ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม – บทที่ 565 ร่วมมือกัน

บทที่ 565 ร่วมมือกัน

บทที่ 565 ร่วมมือกัน

หลังจากตัดสินใจได้ สองสามีภรรยาก็ไปซื้อรถยนต์มา

ขณะที่โจวเฉวี่ยนกับโจวกุยหลายรู้สึกกังวลเล็กน้อยที่แม่ของพวกเขาต้องไปเซี่ยงไฮ้และไม่รู้ว่าพวกเขาจะคุ้นชินกับที่นั่นไหม หลินชิงเหอก็นั่งอยู่ในรถยนต์กับโจวชิงไป๋แล้ว

รถยนต์คันเล็กคันนี้พวกเขาซื้อมาในราคาประมาณ 38,000 หยวน ถือว่าเป็นของฟุ่มเฟือยอย่างแท้จริง ที่แม้แต่หลินชิงเหอก็ยังอดรู้สึกปวดใจไม่ได้เลย

เพราะเงิน 38,000 หยวนนี้สามารถซื้อบ้านในเซี่ยงไฮ้ได้ 2 หรือ 3 หลังเลยทีเดียว

แต่เมื่อคิดถึงเงินเก็บของครอบครัวในตอนนี้แล้วก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้เลย หลินชิงเหอยังรู้สึกดีใจมากที่ได้ซื้อรถยนต์

ความรู้สึกของการได้ขับรถยนต์คันเล็กเช่นนี้กลับมาที่บ้านนั้นมีไม่น้อยเลย

ไม่รู้ว่าสองสามีภรรยาที่เพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ทำอาชีพอะไร แต่คิดไม่ถึงว่าเพียงละสายตาแค่ครู่เดียว พวกเขาก็ขับรถยนต์คันเล็กกลับมาแล้ว

คนที่มีรถยนต์ขับในช่วงยุคนี้ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ยืนยันได้ว่าคนคนนั้นจะต้องเป็นคนมีเงิน

ใครจะซื้อของฟุ่มเฟือยระดับนี้ได้โดยที่ไม่มีเงิน? อย่าพูดถึงเรื่องซื้อเลย แม้แต่เปิดประตูรถก็ยังไม่มีโอกาสด้วยซ้ำ

แต่ดูนั่น ใครเป็นคนขับรถกลับมากันนะ? เป็นหลินชิงเหอที่เป็นขับกลับมานั่นเอง

โอ้โห ไม่เคยเห็นผู้หญิงขับรถได้มาก่อนเลย

หลินชินเหออยากจะลองขับ แน่นอนว่าตอนแรกโจวชิงไป๋ไม่ยอม แต่หลินชิงเหอยืนยันที่จะขับให้ได้

ก็ไม่มีปัญหาอะไรเสียหน่อย เธอเพียงแค่ท้องเท่านั้นเอง ก่อนหน้านี้เธอก็เคยเห็นข่าวคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ขับรถแท็กซี่มาแล้ว ดังนั้นตัวเธอที่มีเด็กน้อยอยู่ในท้องก็ขับรถได้เหมือนกันน่า

เธอขับเพียงระยะสั้นเท่านั้น ไม่มีอะไรน่าตกใจเกิดขึ้นหรอก

คิดไม่ถึงว่าพอขับมาถึงบริเวณเขตชุมชนเล็ก ๆ จะทำให้คนตื่นตกใจขนาดนี้

ดูไม่ออกเลยจริง ๆ ว่าสองสามีภรรยาคู่นี้จะเป็นคนมีเงิน

ในบรรดาเพื่อนบ้านทั้งซ้ายขวาเหล่านี้มีตระกูลกัวที่ก่อนหน้าต้องการจะซื้อบ้านจากเจ้าของคนเก่ารวมอยู่ด้วย ถ้าบอกว่าพวกเขาไม่รู้สึกอคติกับหลินชิงเหอและโจวชิงไป๋ก็เห็นจะเป็นไปไม่ได้

นายทหารหนุ่มเจ้าของบ้านคนเก่าเกือบจะขายบ้านให้พวกเขาในราคา 8,000 หยวนอยู่แล้ว ใครจะไปคิดว่าจะมีโจวชิงไป๋มาซื้อตัดหน้าไปแบบนี้? และเขายังซื้ออย่างไม่มีลังเลอีกด้วย

พวกเขาคิดแผนการชั่วร้ายไว้ แต่ติดที่ไม่รู้ประวัติของสองสามีภรรยาคู่นี้เลย ดังนั้นจึงต้องดูไปก่อน หากมีข้อมูลแล้ว ถึงตอนนั้นค่อยไปจัดการคนต่างถิ่นทั้งสองคนนอกรอบอีกที

แต่ใครจะไปคิดว่าโจวชิงไป๋และหลินชิงเหอจะขับรถยนต์กลับมาแล้ว

เพียงเท่านี้จากแผนเดิมที่วางไว้ก็เป็นอันต้องถอดใจ มิน่าเล่าทำไมพอพวกเขาได้ยินราคาบ้านก็ซื้อเลยแถมไม่ต่อราคาสักนิดเดียว ที่แท้พวกเขาเป็นคนมีเงินนี่เอง!

ตระกูลกัวทำได้เพียงเก็บความคิดของตัวเองเอาไว้ เขาไม่กล้ายั่วโทสะกับพวกคนรวยแบบนั้นได้ ถึงยั่วโทสะสองคนนั้นได้ก็คงจะลำบาก พวกเขาสู้ไม่ไหวหรอก

หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋ถูกคนมามุงดู แต่เป็นคนที่พวกเขารู้จัก ซึ่งก็คือตาเฒ่าเจียงกับยายเฒ่าเจียง

หลินชิงเหอเรียกพวกเขาว่าคุณลุงเจียงกับคุณป้าเจียง

เห็นสรรพนามที่เรียกอย่างสนิทสนมแล้ว คนรอบข้างก็อึ้งไปสักพัก และเข้าไปสอบถามตาเฒ่ากับยายเฒ่าเจียง

หรือว่าจะเป็นญาติจากที่ไหนของพวกเขา?

ตาเฒ่าและยายเฒ่าเจียงพูดอย่างติดตลกว่าเป็นคนที่มาจากปักกิ่ง สำหรับเรื่องที่ว่าเป็นญาติของพวกเขาหรือไม่นั้น พวกเขาไม่ได้ตอบกลับไป แต่ก็ทำให้เหล่าเพื่อนบ้านเข้าใจผิดไปแล้ว ว่านี้คือญาติของตาเฒ่ากับยายเฒ่าเจียง

พวกเขาไม่เห็นเคยได้ยินมาก่อนว่าสองผู้เฒ่ามีญาติที่ไหนจากปักกิ่ง? อีกทั้งพวกเขาก็ไม่แปลกใจว่าทำไมสองคนนั้นถึงมีเงิน ที่แท้มาจากปักกิ่งนี่เอง

ตระกูลกัวที่ยืนอยู่ตรงนี้ได้ยินข่าวอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นก็ด่าออกมา “ฉันก็ว่ามันจะไปบังเอิญขนาดนั้นได้ยังไงที่บ้านนั้นจู่ ๆ ก็มีคนมาซื้อไป ที่แท้มีคนเอาไปสาวไส้ให้กากินตั้งแต่ก่อนหน้าแล้วนี่เอง”

แต่ก็เป็นความจริงที่ว่าบ้านราคา 9,000 หยวนยังแพงเกินไป แน่นอนว่าราคานี้ต่ำกว่าราคาตลาดอยู่ไม่น้อยแล้ว ช่วยไม่ได้ ใครให้เจ้าของบ้านคนเก่ารีบขายกันล่ะ? ไม่อย่างนั้นบ้านแบบนี้ต่อไปราคาจะขึ้นถึง 10,000 หยวนเป็นอย่างต่ำได้ด้วยซ้ำ

ทว่าถึงราคาจะต่ำกว่าราคาตลาดแล้ว สำหรับตระกูลกัวนั้นก็ยังคิดว่ามันแพงอยู่ ดังนั้นพวกเขาจึงอยากที่จะกดราคาลงอีกจนเหลือประมาณ 8,000 หยวน

ใครจะไปรู้ว่าจะมีคนซื้อตัดหน้าเร็วกว่าพวกเขาไปได้

แถมสองคนนั้นยังเป็นคนมีเงินถึงขนาดนี้ พวกเขาซื้อรถยนต์ได้โดยไม่คิดอะไรเลย อีกทั้งเช้าวันนี้พวกเขายังซื้อทีวี เครื่องซักผ้า ตู้เย็น แล้วก็พวกของใหญ่ ๆ ของพวกนี้รวม ๆ แล้วเป็นเงินราคาเท่าไหร่กันนะ?

พวกเขาเป็นคนรวยอย่างแน่นอน!

หลินชิงเหอไม่ได้สนใจอะไรมากขนาดนั้น เพียงครู่เดียวเธอก็เข้ามาในบ้านและรอกินข้าวด้วยความหิว

โจวชิงไป๋หุงข้าวเอาไว้ และก็ทำผัดผักสองอย่างกับน้ำแกงหนึ่งชามเท่านั้น ก่อนจะนำมาวางบนโต๊ะ แล้วสองสามีภรรยาก็เริ่มนั่งลงกินข้าว

สำหรับเรื่องตกเป็นเป้าของการพูดถึงโดยรอบนั้นพวกเขาไม่ได้คิดอะไรมาก คนที่เพิ่งย้ายเข้ามาใหม่อย่างพวกเขาย่อมต้องรู้สึกแปลกเป็นธรรมดา ผ่านไปสักพักเดี๋ยวก็หายไปเอง

ตอนที่ยายเฒ่าเจียงข้างบ้านมาเคาะประตู หลินชิงเหอกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในสวน โจวชิงไป๋ก็กำลังล้างจานชามอยู่

พอเห็นแบบนั้นยายเฒ่าเจียงก็อึ้งไปสักพัก หลังจากนั้นก็ยิ้มแล้วพูด “เสี่ยวโจวนี่รักภรรยาดีจังเลยนะ”

โจวชิงไป๋ไม่ใช่อายุน้อย ๆ แล้ว ตอนนี้เขาอายุได้ 40 กว่าปี แต่ยายเฒ่าเจียงอายุ 60 กว่าปีแล้ว ย่อมต้องเรียกเขาว่าเสี่ยวโจวเป็นธรรมดา

“คุณป้ามาแล้ว นั่งก่อนสิคะ” หลินชิงเหอพูดยิ้ม ๆ

ยายเฒ่าเจียงจึงเดินมานั่งลง แล้วพูดยิ้ม ๆ ว่า “วันนี้พวกเธอทำเอาชาวบ้านแถวนี้ตกใจกันหมดแล้ว”

หลินชิงเหอหัวเราะพูดว่า “เป็นเพราะเขาชอบสรรหาเรื่องน่ะสิคะ”

ยายเฒ่าเจียงพูด “ลูกชายฉันเป็นรองผู้อำนวยการ อยู่ที่นี่ไม่ต้องกังวลเรื่องพวกเขาไปนะ พวกเธอสองคนเล่นใหญ่ขนาดนี้ ฉันกับตาแก่ก็เลยอยากให้พวกเธออยู่อย่างสงบสักหน่อย จะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องที่ไม่ควรกังวล เมื่อกี้มีคนถามฉันว่าพวกเธอเป็นญาติห่าง ๆ ของฉันหรือเปล่า ฉันก็ไม่ได้ปฏิเสธไป”

หลินชิงเหอได้ยินก็เข้าใจ นี่ก็คือการร่วมมือกันของพวกเขา

แม้ว่าหล่อนกับโจวชิงไป๋จะไม่ได้กังวลอะไรกับชีวิต แต่มีคนหวังดีด้วยเธอก็ไม่ปฏิเสธ โจวชิงไป๋เองก็เช่นกัน

ทั้งสองกล่าวขอบคุณยายเฒ่าเจียง

“ไม่ใช่อะไรหรอก เห็นพวกเธอแล้วรู้สึกสนิทใจด้วยน่ะ” ยายเฒ่าเจียงพูดยิ้ม ๆ “อีกอย่างฉันอยากจะมาฟังเรื่องที่ปักกิ่งให้เธอเล่าให้ฟังเยอะ ๆ ด้วย ฉันไม่เคยไปที่นั่นมาก่อน มีสถานที่ท่องเที่ยวหลายที่ที่ยังไม่ได้ไปเหมือนกัน”

“นั่นไม่เป็นอะไรหรอกคะ แต่ปีนี้ฉันไม่มีเวลาว่างแล้ว เอาไว้คราวหลังคุณป้าไปปักกิ่ง ฉันจะจัดคนให้เป็นมัคคุเทศก์พาพวกคุณเที่ยว อยากไปไหนก็ไปได้เลยนะคะ” หลินชิงเหอพูดยิ้ม ๆ

“อย่างนั้นก็ได้ ฉันกับตาแก่ของฉันน่ะอยากจะไปดูพิธีเชิญธงชาติ ตั้งหลายปีแล้วก็ยังไม่เคยไปเหมือนกัน แล้วก็ยังมีกำแพงเมืองจีนด้วยที่อยากไป” ยายเฒ่าเจียงยิ้มพูด

พูดคุยกันสักพัก ยายเฒ่าเจียงก็กลับไป ที่มารอบนี้ก็เพื่อมาบอกแผนสมคบคิด ไม่ให้พวกเขาหลุดปาก

แต่ก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าลูกชายของยายเฒ่ากับตาเฒ่าเจียงจะเป็นรองผู้อำนวยการ ถึงว่าทำไมถึงรู้สึกเหมือนว่าพวกเขาได้ดูมีหน้ามีตาไม่เบา

หลินชิงเหอกับโจวชิงไปหัวเราะแล้วพูด “สองสามีภรรยาเจียงเป็นคนดีมากเลยนะ”

“อืม” โจวชิงไป๋พยักหน้า

แม้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาจะอยู่ได้ไม่มีปัญหา แต่หากว่ามีเพื่อนบ้านดี ๆ ก็ไม่เลวเหมือนกัน เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ไม่แน่ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาอาจต้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่นหรือไม่ก็ได้?

แต่เพราะประสบกับเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ดังนั้นหลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋ก็สรุปว่าจะลงหลักปักฐานที่นี่แล้ว

มีคนไม่น้อยมาสอบถามเรื่องราวที่ปักกิ่งด้วย

หน้าประตูครึกครื้นอยู่ได้สองวัน หลังจากนั้นหลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋ก็ออกนอกบ้านในเวลาปกติ ไม่อยู่บ้านอีกแล้ว

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ดำเนินชีวิตอยู่ดี ๆ ก็ไปหนักหัวคนอื่นเข้าเสียอย่างนั้น เฮ้อ ขอให้แม่กับพ่อหาแบคดี ๆ ไว้นะคะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

Status: Ongoing

<strong>*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน</strong>

<strong>จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 …</strong>

<strong>ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย</strong>

<strong>ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…</strong>

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท