หลี่ซื่อหมินเดินไปรอบๆ อวิ๋นเยี่ยแล้วหันกลับมาพูดกับจั่งซุนว่า “ฮองเฮา ไอ้เจ้านี่บางครั้งก็มีความยืนหยัดอยู่เล็กน้อย จะบอกว่าเขาหยิ่งในศักดิ์ศรีก็ไม่ใช่ พอถูกตีก็ร้องไห้น้ำมูกน้ำตาไหล บอกว่าเขาไม่หยิ่งในศักดิ์ศรีก็ไม่ใช่อีก สองสามวันที่ผ่านมายังทำลายบ่อนของหลานหลิงจนเละ เมื่อจัดการการฉีดวัคซีน กลับให้ลูกศิษย์ของสำนักศึกษามาก่อน แม้แต่พระราชวังยังจัดความสำคัญอยู่อันดับที่สอง
คนที่มีแต่ศักดิ์ศรีอย่างเว่ยเจิงก็น่ารำคาญ คนที่ไม่มีศักดิ์ศรีเราก็ไม่ชอบ เจ้าคิดว่าไอ้เจ้านี่มันเป็นคนเช่นไรกันแน่”
จั่งซุนยกชามาให้หลี่ซื่อหมินถ้วยหนึ่ง จากนั้นก็ชี้ไปที่กาน้ำชา หมายความว่าให้อวิ๋นเยี่ยไปเทมาให้นางถ้วยหนึ่ง หลี่ซื่อหมินยื่นชาในมือให้อวิ๋นเยี่ย แล้วตัวเองหยิบกาน้ำชาเล็กขึ้นมาจิบ
“ไอ้หนุ่ม หากเราโยนเสื้อผ้าในขวดของเจ้าไปให้พวกศัตรู เจ้าคิดว่า…”
“ระยะฟักตัวของโรคนี้ไม่เกินครึ่งเดือน ถึงตอนนั้นมันก็จะแพร่กระจายไปยังพื้นที่ขนาดใหญ่ ขณะเดียวกันนั้นกองทัพที่ได้รับวัคซีนเรียบร้อยแล้วของฝ่าบาทก็พร้อมจะจับปืนไปฆ่าคน ศัตรูของฝ่าบาทต้องตายอย่างแน่นอน เป็นไปไม่ได้ที่จะผิดพลาดไปจากนั้น” อวิ๋นเยี่ยขัดจังหวะหลี่ซื่อหมินอย่างไม่ลังเล เขาไม่มีทางปล่อยให้คำพูดพวกนั้นออกมาจากปากของหลี่ซื่อหมินเอง
ตัวเองพูดออกมามากสุดก็เป็นภาพลวงตาอย่างหนึ่ง แต่หากหลี่ซื่อหมินพูดออกมามันคงจะน่ากลัว เขามีความสามารถและมีความปรารถนา เขาสามารถที่จะทำให้ความชั่วร้ายเช่นนี้เกิดขึ้นได้ในสนามรบ
“ไอ้หนุ่ม คำพูดที่พูดขู่เฝิงอั้ง เราเอาไปพูดขู่คนอื่นได้หรือไม่” หลี่ซื่อหมินหรี่ตาลงขอความเห็นจากอวิ๋นเยี่ย
ทันใดนั้นระฆังเตือนอันตรายในใจของอวิ๋นเยี่ยก็ดังขึ้นอย่างแรง เขาค่อยๆ พูดกับหลี่ซื่อหมินว่า “กระหม่อมพูดได้ พวกเขาก็แค่คิดว่ากระหม่อมประสบการณ์น้อย จิตใจกำลังกระชุ่มกระชวย แต่กับฝ่าบาทไม่เหมือนกัน หากฝ่าบาทเป็นผู้เอ่ยวาจาออกมา ก็จะมีคนคิดว่าเขากำลังจะต้องเผชิญกับผลลัพธ์อันเลวร้าย ไข้ทรพิษไม่เพียงแต่มีในต้าถัง ฉ่าวหยวนก็มีเช่นกัน แถบตะวันตกก็มีมากมาย นอกจากนี้ ฝ่าบาท มันยังมีไวรัสหลายชนิดที่คล้ายกับไข้ทรพิษ กาฬโรคและอหิวาตกโรค ความอันตรายของพวกมันน่ากลัวกว่าไข้ทรพิษเสียอีก โดยเฉพาะกาฬโรค คนที่ติดโรคนี้มีชีวิตรอดยาก คนที่ตายมีร่างกายสีดำคล้ำ น่ากลัวเป็นที่สุด ได้ยินมาว่าโรคร้ายนี้ระบาดอยู่ทางสุดขั้วของตะวันตก โหมกระหน่ำมานานกว่าหนึ่งปีแล้ว ราษฎรในเมืองลดลงกว่าสามส่วนของทั้งหมด”
หลี่ซื่อหมินเลียริมฝีปากที่แห้งเหือดของตัวเอง จั่งซุนตกใจกับเสียงกลืนน้ำลายของตัวเอง พึ่งคิดว่าจะเอาของสิ่งนี้ไปให้กับกองทัพทหาร แต่กลับถูกอวิ๋นเยี่ยสาดน้ำเย็นเข้าใส่เต็มๆ ความหมายของอวิ๋นเยี่ยก็คือเรามีไข้ทรพิษ พวกเขามีกาฬโรคหรือโรคประหลาดอื่นๆ ผลสุดท้ายก็คือต้าถังจะกลายเป็นแหล่งรวมโรคติดต่อที่รุนแรง ผู้คนไม่ต้องอยู่อาศัยแผ่นดินแห่งนี้กันแล้ว
“ดูแลสิ่งนี้ให้ดี อย่าปล่อยให้มันแพร่กระจายออกไป” หลี่ซื่อหมินสั่งอวิ๋นเยี่ยอย่างเคร่งขรึม
“กระหม่อมได้เตรียมการไว้อยู่แล้ว แหล่งมลพิษที่เหลืออยู่จะถูกส่งมาอยู่ในความดูแลฝ่าบาททั้งหมด กระหม่อมมิอาจแบกรับความรับผิดชอบนี้ไว้ ฝ่าบาทโปรดหายอดฝีมือคนอื่นเถิด”
มีแต่คนโง่ที่จะยอมแบกรับเรื่องยุ่งยากแบบนี้ เกิดข้อผิดพลาดขึ้นมาเล็กน้อยก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ ถึงตอนนั้นจะตายอย่างไรก็มิอาจรู้ หยวนฉีมีความกังวลเรื่องนี้ อวิ๋นเยี่ยก็มีเช่นกัน
“ไอ้หนุ่ม เจ้าไม่อยากรับผิดชอบ เรารู้ว่าเจ้ามีความกังวลของเจ้า แต่เรื่องนี้ต้องมีคนไปทำ เจ้ามีใครหรือไม่ จะต้องทำเช่นไร คิดว่าเจ้าน่าจะรู้ ลองพูดมาสิ เพราะเจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้”
หลี่ซื่อหมินก็รู้สึกว่าไม่ควรมอบเรื่องนี้ให้กับอวิ๋นเยี่ย เรื่องนี้มันน่ากลัวเกินไป หากไม่ระวังอาจจะทำให้เกิดหายนะได้ไม่รู้จักจบ หาคนที่น่าเชื่อถือกว่านี้มาทำเรื่องนี้จะดีกว่า
“ฝ่าบาท สถานที่เก็บของสิ่งนี้ต้องอยู่ห่างไกลจากผู้คน ภูเขาลึกดีกว่าชานเมือง หมู่เกาะดีกว่าภูเขาลึก กระหม่อมแนะนำให้เลือกเกาะที่ไม่มีคนอยู่ สร้างเมืองเล็กๆ ขึ้นมาเพื่อเก็บของสิ่งนี้โดยเฉพาะ หากจำเป็นก็ควรเอาดินปืนไปเก็บด้วย เกาะนั้น นอกจากคนทำงาน ทหาร นักวิจัยของสำนักศึกษา ขุนนางของราชสำนักแล้ว คนอื่นๆ ต้องควบคุมอย่างเข้มงวด หากเกิดอะไรขึ้น เราก็ต้องลดความสูญเสียให้ได้มากที่สุด”
“นี่เป็นความคิดที่ดี เราจะเลือกพื้นที่ลับแล้วส่งคนมีความสามารถไปที่นั่น ไม่อนุญาตให้เนื้อหาการสนทนาของเราเมื่อครู่รั่วไหลออกไป หากมีใครรู้ว่าเราเคยคิดที่จะใช้ของสิ่งนี้มาสู้รบ เราอาจไม่มีทางตัดหัวเจ้า ทว่าเราจะเฆี่ยนเจ้าพันครั้ง จะแบ่งเป็นรอบ วันนี้สามสิบครั้ง พรุ่งนี้หกสิบครั้ง สรุปคือเราจะทรมานเจ้าให้ตายทั้งเป็น”
อวิ๋นเยี่ยกัดฟันและจับที่ก้น หากเป็นแบบนี้ต่อไป เขาจะยังมีทางรอดอยู่อีกหรือ ไม่สู้ตายไปดีกว่า ไอ้พวกที่เป็นคนเฆี่ยนพวกนั้น เอาแต่คิดว่าจะเฆี่ยนคนเช่นไรมาทั้งชีวิต ครั้งก่อนทำเอารู้สึกว่าก้นไม่ใช่ก้นของตัวเอง ความรู้สึกแบบนั้น ในชีวิตนี้เขาไม่ต้องการลิ้มลองอีกต่อไป เขารีบส่ายหน้าแล้วสัญญากับหลี่ซื่อหมินว่าจะไม่มีทางให้มันรั่วไหลออกไปแน่นอน แต่เมื่อเห็นท่าทางที่พอใจของจั่งซุน เขาก็รีบพูดออกมาว่า “แล้วหากฮองเฮาเผลอทำให้มันรั่วไหลออกไปจะทำเช่นไร”
“เช่นนั้นก็ตีเจ้า ทำไม ไม่พอใจหรือ” หลี่ซื่อหมินพูดคำเหล่านี้ออกมาจากจมูก มองมายังอวิ๋นเยี่ยด้วยความโมโห
เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยเดินออกไปจากตำหนักลี่เจิ้งด้วยท่าทางโมโหแล้ว หลี่ซื่อหมินและจั่งซุนต่างหันหน้ามามองหน้ากันแล้วยิ้ม ตอนนี้ไม่มีอะไรต้องทำ การได้รังแกอวิ๋นเยี่ยก็คือหนึ่งในความสุขไม่กี่อย่างของทั้งสองคน
อวิ๋นเยี่ยเพิ่งจะออกมาจากตำหนักลี่เจิ้งก็เห็นเด็กผู้หญิงที่น่าสงสารร้องไห้ขณะมองมายังตัวเขา ทำอย่างกับเขาเป็นไอ้สารเลวอย่างไรอย่างนั้น อวิ๋นเยี่ยเกาหัวด้วยความหงุดหงิด ราวกับว่าเขารังแกเด็กผู้หญิงคนนี้จริงๆอย่างนั้นแหละ
เขาเดินเข้ามานั่งยองๆ ที่หน้าเด็กผู้หญิงคนนั้นแล้วถามว่า “เพราะเรื่องบ่อน?”
ทันใดนั้นเด็กผู้หญิงก็ร้องไห้โฮขึ้นมา สะอึกสะอื้นและพูดว่า “ข้าไม่มีแม่ ไม่มีใครช่วยเก็บเงินค่าสินสอดทองหมั้น ท่านลุงของข้าเปิดบ่อนหาเงิน ช่วยข้าเก็บเงินค่าสินสอด แต่เจ้ากลับส่งคนไปทำลายบ่อน แล้วยังตีท่านลุงของข้า ข้าไม่มีสินสอด ถึงตอนนั้นข้าจะแต่งงานได้เช่นไร”
หลานหลิงเสียใจจริงๆ ถึงแม้ว่านางจะฉลาดแต่นางก็ยังเป็นเด็ก ถูกคนที่ตัวเองเชื่อใจทำร้าย นางเสียใจเป็นอย่างมาก นางคงจะรู้สึกว่าในพระราชวังไม่มีใครที่นางสามารถเชื่อใจได้อีกแล้ว
เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตาให้นางแล้วพูดว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมข้าถึงส่งคนไปทำลายที่นั่นทั้งๆ ที่ข้าก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นบ่อนของเจ้า องค์หญิงที่เปิดบ่อนเปิดหอนางโลมมีตั้งมากมาย แต่ทำไมข้าถึงไม่ไปทำลายของพวกนาง แต่กลับทำลายของเจ้า?”
หลานหลิงร้องไห้เสียงดังขึ้นเรื่อยๆ “เพราะว่าข้าเป็นเด็กที่ไม่มีแม่ มีแต่คนชอบรังแกข้า”
“เหลวไหล เพราะว่าในบรรดาเหล่าองค์หญิงข้าชอบหลานหลิงที่สุด เด็กผู้หญิงที่หน้าตาสวยงาม ทำไมต้องไปหาเงินสกปรกเช่นนั้น อยากได้ค่าสินสอดง่ายจะตาย ก็แค่มาบอกข้า ข้าจะแนะนำวิธีหาเงินที่ดีให้เจ้า เด็กผู้หญิงที่หน้าตาสวยงามควรจะหาเงินที่สะอาดสะอ้าน เช่นนั้นตอนที่เจ้าใช้เงินเจ้าถึงจะได้ไม่ต้องเป็นกังวล อยากใช้เช่นไรก็ได้ เหล่าขุนนางนักสืบพวกนั้นจะได้ไม่ต้องวิ่งไปฟ้องเสด็จพ่อของเจ้าทุกสองสามวัน ถึงตอนนั้นเสด็จพ่อของเจ้าจะได้เลือกสามีที่หล่อเหลาและมีความสามารถให้เจ้า”
หลานหลิงหยุดร้องไห้ทันที ทั้งที่นางยังตาแดงก็เอ่ยถามอวิ๋นเยี่ยว่า “จริงหรือ ในพระราชวังเจ้าชอบข้ามากที่สุดหรือ”
“แน่นอนอยู่แล้ว เจ้าเป็นองค์หญิงที่ฉลาดที่สุด เจ้ารู้จักใช้สมองตั้งแต่เด็ก เจ้ารู้อยู่แล้วว่าข้าเป็นคนฉลาดที่สุดในโลก และแน่นอนว่าข้าจะต้องชอบองค์หญิงที่ฉลาดที่สุดอยู่แล้ว”
“แต่ข้าไม่มีเงินทำกิจการ ตอนนี้ข้ามีเงินค่าสองร้อยเหรียญ ทำกิจการใหญ่ไม่ได้ พวกพี่ๆ คนอื่นๆ ล้วนแต่มีเงิน ส่วนแบ่งของข้าน้อยมาก”
“มีแต่คนโง่ที่ใช้เงินมากมายไปทำกิจการ เจ้ารู้อยู่แล้วว่าข้าทำกิจการโดยไม่มีทุนมาตลอด คนฉลาดมักจะรู้วิธีใช้สมองไปหาเงินจากคนโง่พวกนั้น เจ้าดูผู้คนที่เดินไปเดินมาในวัง พวกเขาโง่จนทำให้รู้สึกน่าโมโหใช่หรือไม่”
หลานหลิงหันหน้าไปมองเหล่าขุนนางและขันทีที่ก้มหน้าก้มตาอยู่รอบๆ แล้วยังมีนางสนมที่รอเสด็จพ่ออยู่ที่ศาลาอีก นางรู้สึกว่าคนที่อยู่รอบๆ ตัวเองล้วนแต่เป็นคนโง่เง่าจริงๆ นางพยักหน้าลงอย่างแรง ตอนนี้หลานหลิงรู้สึกว่าตัวเองฉลาดกว่าคนเหล่านั้นตั้งเยอะ
เมื่อครู่หลานหลิงกำลังดื่มนม นมที่บริสุทธิ์ อวิ๋นเยี่ยขมวดคิ้ว เขามีความคิดขึ้นมาทันที เขาจับมือหลานหลิงขึ้นมาแล้วพูดว่า “เจ้าดูสิ เราเป็นคนฉลาด แต่หากเราอยู่กับคนโง่เราก็จะกลายเป็นคนโง่ เราต้องอยู่ให้ห่างจากพวกเขา จะได้ไม่ถูกความโง่ปนเปื้อนเข้าใส่ ข้าจะให้เจ้าได้เห็นว่าจะใช้ถ้วยนมหนึ่งถ้วยไปทำเงินก้อนแรกของเจ้าได้เช่นไร”
ทั้งสองมายังห้องครัวของพระราชวัง อวิ๋นเยี่ยไล่พ่อครัวในครัวออกไป หลานหลิงก็ถือไม้กวาดช่วยไล่คนอื่น รอดูว่าอวิ๋นเยี่ยจะใช้นมทำเงินเช่นไรอย่างกระวนกระวาย ของที่ดูเหมือนว่าจะมีเยอะที่สุดในพระราชวัง แม้แต่สาวใช้ในวังก็ยังมีดื่ม
มีสาหร่ายทะเลจำนวนมากในพระราชวัง มีเศษอินทรียวัตถุสีน้ำตาลแดงจำนวนมากในสาหร่ายทะเล อวิ๋นเยี่ยหยิบมากำมือหนึ่งแช่ในน้ำอุ่นและเทโยเกิร์ตลงไปกวนในถังไม้ที่มีเนย กวนไปเรื่อยๆ ผ่านไปไม่นานก็มีฟองสีขาวลอยขึ้นมาด้านบนของโยเกิร์ต ใช้ช้อนแบนๆ ตักออกมาแล้วบอกหลานหลิงว่านี่คือครีม ลองชิมดูแล้วก็โอเคเลย ไม่เปรี้ยว
จากนั้นก็เอาเศษอินทรียวัตถุที่แช่เสร็จแล้วเทเข้าไปต้มในหม้อต้ม ผ่านไปไม่นานก็ต้มออกมาเป็นน้ำเมือก เอาออกมาให้มันแข็งตัวบนก้อนน้ำแข็งแล้วจึงเอาชั้นบนสุดออกมา ไม่เลวเลยทีเดียว มีสีน้ำตาลเล็กน้อย
สุดท้ายใส่น้ำมันถั่วเหลืองลงในหม้อเล็กน้อย กำน้ำตาลออกมาสองกำมือแล้วเอาไปต้มในหม้อน้ำมัน รอให้มันเดือด เอาครีม นม และเศษอินทรียวัตถุที่ต้มจนเป็นวุ้นใส่เข้าไปต้มด้วยกัน ปล่อยให้นมแห้งจนกลายเป็นของเหลวหนืด จากนั้นก็เทลงบนแผ่นไม้ ตากให้เย็นสักหน่อย ถือโอกาสในตอนที่น้ำตาลยังไม่แข็งตัว ใช้มือถูเป็นเส้นบางยาวๆ ใช้มีดตัดเป็นเม็ดๆ และโยนลงไปในน้ำแข็ง รอจนเย็นแล้วก็หยิบมาเม็ดหนึ่งยัดเข้าไปในปากของหลานหลิง ตัวเองก็ชิมดูเม็ดหนึ่ง ถือว่าไม่เลว ไม่ได้ทำมาหลายปีแล้ว ฝีมือตกลงไปนิดหน่อย ไม่อร่อยเท่าเมื่อก่อน หรืออาจเป็นเพราะวัตถุดิบก็ได้
เขายังกินเม็ดแรกไม่หมด แต่หลานหลิงกินไปแล้วสามเม็ด กลิ่นของน้ำตาลผสมกับรสหวานของนม มันช่างอร่อยเลิศจริงๆ แต่ถึงแม้ว่ามันจะอร่อย แต่เขาก็ยังคิดไม่ออกว่าจะไปหลอกคนโง่พวกนั้นอย่างไร
อวิ๋นเยี่ยหยิบเม็ดขี้ผึ้งออกจากแขนเสื้อ ทุบให้เป็นชิ้นๆ หยิบยาที่ใช้รักษาหลอดลมออกมา จากนั้นก็เอาใส่ลงไปในลูกอมนม ปิดผนึกขี้ผึ้งอ่อนอย่างระมัดระวังและถามหลานหลิง
“ขายให้เจ้าสองเหรียญเจ้าเอาหรือไม่”
หลานหลิงเข้าใจขึ้นมาทันที นางกระโดดและพูดว่า “สองเหรียญ เอาแน่นอน อร่อยขนาดนี้ ข้าจะบอกพวกเขาว่านมถ้วยหนึ่งทำออกมาได้แค่เม็ดเดียว”
เเค่ฟังดูก็รู้ว่าเป็นเด็กฉลาด แต่เห็นได้ชัดว่ายังมีความละอายใจอยู่บ้าง นางยังไม่เข้าใจประโยชน์ของการโฆษณา เขาลูบหัวขอหลานหลิงเบาๆ แล้วพูดว่า “ตอนนี้เจ้ายังไม่บรรลุนิติภาวะ กินของเสด็จพ่อเจ้า ใช้ของเสด็จพ่อเจ้าเป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องมีต้นทุน ลูกสาวอยากจะดื่นนมสักสองถ้วย คนเป็นพ่อจะไม่ให้ดื่มได้เช่นไร
สำหรับเรื่องของลูกอมนม เจ้าควรพูดเช่นไร บอกว่ามีวันหนึ่งที่เจ้ากำลังนอนหลับอยู่ เจ้าฝันถึงตาเฒ่าหนวดขาวคนหนึ่ง เขาสอนวิธีทำเช่นนี้ให้กับเจ้าในฝัน บอกว่าหากกินเป็นประจำมันจะทำให้หน้าตาดีขึ้น ทำให้ผิวสวยขึ้น และที่สำคัญคือทำให้น้ำเสียงดีขึ้น เพราะเช่นนี้ เจ้าจึงไปหายาสมุนไพรกว่าสิบชนิดและขอให้อาจารย์ซุนมาช่วย อาจารย์ซุนก็บอกว่าของสิ่งนี้เป็นของดี เพราะว่าอาจารย์ซุนพูดเช่นนี้ ดังนั้นหนึ่งเม็ดจึงต้องขายสิบเหรียญ ชิงเชวี่ยพี่ชายของเจ้าชอบขนมหวานเป็นที่สุด เจ้าสามารถไปเอาชื่อเสียงมาจากเขา จากนั้นก็ขายในพระราชวัง แต่อย่าเอาให้พวกพี่ๆ ที่มีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับเจ้า รู้หรือไม่”