวันแรกของปีใหม่ น้องชายสามตระกูลหลินก็พาภรรยาและเด็ก ๆ มาเยี่ยม

เนื่องจากมีเด็กมาด้วยหลายคน พวกเขาจึงนำไก่ฟ้ามาด้วย 2 ตัวนอกเหนือจากธัญพืชทั้งหลาย

หลินชิงเหอกับสะใภ้สามตระกูลหลินลงมือเตรียมอาหารกลางวัน แล้วหลินชิงเหอก็พูดขึ้นมาว่า “ชิงไป๋กับพี่จะเข้าเมืองหลวงหลังปีใหม่นี้ เธอกับน้องชายสามของพี่อยู่ที่นี่ให้ดีนะ”

“ไปเมืองหลวงหลังปีใหม่นี้เหรอคะ?” สะใภ้สามตระกูลหลินอุทานอย่างประหลาดใจ

“อืม พี่เตรียมทุกอย่างที่นั่นไว้พร้อมแล้วล่ะ” หลินชิงเหอพยักหน้า

สะใภ้สามตระกูลหลินได้ฟังก็อิจฉาขึ้นมา “แล้วเราจะมีโอกาสได้ไปเยี่ยมพี่ในภายภาคหน้าไหมคะ?”

“รอจนภายภาคหน้าทุกอย่างลงตัวดีก่อน จากนั้นเธออยากมาหาเมื่อไหร่ก็มาได้เลย” หลินชิงเหอตอบ

เป็นเพราะน้องชายสามของเธอ หลินชิงเหอจึงถามขึ้น “ตัวเธอกับน้องชายสามของพี่เคยคิดจะไปหาความก้าวหน้าอะไรที่เมืองหลวงกันบ้างไหม?”

“เรื่องนี้ลืมไปได้เลยค่ะ” ได้ยินดังนี้แล้ว สะใภ้สามตระกูลหลินก็ส่ายหน้าทันที

พวกเขาสองคนจะมีความสามารถสู้พี่สาวสามได้อย่างไรล่ะ? พวกเขารู้หนังสือไม่มาก หากต้องไปอยู่ที่นั่นแล้วจะมีความเป็นอยู่กันอย่างไร?

สิ่งเหล่านี้คือปัญหาทั้งหมดของพวกเขา

หลินชิงเหอไม่พูดอะไรต่อ ทำเพียงพูดว่า “ในอนาคตข้างหน้า กฎระเบียบในเมืองจะผ่อนปรนมากขึ้น ตอนนี้มีเจ้าของกิจการแล้วใช่ไหม? นับจากปีหน้าก็ให้น้องชายของพี่เดินทางเข้าเมืองบ่อยขึ้นสิ ไหน ๆ บ้านพี่ก็ไม่ใช้จักรยานแล้ว พี่ยกให้เธอ”

“แล้ว…เราจะใช้จักรยานนี้เพื่อการไหนเหรอคะ?” สะใภ้สามตระกูลหลินถึงกับสมองหยุดทำงานไปก่อนเอ่ยตอบ

“ในชนบทที่เราอยู่ ไข่ ไก่ และพืชผักที่เราปลูกในสวนครัวหลังบ้านทำเงินไม่มากในสายตาของเราก็จริง แต่ถ้าขนของพวกนี้เข้าไปในเมือง คนกรุงทั้งหลายต่างต้องการมันหมด เช่นเดียวกับกุ้งแม่น้ำ ปลา และปลาหนีชิวในทุ่งนา พวกเธอสามารถขนพวกมันไปขายได้” หลินชิงเหอไม่ได้นำประเด็นจักรยานมายุ่งเกี่ยวอีกและทำเพียงอธิบายให้ฟัง

“ของพวกนี้ขายได้ด้วยเหรอคะ? ถ้าเขาทำแบบนี้ ฉันกลัวว่าเขาจะไม่มีเวลาไปทำงานในทุ่งนาน่ะสิคะ” สะใภ้สามตระกูลหลินเอ่ยอย่างลังเล

หลังเอาชีวิตรอดในทุ่งนามาทั้งชีวิต คน ๆ หนึ่งก็ย่อมรู้สึกไม่ปลอดภัยหากต้องเปลี่ยนชุดความคิดกะทันหันเพื่อไปเป็นเจ้านายตัวเอง

แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นน้องชายร่วมสายเลือดของเธอ หลินชิงเหอจึงเอ่ยโน้มน้าว “ถ้ามันไม่ทำเงินแล้ว พี่จะแนะนำให้น้องชายพี่ทำทำไมล่ะ? ไม่เป็นไรหรอกถ้าเธอจะไม่สนับสนุนเขา แต่เธออย่าฉุดรั้งเขาไว้เลย ฉันบอกเรื่องนี้กับเขาไปแล้วเธอก็ปล่อยให้เขาลองทำไปก่อน ถ้ามันไม่ได้ผลจริง ๆ อย่างมากเขาก็แค่กลับมาทำงานที่เคยทำต่อ”

สะใภ้สามตระกูลหลินพยักหน้ารับ

หลังกินอาหารกลางวันเสร็จแล้ว หลินชิงเหอก็คุยเรื่องนี้กับน้องชายสามตระกูลหลินในตอนที่ทุกคนมารวมตัวนั่งคุยกัน

เดิมหลินชิงเหอคิดว่าเธอน่าจะโน้มน้าวเรื่องนี้กับน้องชาย แต่ไม่คาดคิดเลยว่าทันทีที่เธอพูด น้องชายสามตระกูลหลินก็พูดขึ้นมาว่า “ผมเองก็วางแผนจะเอาของไปขายในเมืองเหมือนกันครับ ผมรับจักรยานของพี่มาเปล่า ๆ ไม่ได้หรอก”

ประโยคท้ายฟังดูหนักแน่นมั่นคงนัก

“ถ้านายไม่ต้องการมันก็ช่างเถอะ” หลินชิงเหอตอบ

จักรยานคันนี้ถูกใช้มาหลายปีจนคืนทุนได้ทั้งหมดแล้ว เธอจึงให้เขาได้โดยไม่ติดค้างอะไร แล้วจะรับเงินจำนวนนั้นมาจากเขาได้อย่างไรล่ะ

แม้จักรยานคันนี้จะถูกใช้มาแล้วหลายปี แต่มันก็ยังใช้งานได้สะดวกเหมือนเคย ต้องบอกว่าคุณภาพของสิ่งของในยุคนี้อยู่ในระดับยอดเยี่ยมเลยทีเดียว

ในวันที่สองของเทศกาลปีใหม่ พี่สาวใหญ่กับพี่สาวรองก็มาเยี่ยมเยียนเช่นกัน เมื่อรู้ว่าครอบครัวของน้องชายสี่กำลังจะย้ายไปเมืองหลวงในวันที่หก พวกหล่อนต่างรู้สึกยินดีไปกับพวกเขาด้วย จากนั้นก็บอกว่าเมื่อถึงวันนั้นจะไปเยี่ยมพวกเขา

หลินชิงเหอไม่ได้ปฏิเสธเช่นกัน ทั้งหมดล้วนเป็นเจตนาที่ดี ดังนั้นปล่อยให้ทุกคนได้ทำตามประสงค์เถอะ

วันปีใหม่ได้ผ่านไปในไม่กี่วัน ผู้คนทยอยแวะเวียนมาจนกระทั่งวันที่หกได้มาถึงในชั่วพริบตาเดียว

และเช้าวันนี้ก็มีคนมาหาเป็นจำนวนมาก

โจวต้งกับโจวซีก็มาอำลาทั้งคู่

โจวซีไม่ใช่เด็กหญิงตัวน้อยอีกต่อไปแล้ว หล่อนได้หมั้นกับชายหนุ่มนิสัยดีมากในหมู่บ้าน หลินชิงเหอจึงให้ผ้าเนื้อดีในมิติกับหล่อนเพื่อให้ไปตัดเป็นเสื้อผ้าใหม่ในวันแต่งงานของหล่อนที่จะมีในปีนี้

“ทำไมมีแค่นี้ล่ะ?” เดิมทุกคนต้องการมาช่วยขนย้ายของ แต่เมื่อมาถึง นี่มันของอะไรน่ะ?

มีแค่กระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็กสองใบที่มีแต่เสื้อผ้าล้วน ๆ

ไม่มีอะไรอย่างอื่นเลย

“ในวันอากาศหนาวแบบนี้ ทำไมเธอไม่เอาผ้านวมไปเลยล่ะ” พี่สาวใหญ่ถาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

Status: Ongoing

<strong>*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน</strong>

<strong>จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 …</strong>

<strong>ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย</strong>

<strong>ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…</strong>

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท