บทที่ 368 ร้านค้าแห่งที่สี่
สะใภ้ใหญ่รู้ดีว่าหลินชิงเหอมีนิสัยเป็นอย่างไร
ไม่ใช่เรื่องเกินไปเลยหากจะกล่าวว่าเธอไม่ยอมให้เม็ดทรายมาระคายตาแม้แต่เม็ดเดียว
โจวลิ่วนีหนีออกจากบ้านด้วยตัวเองแม้เธอจะไม่ยอมให้มา แล้วหล่อนได้อยู่ที่เมืองหลวงไหมล่ะ? คำตอบคือไม่ วันที่หล่อนเดินทางมาถึงเมืองหลวง หล่อนก็ถูกส่งตัวกลับบ้านทันทีโดยไม่ทันได้ค้างคืนแม้แต่คืนเดียว
ดังนั้นเมื่อพี่สาวใหญ่บอกว่าหล่อนอยากให้สวี่เชิ่งเฉียงไปที่เมืองหลวงพร้อมพี่สาวหลังปีใหม่นี้ สะใภ้ใหญ่ก็ไม่อนุญาต
การมีคนเพิ่มอีกคนหนึ่งนั่นหมายความว่าจะต้องเลี้ยงอาหารเพิ่มอีกคนหนึ่ง ไม่เพียงแต่พวกเขาจะต้องเลี้ยงเด็กที่ยังไม่โตเต็มที่แบบไม่ได้อะไรกลับมาแล้วแต่ยังต้องให้เงินเดือนเพิ่มด้วย ในเมื่อทางฝั่งนั้นไม่ต้องการคนเพิ่ม ทางฝั่งนี้จะกล้าพยักหน้าตัดสินใจเองได้หรือ?
สะใภ้ใหญ่ไม่ได้อยากจะมายุ่งเรื่องนี้เลย หากเชิ่งเหม่ยพาเชิ่งเฉียงไป เขาก็จะถูกส่งตัวกลับมาอย่างแน่นอนหากว่าทางนั้นไม่ขาดแคลนคน
แต่ท้ายที่สุดแล้ว พี่สาวใหญ่ก็มีความสัมพันธ์อันดีกับหล่อน ดังนั้นหล่อนจึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเมื่อลูกสาวของตนโทรศัพท์มาหา
ตอนนี้หลินชิงเหอเป็นฝ่ายโทรศัพท์กลับมา เห็นชัดว่าสวี่เชิ่งเหม่ยอาจไม่ได้รับอนุญาตให้ไปเมืองหลวงในปีหน้าแล้ว หลังสะใภ้ใหญ่วางสายเสร็จ หล่อนก็รีบให้พี่ชายใหญ่เดินทางไปบ้านพี่สาวใหญ่
“ให้พี่สาวใหญ่ใจเย็น ๆ คิดทบทวนดี ๆ นะคะ ไม่ใช่ว่าหล่อนไม่รู้จักนิสัยของชิงเหอ แต่กลับกล้าส่งเขาไปที่นั่นก่อนจะเอ่ยปากบอกแบบนี้ หล่อนคิดว่าชิงเหอมีสัมพันธ์อันดีกับหล่อนนักเหรอ?” สะใภ้ใหญ่บ่นพึมพำด้วยความโมโห
ความจริงแล้วเรื่องนี้ออกจะเป็นเรื่องไม่น่าพิศมัยนักในการรับมือ หากดูตั้งแต่แรกแล้วก็จะพบว่ามันเกิดจากการล้ำเส้นของพี่สาวใหญ่
จะบอกว่าพี่สาวใหญ่มีความสัมพันธ์อันดีกับหลินชิงเหอก็ไม่ถูกนัก ไม่ว่าจะเป็นพี่สาวใหญ่หรือพี่สาวรองก็ล้วนมีความสัมพันธ์แบบกลาง ๆ กับหลินชิงเหอด้วยกันทั้งนั้น
มีเพียงโจวเสี่ยวเหมยเท่านั้นที่สนิทชิดเชื้อกับหลินชิงเหอ
พี่ชายใหญ่นำเรื่องนี้ไปบอกกับพี่สาวคนโต
พี่สาวใหญ่เอ่ยอย่างยอมรับ “ก็ได้จ้ะ ในเมื่อไม่ได้รับอนุญาตให้ไป งั้นเชิ่งเฉียงก็จะไม่ไป ส่วนเชิ่งเหม่ยจะกลับไปหลังจบเทศกาลปีใหม่แล้ว”
พี่ชายใหญ่ยังใจดีมากอยู่ เขาไม่ได้บอกเรื่องที่หลินชิงเหอทิ้งท้ายว่า ‘ถ้าสวี่เชิ่งเหม่ยยุ่งมากนัก หล่อนก็ไม่จำเป็นต้องมาที่เมืองหลวง’
หลังจากเขากลับไปแล้ว บรรยากาศภายในบ้านตระกูลสวี่ก็ไม่สู้ดีนัก
“แม่คะ ดูสิ หนูบอกแล้วว่าอย่าไปพูดแบบนี้ที่บ้านน้าใหญ่” สวี่เชิ่งเหม่ยบอก
“ถ้าแม่ไม่พูด แล้วแกจะพาน้องชายแกไปได้เหรอ?” พี่สาวใหญ่มองหล่อนและเอ่ยถาม
“หนูก็บอกอยู่ว่าพาเขาไปไม่ได้ วันที่โจวลิ่วนีไปถึงเมืองหลวงเป็นวันเดียวกับที่หล่อนถูกไล่กลับมาเลยนะคะ” สวี่เชิ่งเหม่ยตอบ
สวี่เชิ่งเหม่ยไม่ใช่คนที่จะประหารก่อนแล้วรายงานทีหลัง หล่อนไม่อาจรู้นิสัยของน้าสะใภ้สี่ไปได้ดีกว่านี้อีกแล้ว
เธอไม่ใช่คนที่เห็นอกเห็นใจคนอื่น คำพูดของเธอถือเป็นสิทธิ์เด็ดขาดเต็มร้อย เป็นหญิงจอมเผด็จการคนหนึ่งที่ทำอะไรตามที่ตัวเองต้องการ และกุมอำนาจเด็ดขาดภายในบ้าน
“แม่ ถ้าแม่อยากให้น้องชายหนูไปที่นั่นจริง ๆ แม่น่าจะโทรไปถามด้วยตัวเองดีไหมคะ?” สวี่เชิ่งเหม่ยมองแม่ของหล่อน
พี่สาวใหญ่ไม่เอ่ยอะไร หล่อนรู้สึกอับอายเล็กน้อยกับน้องสะใภ้คนนี้ พูดตามตรงก็คือต่อให้หล่อนเป็นพี่สาวคนโตของบ้าน หลินชิงเหอก็ไม่นับหล่อนเป็นคนสำคัญ
หลังจากนั้นทุกอย่างจึงดีขึ้นเล็กน้อย เธอดูเหมือนสุภาพมากขึ้น ในอดีตเธอไม่แม้แต่จะชายตามองหล่อนในตอนที่เห็นหน้ากัน เหมือนพวกเขาไม่รู้จักกันอย่างไรอย่างนั้น
พี่สาวใหญ่กำลังคิดว่าหากลูกชายของหล่อนได้อยู่ที่นั่น บางทีเขาอาจจะอยู่ได้ไหมนะ?
อย่างไรเขาก็เป็นหลานคนหนึ่งและเป็นเด็กหนุ่มที่มีความสามารถ ไม่ใช่เด็กสาวขี้เกียจอย่างลิ่วนี
แต่หล่อนก็ไม่คิดเลยว่าจะถูกปฏิเสธแบบนี้
พูดถึงแล้ว พี่สาวใหญ่ก็รู้สึกหดหู่
แต่หล่อนจะพูดอะไรได้อีกล่ะ? หลินชิงเหอน้องสะใภ้คนนี้ไม่เห็นหล่อนอยู่ในสายตามาก่อน ตอนนี้เธอมีอนาคตที่รุ่งเรือง เธอยังจะวางความสำคัญกับหล่อนที่เป็นพี่สามีคนโตงั้นเหรอ
“แม่ ผมอยากไปเมืองหลวง!” สวี่เชิ่งเฉียงเอ่ยอย่างไม่พอใจ เขาอยากไปที่เมืองหลวงบ้าง โดยเฉพาะตั้งแต่ที่พี่สาวได้ไปอยู่ที่นั่น หล่อนก็บอกว่าเมืองหลวงมันวิเศษอย่างไรบ้าง ขณะที่เขาทำไร่ทำนาอยู่กับบ้าน เขาไม่อยากทำงานกสิกรรมเลย ไม่เพียงแต่มันจะเหนื่อยแล้ว แต่บางทีถ้าเขาได้ไปที่นั่นเขาอาจจะได้แต่งงานกับสาวสักคนในเมืองหลวงก็ได้!
จากนั้นเขาก็จะย้ายทะเบียนบ้านไปที่เมืองหลวงได้ในอนาคตและกลายเป็นพลเมืองของเมืองหลวง ไม่ต้องทำงานในไร่ในสวนอีกต่อไป
“แกจะไปเพื่ออะไร? น้าสะใภ้แกไม่ปล่อยให้แกไปหรอก อยู่ที่บ้านนี่แหละ!” พี่สาวใหญ่พูด
สวี่เชิ่งเฉียงจึงพูดว่า “ไม่ใช่ว่าปีนี้พี่สาวผมอายุ 18 แล้วเหรอ? ให้พี่อยู่บ้านแต่งงานกับใครสักคนไปเถอะ ผมจะไปเมืองหลวงแทนที่พี่เอง!”
นี่เป็นความคิดที่ดีทีเดียว พี่สาวใหญ่มองลูกสาวคนที่สามทันที
สวี่เชิ่งเหม่ยหน้าซีด ตอนนี้หล่อนได้ไปเห็นบรรยากาศของเมืองหลวงมาแล้ว ทำให้หล่อนไม่อยากแต่งงานกับคนชนบทอีก หล่อนอยากมองหาใครสักคนที่อยู่เมืองหลวง!
“แม่คะ ถ้าเป็นไปไม่ได้จริง ๆ หนูก็เต็มใจยกตำแหน่งของหนูให้น้องนะคะ แต่ร้านเสื้อผ้าของเราขายเสื้อผ้าผู้หญิง คนที่มาซื้อและมาลองเสื้อผ้าก็เป็นผู้หญิงทั้งหมด น้องชายหนูคงทำไม่ได้หรอกถูกไหมคะ? ส่วนฝั่งของหู่จือเขาขายเสื้อผ้าผู้ชายอยู่ ถ้าแม่อยากให้น้องไปจริงก็ไปคุยกับคุณป้ารองเถอะค่ะ ให้หู่จือกลับมาแต่งงานแล้วก็ยกตำแหน่งของเขาให้น้องชายของหนูไป” สวี่เชิ่งเหม่ยเสนอแนะ
พี่สาวใหญ่เม้มปากเอ่ย “ป้ารองแกจะเต็มใจได้ยังไงล่ะ?”
สวี่เชิ่งเฉียงจึงพูดขึ้นมาว่า “ในเมื่อหู่จือทำได้ ผมก็ทำได้เหมือนกัน ผมไปอยู่ที่ร้านเสื้อผ้าผู้ชายได้เหมือนกันนะครับ”
“ถ้างั้นต้องไปคุยกับน้าสะใภ้น่ะ ทางฝั่งนั้นเขามีคนนอกอยู่คนหนึ่ง ถ้าหล่อนเต็มใจเปลี่ยนให้นายมาทำได้ก็จะลงตัวพอดี” สวี่เชิ่งเหม่ยบอก
“คำก็น้าสะใภ้ สองคำก็น้าสะใภ้ ทำไมพี่ไม่พูดถึงน้าสี่บ้างล่ะครับ?” สวี่เชิ่งเฉียงตอบ “ผมไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับหล่อนสักหน่อย น้าสี่ต่างหากเป็นญาติผม!”
“คำพูดของน้าสี่ไม่มีผลอะไรที่บ้านหรอก มีแค่คำพูดของน้าสะใภ้ที่เป็นสิทธิ์เด็ดขาด” สวี่เชิ่งเหม่ยตอบ
และเรื่องนี้ก็ยังคงคาราคาซังอยู่อย่างนั้น
แม้วันหยุดจะสิ้นสุดในวันที่ 15 มกราคมหรือวันเทศกาลโคมไฟ หู่จือกลับมาแจ้งเรื่องกับสวี่เชิ่งเหม่ยในวันที่ 10
“ยังมีเวลาเหลืออีกหลายวันนะ” สวี่เชิ่งเหม่ยตอบ
“แล้วยังไงล่ะครับ? จะไปก่อนล่วงหน้าก็ไม่เห็นเป็นไรเลย บางทีน้าสะใภ้อาจเริ่มกิจการก่อนกำหนดก็ได้” หู่จือตอบ
สวี่เชิ่งเหม่ยไม่อยากกลับไปเร็วนัก แต่เมื่อคิดถึงทีวีที่นั่นและการที่แม่ของหล่อนจะยกตำแหน่งงานของหล่อนให้น้องชายแล้ว…
ดังนั้นหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สวี่เชิ่งเหม่ยก็เอ่ยขึ้น “งั้นมาหาพี่วันพรุ่งนี้นะจ๊ะ”
“ครับ” หู่จือพยักหน้าตอบ
เขาไม่คิดอะไรมากนัก ที่บ้านเขาเองก็ไม่มีอะไรต้องทำมาก หากไม่ต้องรอกลับพร้อมกับสวี่เชิ่งเหม่ยที่แก่กว่าเขา 1 เดือนแล้ว เขาก็คิดในใจว่าจะขึ้นรถกลับเมืองหลวงไปตั้งแต่วันที่ 7 เลย
ร้านเกี๊ยวของน้าสี่เปิดแล้ว เขาคงไปช่วยงานที่ร้านเกี๊ยวของน้าสี่ได้
แค่ต้องรวมอาหารเข้าไปให้เขาเท่านั้น ส่วนที่เหลือไม่สำคัญอะไร
พูดตามตรงก็คืออาหารที่บ้านเทียบไม่ได้เลยกับอาหารทางฝั่งน้าสี่กับน้าสะใภ้
ดังนั้นเช้าตรู่ของอีกวัน หู่จือจึงแบกกระเป๋ามาหาสวี่เชิ่งเหม่ย ซึ่งสวี่เชิ่งเหม่ยก็ออกจากบ้านพร้อมกับห่อผ้าเล็ก ๆ ความจริงก็คือมันไม่มีอะไรให้ต้องนำไปด้วยมากนัก
ทั้งสองมาที่ตัวอำเภอด้วยกัน จากนั้นก็ขึ้นรถต่อไปที่เทศบาลมณฑล จากนั้นก็ต่อรถไฟจากเทศบาลมณฑลไปยังเมืองหลวง
ส่วนที่เมืองหลวง หลินชิงเหอก็เริ่มเตรียมเปิดร้านเครื่องดื่มในหลายวันมานี้
ในวันที่ 9 เธอเดินทางไปยังสำนักงานจัดการทรัพย์สินและเอ่ยถามเรื่องนี้ และได้ความว่ามีร้านค้าร้านหนึ่งอยู่แถวนั้น ราคาที่ถามมานั้นคือ 3,000 หยวน
หลินชิงเหอเดินไปดูร้านค้าเล็ก ๆ ร้านนั้น เธอไม่ค่อยพอใจสักเท่าไรนัก เพราะตัวร้านค่อนข้างเล็ก มีขนาดเพียง 10 กว่าตารางเมตรเท่านั้น แถมยังชำรุดทรุดโทรมเป็นพิเศษด้วย ดังนั้นต้องมีปรับปรุงและตกแต่งร้านเสียใหม่
แต่เป็นเพราะว่าข้าง ๆ ร้านค้านี้มีโรงภาพยนตร์อยู่ หลินชิงเหอจึงเกิดอาการลังเล และจบลงด้วยการที่เธอซื้อร้านค้าแห่งที่สี่ไป