ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม – บทที่ 388 เคลียร์สินค้าในตลาดมืด

บทที่ 388 เคลียร์สินค้าในตลาดมืด

บทที่ 388 เคลียร์สินค้าในตลาดมืด

โจวชิงไป๋ไม่รู้ว่าควรจะออกความเห็นในเรื่องนี้อย่างไรดี

เขาไม่ใช่คนที่จะจัดการเรื่องราวประเภทนี้ภายในบ้านได้ดีนัก ดังนั้นจึงไม่ได้ตอบอะไรกลับไป

หลินชิงเหอก็ไม่ได้ต้องการคำตอบของเขา เธอพูดต่อไปว่า “จากที่เห็น หลี่อ้ายกั๋วคนนี้ไม่เลวเลยค่ะ แค่เรื่องที่ว่าหมู่บ้านนั้นมีเพียงถนนเส้นเล็ก ๆ เท่านั้นที่เชื่อมกับโลกภายนอก ถ้าไม่ระวังให้ดี พวกเขาก็อาจจะตกเขาลงไปได้”

ภาพของเส้นทางที่เป็นเนินขรุขระบนยอดเขาของท่านผู้เฒ่าจากการ์ตูนเรื่องอภินิหารเจ้าหนูน้ำเต้าทั้ง 7 (1) ปรากฏขึ้นในหัวของหลินชิงเหอ มันอันตรายมากจริง ๆ

“พรุ่งนี้ขี่รถไปดูที่นั่นกันไหมครับ?” โจวชิงไป๋ถาม

“ดีค่ะ” หลินชิงเหอพยักหน้าเห็นด้วยเพราะไม่มีอะไรให้ทำอยู่แล้ว

ทั้งคู่กำลังเบื่อ ๆ กันอยู่พอดี เช้าวันรุ่งขึ้นพวกเขามากินอาหารเช้าที่บ้านสะใภ้ใหญ่ แล้วก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปทางบ้านของหลี่อ้ายกั๋ว

ปกติแล้วจะต้องใช้เวลาเดินตลอดทั้งวัน แต่เนื่องจากพวกเขามีมอเตอร์ไซค์ เมื่อออกเดินทางตอน 7 โมงเช้าจึงไปถึงก่อนเวลา 11 โมง

พอมาถึงที่เมืองนั้น พวกเขาก็สอบถามไปทั่วถึงที่ตั้งหมู่บ้านของหลี่อ้ายกั๋ว

มันเป็นหมู่บ้านที่อยู่บนภูเขาโดยแท้

ถ้าไปทางถนนบนภูเขาที่อันตรายเส้นนี้แล้ว การเดินทางจะสั้นลง ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมงก็สามารถไปถึงหมู่บ้านได้

กระนั้นก็ยังมีถนนอีกเส้นหนึ่งซึ่งจะอ้อมคดเคี้ยวไปตามไหล่เขา เส้นทางนี้จะไกลกว่า และใช้เวลาเดินถึง 4 ชั่วโมงจากตัวเมืองไปยังหมู่บ้าน ซึ่งต้องใช้เวลาเกือบครึ่งวัน

ทว่าเมื่อเทียบกันแล้วถือได้ว่าปลอดภัยกว่ามาก

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้คือสิ่งที่ผู้คนกล่าวถึง การเดินทางจากหมู่บ้านไปตลาดต้องใช้เวลานานมาก

มันอยู่ห่างไกลจนเกินไป

ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นอันรู้กันโดยไม่ต้องเอ่ยว่า หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋จะไม่เดินทางต่อเพื่อไปที่หมู่บ้านนั้น

พวกเขานั่งพักกินไอศกรีมคลายร้อนกันอยู่ในเมือง จากนั้นจึงเดินทางกลับหมู่บ้านของตนเอง

สำหรับโจวซานนีนั้น ถ้าดูตามอุปนิสัยของหล่อนแล้ว 9 ใน 10 ส่วน หล่อนคงจะเลือกใช้เส้นทางที่ต้องอ้อมตามไหล่เขามากกว่าเส้นทางบนภูเขาแน่ ฉะนั้นจึงไม่จำเป็นต้องกังวลมากนัก

ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องไปคอยกังวล โจวซานนีจะมีชีวิตเป็นของตัวเองแล้ว ฉะนั้นก็ต้องไปที่นั่นให้ได้ด้วยตนเอง

แต่ถ้าเป็นไปได้ ในอนาคต เธอก็อยากให้โจวซานนีและหลี่อ้ายกั๋วพิจารณาถึงโอกาสในการออกไปหาความก้าวหน้าภายนอก

เพราะไม่ว่าอย่างไร การอาศัยอยู่ในพื้นที่ภูเขาเช่นนี้ก็เป็นปัญหาใหญ่สำหรับการศึกษาของเด็ก ๆ

เมื่อทั้งคู่กลับมาถึงหมู่บ้านก็เป็นเวลาหลังบ่ายโมงแล้ว พวกเขาไม่ได้ออกไปกินอาหารที่อื่น เพราะมีเกี๊ยวร้อน ๆ และข้าวเปล่าอยู่ในมิติของหลินชิงเหอ

พวกเขาสามารถดูแลกันเองได้

หลังจากกินเสร็จ โจวชิงไป๋จึงไปบ้านพี่สาวใหญ่ ซึ่งหลินชิงเหอไม่ต้องการไปด้วย ในเวลานี้พี่สาวใหญ่ก็คงไม่ต้องการจะเจอเธอเช่นกัน

อย่างไรก็ดี หลินชิงเหอก็รู้สึกอับจนกับเรื่องนี้มาก เป็นเพราะความใจอ่อนเพียงชั่ววูบทำให้เธอยอมพาสวี่เชิ่งเหม่ยไปด้วย จนกลายเป็นเหตุให้เกิดความขัดแย้งระหว่างกันขึ้นในเวลานี้

โจวชิงไป๋และพี่สาวใหญ่เป็นพี่น้องกัน ดังนั้นให้เขาเป็นคนไปจะดีกว่า ไม่เพียงแต่ไปที่บ้านพี่สาวใหญ่เท่านั้น แต่ยังไปบ้านพี่สาวรองด้วย เพื่อจะนำเงินเดือนไปมอบให้

หลินชิงเหอที่ไม่ได้ไปที่นั่นด้วย จึงไปเยี่ยมโจวต้งกับไฉ่ปาเม่ย

ตอนนี้โจวต้งและไฉ่ปาเม่ยได้ก้าวขึ้นไปยืนอยู่ในระดับแถวหน้าของหมู่บ้านได้อย่างแท้จริงแล้ว

ทั้งสองมีลูกชาย 2 คนและลูกสาวอีก 1 คน นับเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบมาก

ในตอนที่หลินชิงเหอไปถึง โจวต้งกำลังซ่อมเล้าหมูอยู่

“คุณอาสะใภ้!” โจวต้งส่งเสียงอย่างดีใจพลางสอนลูกชายและลูกสาว “เรียกคุณย่าสะใภ้เร็ว”

“คุณย่าสะใภ้” เด็กทั้ง 2 คนเอ่ยทักทาย

หลินชิงเหอฉีกยิ้มกว้าง แล้วเปิดถุงลูกอมตรากระต่ายขาวออก จากนั้นก็ส่งให้พวกเขาคนละ 2 ห่อ และวางถุงที่เหลือลงบนโต๊ะ

“ปาเม่ย คุณอาสะใภ้มา” โจวต้งตะโกนไปทางสวนหลังบ้านอีกรอบ

ไฉ่ปาเม่ยเดินมาพร้อมกับลูกชายคนเล็ก หล่อนดีใจมากที่ได้เจอหลินชิงเหอ พลางพูดเสียงดังว่า “คุณอาสะใภ้ จริง ๆ ไม่เห็นจะต้องเอาลูกอมมาให้พวกเขาเลยค่ะ”

“ทำไมล่ะ? ไม่เห็นมีอะไรแปลกกับการที่อาจะให้ลูกอมไม่กี่ห่อกับหลานชาย หลานสาวเลยนี่จ๊ะ” หลินชิงเหอกล่าวอย่างร่าเริง

ไฉ่ปาเม่ยส่งลูกชายคนเล็กไปให้โจวต้ง แล้วเข้าไปหยิบแก้วมาล้าง จากนั้นก็เอาน้ำออกมาให้

“เธอเลี้ยงไก่ไว้ทั้งหมดกี่ตัวจ้ะเนี่ย?” หลินชิงเหอถาม

“หนูจะบอกคุณอาสะใภ้ แต่อย่าไปบอกใครนะคะ” ไฉ่ปาเม่ยหัวเราะเบา ๆ

“อาจะไปบอกใครได้ล่ะ?” หลินชิงเหอพูดยิ้ม ๆ

“มากกว่า 600 ตัวค่ะ” ไฉ่ปาเม่ยตาเป็นประกายพร้อมกับบอกออกมาเสียงค่อย

หลินชิงเหอพยักหน้าพลางพูดว่า “จำนวนนี้กำลังเหมาะดีทีเดียว แต่อาคิดว่ายังดูแลเรื่องความสะอาดได้ไม่ดีพอ”

ตอนที่เดินเข้ามา เธอได้กลิ่นเหม็นตลบอบอวลไปหมด

“เราก็ทำความสะอาดกันทุกวันนะคะ” ไฉ่ปาเม่ยพูด

“ยังไม่พอหรอกจ้ะ เธอต้องทำความสะอาดข้างในอย่างน้อย 1 ครั้งทั้งตอนเช้าและตอนเย็น จะมามัวประหยัดเงินไม่ได้ ตอนที่น้องชายของอามาเก็บไข่ที่นี่ ขอให้เขาซื้อน้ำยาฆ่าเชื้อจากโรงพยาบาลมาให้สัก 2-3 ขวด แล้วล้างทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรคทุก ๆ 2 วันนะ” หลินชิงเหอแนะนำอย่างจริงจัง

“ได้ครับ!” โจวต้งรับคำอย่างขันแข็ง

“พวกเธอนี่ก็ขยันนะ เลี้ยงไก่ไว้ตั้งเยอะขนาดนี้แล้ว อายังได้ยินเสียงหมูอีกด้วย?” หลินชิงเหอพูด

“หลังบ้านมีหมูอยู่ 2 ตัวค่ะ” ไฉ่ปาเม่ยบอก

โจวต้งทำงานในทุ่งนา ในขณะที่ไฉ่ปาเม่ยเป็นคนจัดการเรื่องสัตว์เลี้ยงอยู่ที่บ้าน

งานที่ต้องทำมีเยอะมาก ทว่าก็เป็นความจริงที่มันสามารถทำกำไรให้ได้มากเช่นกัน ใน 1 เดือนแค่ไข่ไก่เพียงอย่างเดียวก็มีรายได้มหาศาลแล้ว

เมื่อเทียบกับยุคก่อนการปฏิรูป ราคาไข่เพิ่มสูงขึ้นอีกนิดหน่อย ในอดีตราคาไข่อยู่ที่ 3 เหมา ตอนนี้มีราคาอยู่ที่ประมาณ 4 เหมา

นอกจากนี้ แม้มันจะมีราคาเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังเป็นที่นิยมในการบริโภคอยู่ ความต้องการของตลาดมีสูงมาก

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในตอนนี้สิ่งที่เรียกว่าคูปองทั้งหลายเริ่มกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีความจำเป็นลงไปทุกที และไม่มีข้อจำกัดในการซื้ออีกแล้ว

หลินชิงเหอก็มองว่าธุรกิจของโจวต้งและไฉ่ปาเม่ยเป็นธุรกิจที่ดีมากเช่นกัน ชีวิตของพวกเขากำลังรุ่งเรือง การเลี้ยงไก่ในจำนวนมากมายเช่นนี้ รายได้ที่ได้จากไข่ทุกเดือนน่าจะเกือบเท่ากับรายได้ร้านเกี๊ยวของโจวชิงไป๋เลยทีเดียว

เขาน่าจะกลายเป็นครัวเรือนที่มีรายได้ 10,000 หยวนในหมู่บ้านแห่งนี้ได้ในไม่ช้า

โจวชิงไป๋กลับมาจากบ้านพี่สาวทั้ง 2 คนในอีก 2 ชั่วโมงต่อมา

“หล่อนว่ายังไงบ้างคะ?” หลินชิงเหอเลิกคิ้ว เธอเดาว่าพี่สาวใหญ่จะไม่ไปปักกิ่ง

แน่นอนที่สุด โจวชิงไป๋พูดว่า “พี่สาวใหญ่ไม่คิดจะไปครับ หล่อนต้องการให้ผมพาเชิ่งเฉียงไปด้วย”

หลินชิงเหอไม่ได้ถามอะไรต่อ ชิงไป๋ของเธอจะต้องไม่ตอบตกลงแน่นอน ไม่อย่างนั้นสวี่เชิ่งเฉียงคงจะอยู่ที่นี่ด้วยแล้ว

เมื่ออำลาพี่ชายใหญ่ พี่ชายรอง ญาติคนอื่น ๆ และเพื่อนบ้านแล้ว พวกเขาก็เข้าไปที่อำเภอ

พวกเขาแวะไปหาโจวเซี่ยหลานชายที่โรงงานเฟอร์นิเจอร์

โจวเซี่ยงานยุ่งมากทีเดียว โดยปกติแล้วไม่มีเวลาได้กลับไปที่บ้านเลย เว้นแต่ช่วงปีใหม่เท่านั้น เวลาที่เหลือเขาอยู่แต่ที่โรงงาน

ต้องบอกว่าเขาเป็นคนที่ทำงานหนักจริง ๆ ตอนนี้เขาสามารถสร้างเฟอร์นิเจอร์บางอย่างเป็นแล้ว

หลังจากไปหาโจวเซี่ยแล้ว ทั้งคู่ก็ไปหาน้องชายสามตระกูลหลินเพื่อคืนมอเตอร์ไซค์ให้เขา จากนั้นก็แวะไปร่ำลาพี่ชายสามและสะใภ้สาม ก่อนจะขึ้นรถไปเทศบาลมณฑล

กว่าที่พวกเขาจะมาถึงเทศบาลมณฑลก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว ไม่มีรถไฟแล้วในเวลานี้ ทำได้แค่รอจนถึงวันพรุ่งนี้เท่านั้น

ทั้งคู่จึงพักอยู่ที่นั่น 1 คืน

พวกเขามีเวลาว่างเหลือ เมื่อรู้สึกเบื่อขึ้นมา หลินชิงเหอจึงออกความเห็น “ไปที่ตลาดมืดกันดีไหมคะ?”

เธอไม่ได้โอ้อวดเกินจริงเลย เมื่อพูดว่าเธอคุ้นเคยกับตลาดมืดเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นที่ในอำเภอ เทศบาลมณฑลหรือเมืองหลวงประจำมณฑลก็ตาม

“อืม” โจวชิงไป๋ไม่คัดค้าน

ทั้งคู่มาที่ตลาดมืดเพื่อขายสินค้าทั้งหมดของพวกเขา ปีนี้พวกเขาสามารถทำเงินได้มากมายจากการเป็นนายหน้าค้ากำไร แต่แลกเปลี่ยนมันเป็นของต่าง ๆ แทน

………………………………………………………………………………

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

Status: Ongoing

<strong>*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน</strong>

<strong>จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 …</strong>

<strong>ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย</strong>

<strong>ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…</strong>

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท