ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม – บทที่ 290 ไม่ขาดแคลนเงินทอง

บทที่ 290 ไม่ขาดแคลนเงินทอง

บทที่ 290 ไม่ขาดแคลนเงินทอง

“ได้เงินน้อยก็ไม่เป็นไรหรอกครับ ขอให้ทุกคนได้กินอิ่มก็พอ” โจวชิงไป๋ยังคงสับไส้เกี๊ยวต่อและตอบโดยไม่ใส่ใจขึ้นมามอง

คุณป้าหม่าได้ฟังก็ชื่นชมเขามากยิ่งขึ้น เมื่อนางกลับมาถึงบ้านในตอนเย็น นางก็บอกเรื่องนี้กับคุณลุงหม่า “ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพวกเขาถึงเลี้ยงดูเสี่ยวข่ายกับน้อง ๆ ให้เป็นเด็กดีแบบนี้ได้ ทั้งคู่เป็นคนจิตใจดีนั่นเอง”

ไม่คิดจะเอาแต่กำไรเลยสักนิด

โดยปกติแล้วคนทั่วไปทนไม่ได้ที่จะกินเกี๊ยวไส้แน่นขนาดนี้ที่บ้าน ยิ่งกว่านั้นด้วยปริมาณไส้และแป้งที่มากขนาดนี้แล้ว เกี๊ยวแบบนี้ทำกำไรไม่ได้มากนักหรอก

ดังนั้นเมื่อสหายเก่าของนางเอ่ยถาม คุณป้าหม่าก็เอ่ยขึ้น “พ่อของเสี่ยวข่ายช่างซื่อสัตย์นัก เกี๊ยวหนึ่งลูกอัดไส้แน่นขนาดนั้นพวกเขาจะทำเงินได้เยอะแค่ไหนกันล่ะ? แถมพวกเขายังจ้างฉันด้วยเงินเดือน 20 หยวนอีก ฉันเดาว่าหลังหักลบค่าเช่าที่ไปแล้วพวกเขาก็เหลือกำไรไม่มากนัก”

“ถ้าพวกเขาทำเงินไม่ได้มากขนาดนั้นแล้วจะจ้างแกไปทำไม?” สหายเก่าของนางไม่เชื่อเรื่องนี้

“ไม่ใช่ว่าเขายุ่งหรอกหรือ? เขาดูแลกิจการร้านได้ไม่ทั่วถึงหรอกนะ ถ้าแกไม่เชื่อ พรุ่งนี้ก็ไปลองกินสักชาม เชื่อได้เลยว่าแกจะต้องชม” คุณป้าหม่าบอก

สหายชราของนางมาที่ร้านในวันถัดมาจริง ๆ

โจวชิงไป๋เสิร์ฟเกี๊ยวหนึ่งชามโดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง สหายเก่าของคุณป้าหม่ารู้สึกพอใจกับอาหารมากและเอ่ยขึ้น “ปริมาณเท่านี้ถือว่าพอดีกินแล้วล่ะ”

“ฉันพูดถูกไหม?” คุณป้าหม่าพยักหน้า

จากนั้นสหายชราของคุณป้าหม่าก็หันไปถามโจวชิงไป๋ “ขายเกี๊ยวแบบนี้แล้วทำเงินได้เท่าไหร่เหรอจ๊ะ?”

“ไม่มากหรอกครับ” โจวชิงไป๋เหลือบมองนางและเอ่ยตอบ

“ถ้าอย่างนั้นทำไมเธอถึงทำอยู่ล่ะ” หญิงชราผู้นี้ถาม

“ถ้าไม่ทำงานนี้แล้วผมจะทำอะไรล่ะครับ? มันไม่มีงานอื่นให้ทำแล้ว” โจวชิงไป๋ตอบ

“ถ้างั้นใส่ไส้ให้น้อยลงดีไหม?” หญิงชราเสนอ

“ถ้าใส่ไส้น้อยลงก็จะไม่มีลูกค้าเยอะขนาดนี้หรอกครับ การเริ่มทำธุรกิจจะต้องซื่อสัตย์ หากผมทำกำไรไม่มากก็ไม่เป็นไรหรอกครับ” โจวชิงไป๋ตอบเรียบ ๆ

เขาไม่ได้พูดต่อว่าตัวเขาเองทำกำไรได้มากเท่าใด แต่การเป็นที่พูดถึงบ้างนับว่าเป็นเรื่องดีแล้ว

เขาได้ยินเรื่องนี้จากภรรยา

ได้กำไรน้อยก็จริงแต่เป็นที่รู้จักเร็ว ยิ่งขายมาก ต่อให้จะใช้ต้นทุนมากขนาดนี้ ก็จะได้ผลกำไรมากขึ้นตาม

อีกอย่างหนึ่งมันยังเป็นที่รู้จักปากต่อปากและได้รับความนิยมมากขึ้น คนอื่น ๆ จะมากินหลังเห็นว่าธุรกิจกำลังไปได้ดี ภรรยาของเขาช่างมีความรู้กว้างขวาง เธอบอกว่าวิธีนี้คือพฤติกรรมการรวมกลุ่ม

ยิ่งคนมากินมาก รสชาติก็จะดีขึ้น

เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องอธิบายให้คนนอกฟังเลย

สหายเก่าคนนี้ของคุณป้าหม่ามีลูกชายคนหนึ่งที่วางแผนจะเปิดธุรกิจด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นแล้วนางคงไม่มากินและเอ่ยถามหรอก

นางถามโจวชิงไป๋ว่าเช่าร้านด้วยจำนวนเงินเท่าใด

โจวชิงไป๋รายงานเป็นราคาโดยเฉลี่ยในท้องตลาดให้นางฟัง

นอกจากคุณลุงหวังที่เป็นบรรณารักษ์แล้วก็ไม่มีคนนอกได้ล่วงรู้ว่าความจริงครอบครัวนี้ซื้อร้านไปแล้ว

เมื่อหญิงชราจากไป คุณป้าหม่าก็มีอาการงงงวย “ไม่ใช่ว่าลูกชายของหล่อนจะเปิดร้านเองเหมือนกันนะ? ทำไมหล่อนถึงถามมากขนาดนี้?”

“เดาว่าเขาอยากจะมีธุรกิจส่วนตัวน่ะครับ” โจวชิงไป๋เอ่ย

และแน่นอนว่าคงจะไม่ใช่การขายเกี๊ยว เพราะนางได้กินเกี๊ยวของเขาแล้ว ซึ่งลูกชายของนางจะได้รับแรงกดดันมหาศาล เนื่องจากปกติแล้วร้านค้าที่อยู่ในย่านตลาดเหมือนกันไม่อาจแย่งธุรกิจไปจากร้านนี้ได้เลย

โจวชิงไป๋ไม่สนใจเรื่องนี้มากนัก เขาได้รับคำสั่งซื้อเข้ามามากขึ้นและเดินไปทำเกี๊ยว

ร้านเกี๊ยวของโจวชิงไป๋กำลังมีชื่อเสียงโด่งดัง ขณะที่หลินชิงเหอกำลังเจริญก้าวหน้าอยู่ในมหาวิทยาลัย

เป็นเพราะการสอนที่มีคุณภาพของเธอกับความสนุกในชั้นเรียน ทางมหาวิทยาลัยจึงให้เธอเลื่อนขั้นเป็นผู้กล่าวสุนทรพจน์ไม่ว่าจะเป็นที่ใดก็ตาม

เธอมีทั้งบุคลิกที่ดีและความรู้กว้างขวาง จึงได้กลายเป็นโฆษกประจำมหาวิทยาลัยปักกิ่งไปอย่างไม่รู้ตัว

นี่คือตำแหน่งที่เฉินเสวี่ยผู้ทอดทิ้งสามีคนชนบทและแท้งบุตรที่เกิดจากเพื่อนร่วมชั้นพยายามจะไขว่คว้ามา

แต่ทางมหาวิทยาลัยปักกิ่งจะให้คนอย่างหล่อนเป็นโฆษกได้อย่างไร?

เมื่อหลินชิงเหอสอนเสร็จในวันนั้น เฉินเสวี่ยก็ได้มาหาเธอ

หลินชิงเหอไม่คิดเลยว่าเฉินเสวี่ยจะมาหาเธอ เทียบกับเฉินเสวี่ยผู้ร่าเริงในตอนที่เพิ่งเข้าเรียนใหม่ ๆ แล้ว เฉินเสวี่ยตอนนี้ดูหมดอาลัยตายอยากอย่างเห็นได้ชัด

แต่ถึงอย่างนั้นหล่อนก็ยังยืดตัวตรง

“เธออยากจะคุยกับฉันไหมจ๊ะ?” เฉินเสวี่ยมองเธอและเอ่ยถาม

หลินชิงเหอไม่มีอะไรจะคุยกับหล่อนจึงบอกไปว่า “ถ้าเป็นเรื่องอื่นนอกเหนือจากเรื่องเรียนล่ะก็ไม่จำเป็นต้องคุยหรอกจ้ะ”

เธอไม่สนใจที่จะฟังประเด็นอย่างอื่นของเฉินเสวี่ย

เฉินเสวี่ยเม้มปากขณะมองเธอ “เธอไปขอจบการศึกษาก่อนกำหนดจากทางคณะได้ยังไงเหรอ?”

“เธอถามคณบดีเองเถอะ” หลินชิงเหอยิ้มและผละจากไป

หวังลี่ออกมาจากชั้นเรียนและเห็นเข้าพอดีจึงวิ่งตามหลินชิงเหอและเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้นเหรอ? ฉันเห็นหล่อนมาคุยกับเธอเมื่อกี้?”

“หล่อนมาถามว่าฉันขอทางคณะจบการศึกษาก่อนกำหนดได้ยังไง” หลินชิงเหอบอก

หวังลี่มีสีหน้าตกตะลึงไป หลินชิงเหอจึงเอ่ยถาม “มีอะไรเหรอ? ตอนนี้เกิดอะไรขึ้น?”

“หล่อนแยกทางกับผู้ชายคนนั้นแล้ว” หวังลี่ตอบพลางยกยิ้ม

“แยกทาง? ไหนว่าพวกเขารักกันนักหนาไงล่ะ?” หลินชิงเหอเอ่ยเยาะ

หวังลี่จึงเล่าเรื่องให้ฟัง “ผู้ชายคนนั้นมีผู้หญิงคนอื่น ดูเหมือนว่าหล่อนจะจับได้คาหนังคาเขา พวกเขาก็เลยทะเลาะกันแล้วตอนนี้ก็แยกทางกันแล้ว”

หลินชิงเหอได้ฟังก็ส่ายหน้า “ช่างหล่อนเถอะ ฉันไปที่ร้านก่อนล่ะ”

“เธอไปเถอะ แต่เย็นนี้เธอไปที่โรงอาบน้ำใช่ไหม?” หวังลี่หยั่งเชิง

“ไปสิ” หลินชิงเหอตอบ

ตอนนี้เธอชินกับโรงอาบน้ำไปแล้ว ต้องบอกว่ามันสบายจริง ๆ ที่ได้อาบน้ำด้วยกัน

หลินชิงเหอมาที่ร้านค้า ซึ่งโจวข่าย โจวเฉวี่ยน โจวกุยหลายมาถึงแล้ว ทั้งครอบครัวกำลังกินอาหารด้วยกันกับคุณป้าหม่า

“คุณลุงหวังบอกให้ผมเอาเกี๊ยวไปให้หลังกินเสร็จแล้วด้วยล่ะครับ” โจวข่ายเปิดประเด็นหลังกินเสร็จ

“เจ้าเด็กตัวเหม็น ทำไมไม่บอกกันก่อน ส่งให้เขาหลังเรากินกันเสร็จแล้วมันไม่อร่อยไหม?” หลินชิงเหอสั่งสอน

เธอเกือบจะอิ่มแล้วเหมือนกันจึงวางตะเกียบลงและลุกขึ้นไปตักเกี๊ยวมาชามหนึ่งก่อนจะให้โจวข่ายเอาไปส่ง “ลูกอย่าได้เก็บเงินจากคุณลุงหวังเชียวนะ!”

“ถ้าผมไม่รับเงินคุณลุงหวังก็ไม่กินน่ะครับ ม้าอย่าใส่ใจเรื่องนี้เลย คุณลุงหวังน่ะขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอก” โจวข่ายโบกมือและถืออาหารไปให้คุณลุงหวัง

“ฉันไม่รู้ว่าสอนเด็กโง่นี่มาได้ยังไงเลยค่ะ” หลินชิงเหอหันไปบอกคุณป้าหม่า

คุณป้าหม่ายิ้มและเอ่ยตอบ “เสี่ยวข่ายน่ะพูดถูกแล้ว เฒ่าหวังไม่ขาดแคลนเงินทองหรอก ดังนั้นอย่าใส่ใจมันมากเลย”

พวกเขาที่เป็นเพื่อนบ้านต่างรู้ว่าเฒ่าหวังได้รับเงินอุดหนุนเป็นจำนวนมากหลังจากที่เขากลับมา แล้วยังมีของที่ถูกยึดไว้ก่อนหน้านี้ด้วย แต่เนื่องจากส่วนใหญ่ได้รับความเสียหาย เขาจึงได้รับค่าชดเชยเช่นกัน ดังนั้นชายคนนี้ขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอก

“ต้องขอบคุณคุณลุงหวังที่ช่วยในเรื่องบ้านกับร้านแห่งนี้น่ะค่ะ ไม่อย่างนั้นครอบครัวของฉันคงจะไม่ได้ย้ายมาอยู่ที่นี่ ฉันจะเก็บเงินค่าเกี๊ยวจากเขาได้อย่างไรล่ะคะ?” หลินชิงเหออธิบายอย่างจนใจ

คุณป้าหม่ายิ้มกริ่มและเอ่ยเรียบ ๆ “ป้าคิดว่าเฒ่าหวังชอบครอบครัวของเธอนะ ให้เขาเป็นพ่อทูนหัวจะว่าอย่างไรล่ะ?”

“คะ?” หลินชิงเหอนิ่งไป เธอไม่ได้คิดในเรื่องนี้เลย

“ไม่ได้หรอกมั้งคะ คนอื่นเขาจะคิดว่าเราหวังจะเกาะคุณลุงหวังกินน่ะค่ะ” หลินชิงเหอส่ายหน้าทันทีหลังจากได้สติคืนมาแล้ว

คุณลุงหวังผู้เป็นบรรณารักษ์ประจำมหาวิทยาลัยปักกิ่งจริง ๆ แล้วเป็นผ้าขี้ริ้วห่อทอง

ไม่รู้ว่าเขามีเงินเก็บอยู่มากมายขนาดไหน แต่หลินชิงเหอรู้ว่าคุณลุงหวังเป็นเจ้าของบ้านพักอาศัยที่มีลานข้างในบ้าน

เพียงบ้านพักอาศัยหลังนี้ก็พอแล้วที่จะบอกได้ว่าเขามีฐานะร่ำรวยเพียงใด? ซึ่งตอนนี้มันถูกปล่อยให้ผู้อาศัยเช่าอยู่และเก็บค่าเช่าเป็นจำนวนมากทุกเดือน

เป็นความจริงยิ่งกว่าจริงที่จะบอกว่าคุณลุงหวังไม่ขาดแคลนเงินทองเลย

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

Status: Ongoing

<strong>*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน</strong>

<strong>จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 …</strong>

<strong>ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย</strong>

<strong>ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…</strong>

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท