เจาะเวลาสู่ต้าถัง – ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน ตอนที่ 30 พ่อมดแห่งเมืองออซ

ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน ตอนที่ 30 พ่อมดแห่งเมืองออซ

ม้าป่าที่สูญเสียการควบคุมก็คือเหล่าลูกเศรษฐีพวกนี้ ปกติที่บ้านค่อนข้างเข้มงวด มีฉายาว่าเป็นลูกเศรษฐีแต่กลับไม่เคยทำเรื่องเลวร้ายอะไรเลย

จะว่าไปแล้วก็ช่างน่าสงสาร แค่มีเรื่องใครรังแกใคร เซี่ยนหลิ่งของเขตว่านเหนียนก็กล้าที่จะเอาพวกเขาออกไปประจานกลางถนน แล้วอีกอย่าง เหล่าขุนนางระดับล่างดูเหมือนจะชอบแบบนี้เป็นพิเศษเสียด้วย ไม่กล้าที่จะรับมือกับผู้ที่มีตำแหน่งเจวี๋ย แต่ไม่เคยออมมือให้กับเหล่าผู้สืบทอดตำแหน่งเจวี๋ยนี้เลยแม้แต่น้อย

เหล่าขุนนางท้องถิ่นยังทำท่าทีเย่อหยิ่งโอ้อวดตัวเองไปทั่วอีกด้วย หากลูกเศรษฐีในเมืองฉางอันต้องการจะแสดงอำนาจสักหน่อย จู่ๆ มันก็มักจะมีคำสั่งอันแสนเข้มงวดออกมาขวางทันที พวกเขาแบกรับแรงกดดันที่ไม่เคยมีมาก่อนจึงต้องทำตามหน้าที่ไป

ตระกูลขององค์หญิงก็แค่สร้างกังหันบนแม่น้ำเพิ่มขึ้นอีกสองสามต้นเมื่อครั้งที่เปิดโรงโม่แป้ง ก็มีปรมาจารย์อย่างเว่ยเจิงปรากฎตัวขึ้นมาแล้วรื้อโรงโม่แป้งพร้อมกับจับคนรับใช้ที่เลวทรามออกไป สุดท้ายองค์หญิงยังต้องถูกลงโทษ ไม่มีความปรานีแม้แต่น้อย

กฎระเบียบของตระกูลโหดเ**้ยมกว่ากฎหมายชาติเสียอีก ไม่กล้าคิดว่าสภาพตอนเรียนหนังสือนั้นน่าอนาถแค่ไหน แผลที่ก้นของไฉหลิ่งอู่ยังไม่ทันหายดี แต่พอได้ข่าวว่าเหล่าสหายจะออกไปเที่ยวที่ภูเขาฉินหลิ่งโดยไม่มีผู้อาวุโสคนไหนไปด้วยสักคน เขาบอกว่าต่อให้ต้องคลานไปก็จะคลานไปให้ได้

เล่นซ่อนหาหรือ อวิ๋นเยี่ยยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็ถูกเอาผ้ามาปิดที่ตา ต้องนับหนึ่งถึงหนึ่งร้อยจึงจะถอดผ้าปิดตาออกได้ ไม่รู้ว่าไม่ได้เล่นแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว แต่เมื่อเห็นท่าทางกระตือรือร้นของหลี่เค่อ เขาจึงต้องทำตามไปอย่างช่วยไม่ได้ เล่นก็ได้

เฉิงฉู่มั่ว หลี่หวยเหริน และจั่งซุนชง สามคนนี้ไม่ต้องหาแล้ว พวกเขาเคยฝึกฝนการซ่อนตัวมาก่อน ตามที่เฉิงฉู่มั่วเคยพูดเอาไว้ แค่ตัวเองซ่อนตัว แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน

เขาพูดอะไรฟังไม่ค่อยเข้าใจ ได้แต่อาศัยประโยคผิดๆ พวกนี้พูดไปก่อนอย่างนั้นมั้ง ว่าแล้วก็เตะเข้าไปที่ก้นของลูกชายคนโตของจางกงจิ่นก่อนเลย ไอ้นี่จะดูถูกข้าเกินไปแล้ว เอากิ่งไม้มาบังหน้าก็ถือว่าซ่อนแอบแล้วรึ

เงยหน้าขึ้นมองต้นไม้ใหญ่ข้างๆ แล้วพูดว่า “ต้นไม้ต้นนี้คือต้นเฟิงซู่ น้ำที่หลั่งออกมาจะมีรสหวาน มีหนอนผีเสื้อสีดำที่ชอบกินมาก และแน่นอนว่าหนอนสีดำไม่ได้น่ากลัวอะไร แต่ข้าจะบอกเจ้าว่าหนอนชนิดนี้หากมันตกลงมาที่คอ เจ้าจะน่าอนาถกว่าหลี่หยวนชังเสียอีก ถึงตอนนั้นอย่ามาโทษว่าข้าไม่ได้บอก”

ทันทีที่พูดจบก็มีคนสามคนตกลงมาจากต้นไม้

“ไฉหลิ่งอู่ เจ้าไม่ต้องคิดแล้ว คิดดูว่าท่านพ่อของเจ้า พวกเขาจับข่านเจี๋ยลี่ได้เช่นไร เจ้าคงไม่อยากถูกหนูกัดตายใช่หรือไม่ บางทีนี่อาจจะเป็นรูงู เจ้าคลานออกมาเองเถอะ เร็วเข้า”

ไฉหลิ่งอู่ โผล่หัวออกมาจากถ้ำและถามว่า “พี่เยี่ย เจ้ารู้ได้เช่นไรว่าข้าซ่อนตัวอยู่ที่นี่”

“ครั้งต่อไปก่อนที่จะมาซ่อนตัวอยู่ที่ถ้ำ เจ้าช่วยจัดการปากถ้ำเสียก่อน มันมีรอยเท้าของเจ้าอยู่”

ไฉหลิ่งอู่ตีที่หัวของตัวเองอย่างแรง คลานออกจากถ้ำอย่างไม่พอใจ เขากระดิกเท้าและพูดว่า “ครั้งนี้ถือว่าเจ้าชนะ เจ้าจะต้องหาลูกพี่ลูกน้องของข้าไม่เจอแน่นอน”

อวิ๋นเยี่ยหาฟืนมากำหนึ่ง จุดไฟที่ปากถ้ำ สะบัดชายเสื้อคลุมของตัวเองเล็กน้อย ผ่านไปไม่นานก็มีเสียงไอคอกแค่กออกมาจากถ้ำ จั่งซุนชงรีบวิ่งออกมา ถูกควันรมจนน้ำมูกน้ำตาไหล เขาตบไปที่ท้ายทอยของไฉหลิ่งอู่เต็มๆ “ไม่พูดมากเจ้าจะตายหรือไง อวิ๋นเยี่ยเจ้าเล่ห์ราวกับสุนัขจิ้งจอก พอเจ้าพูดเขาก็รู้แล้ว”

คนที่รักสะอาดอย่างหลี่เค่อ หากเขาไปแอบอยู่ในป่าคงจะเป็นเรื่องแปลก ไปดูที่กระโจมของเขา ไม่มีคน และกล่องใหญ่ที่เอาไว้ใส่เสื้อผ้าก็หายไปด้วย ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่และใครไปถมหลุมไฟที่อยู่ข้างนอกกระโจม ข้างบนนั้นยังมีท่อไม้ไผ่เสียบอยู่ เมื่อยืนอยู่ข้างท่อไม้ไผ่ เงี่ยหูฟังเสียงหายใจที่ออกมาจากท่อไม้ไผ่ เขาหยิบยาหวงเหลียนออกมาจากแขนเสื้อ นี่คือยาคลายความร้อนชั้นดี แต่บอกได้แค่คำเดียว ‘ขม’ ซุนซือเหมี่ยวยืนกรานไม่ใส่น้ำผึ้งในยาหวงเหลียน บอกว่ามันจะลดประสิทธิภาพของยา ได้ไม่คุ้มเสีย

ทันทีที่เอายาหวงเหลียนใส่ลงในท่อไม้ไผ่ก็มีเสียงไอออกมาจากใต้ดิน ทหารที่อยู่ข้างๆ รีบพากันขุดกล่องออกมาจากใต้ดิน ปัดกวาดฝุ่นออกไปแล้วเปิดกล่อง พยุงหลี่เค่อที่สำลักจนหูแดงออกมา ถึงแม้จะไม่รู้ว่าที่ตัวเองกลืนเข้าไปคืออะไร แต่ดูจากรสขมในปากแล้วมันไม่ใช่ของดีแน่นอน

“เยี่ยจึ ข้ากลืนอะไรเข้าไป” หลี่เค่อถามอวิ๋นเยี่ยที่ยิ้มอย่างชั่วร้ายด้วยความกังวล

“วันนี้ยังไม่ได้อาบน้ำ ข้ารู้สึกคันไปหมด ข้าจึงถูที่ตัว…” หลี่เค่ออ้วกจนหน้าดำหน้าแดง ตัวสูบไปทั้งตัว “ต่อมาเห็นว่าไม่มีขี้ไคลอะไร ข้าจึงเอายาหวงเหลียนใส่เข้าไป”

หลี่เค่อล้มลงกับพื้นอย่างแผ่วเบา หยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวที่ราวกับหิมะออกมาเช็ดปากและถามอวิ๋นเยี่ยด้วยความหวาดกลัว “แน่ใจหรือว่าคือยาหวงเหลียน ไม่ใช่อย่างอื่นแน่นะ”

หาหลี่หวยเหรินกับเฉิงฉู่มั่วไม่เจอ อวิ๋นเยี่ยก็ไม่คิดที่จะหาต่อแล้ว ไก่ฟ้าที่อยู่ในในกองไฟสุกแล้ว หากยังไม่กินมันจะไหม้เป็นเถ้าถ่านไป

เห็นว่าอวิ๋นเยี่ยดึงไก่ฟ้าออกมาจากกองไฟแล้วเดินออกไป เหล่าลูกเศรษฐีคนอื่นๆ ก็ไม่ใช่คนโง่ พวกเขาก็รีบดึงไก่ฟ้าออกจากกองไฟทันที มีกองไฟตั้งสิบกว่ากอง ไก่ฟ้าทั้งภูเขาก็อยู่ที่นี่หมด มีพอให้ทุกคนกิน

เฉิงฉู่มั่วเปลือยกายกระโดดออกมาจากสระน้ำ เดินเท้าเปล่าบนพื้น นั่งยองๆ ข้างกองไฟและเริ่มมองหาไก่ ใช้แท่งไม้เล็กๆ แหย่ซ้ายแหย่ขวามองหาตัวใหญ่ๆ เขาถึงพอใจ

“ฉู่มั่ว เจ้าใส่กางเกงขาสั้นหน่อยไม่ได้หรือ พวกข้ารู้ว่าเจ้าคือเหนี่ยวอ๋อง พวกข้ายอมรับ แต่มันลากลงไปที่พื้นแล้ว ฝุ่นเกาะแล้วมันจะไม่ดี”

“สนใจอะไรนักหนา ล้วนแต่เป็นผู้ชายด้วยกันทั้งนั้น ใครไม่มีเหมือนข้า ให้พวกเจ้าได้มีประสบการณ์บ้างก็ดี”

“ฉู่มั่ว เจ้าคิดผิดแล้ว ของแบบนี้ไม่ได้เอาไว้ให้ผู้ชายดู เจ้าต้องเอาให้คนที่ไม่เหมือนผู้ชายดูมันถึงจะดูน่าเกรงขาม” จั่งซุนชงแทะไก่ของตัวเอง หันหน้าไปมองเฉิงฉู่มั่วแล้วเตือนเขาด้วยความหวังดี

เหล่าลูกเศรษฐีกินไก่กันอย่างสนุกสนาน ฉีกไก่ฟ้าออกเป็นครึ่งตัวพร้อมๆ กัน ครึ่งหนึ่งเอาให้ทหารที่อยู่ข้างๆ เอาให้พวกเขาชิม จากนั้นตัวเองก็กินอีกครึ่งที่เหลืออยู่ หลี่เค่อก็เป็นท่านอ๋องเช่นนี้

ไม่รู้ว่าไก่ครึ่งตัวจะแบ่งเช่นไร แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่ซาบซึ้งของเหล่าทหารองครักษ์ก็รู้แล้วว่านี่เป็นหนึ่งในหลักสูตรบังคับของเหล่าขุนนาง การเอาชนะใจคน

ตระกูลอวิ๋นไม่มีกฎข้อนี้ ต่อให้กินไก่ก็ต้องหนึ่งคนกินหนึ่งตัว เจ้านายตระกูลอวิ๋นกินอะไรคนรับใช้ก็กินอันนั้น นอกจากท่านย่าแล้ว ก็เหลือแค่น่ารื่อมู่ที่ป้อนนมลูกอยู่ นอกจากนี้ หลิวจิ้นเป่าและคนอื่นๆ ต่างรู้อยู่แล้วว่าอะไรคือไก่ฟ้า เอาตัวที่อ้วนๆ ไว้ให้ตัวเอง อวิ๋นเยี่ยไม่จำเป็นต้องเอะอะโวยวายอะไร

ไก่ฟ้าบนภูเขาตัวผอมจริงๆ ไม่มีน้ำมัน ย่างออกมาแห้งเล็กน้อย อวิ๋นเยี่ยฉีกขาไก่ออกมาแล้วเอาที่เหลือให้เฉิงฉู่มั่วที่เปลือยก้นอยู่ ไอ้หมอนี่กินเยอะตลอด ตามที่เขาพูดก็คือ “แม่ทัพที่กินเนื้อไม่ถึงห้ากิโล ก็เรียกว่าแม่ทัพได้หรือ” เฉิงฉู่มั่วไม่เคยปฏิเสธอาหารที่อวิ๋นเยี่ยเอามาให้ เขากินมันจนหมดเกลี้ยงทันที

เมื่อทุกคนสงบลงแล้วถึงได้เห็นว่าหลี่หวยเหรินยังไม่ออกมา จึงทำให้พวกเขาเป็นกังวล ไม่มีใครรู้ว่าหลี่หวยเหรินไปแอบซ่อนตัวอยู่ที่ไหน แต่เมื่อนึกถึงฝีมือของเขาแล้ว อวิ๋นเยี่ยไม่คิดว่าเขาจะมีอันตรายอะไร

เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด หลี่หวยเหรินรีบเดินออกมาจากหลังป่า เขาไม่ได้รับไก่ฟ้าที่อวิ๋นเยี่ยยื่นให้ แต่เขากลับพูดอย่างตื่นเต้น “ข้าเห็นร่องรอยของพวกซุนเต้าจั่งแล้ว อยู่ข้างหลัง ข้ามองดูอย่างละเอียดแล้ว ไม่ผิดแน่นอน เขาอยู่ในซุ้มชั่วคราวที่สามารถพักผ่อนได้หกคน”

อวิ๋นเยี่ยทิ้งไก่ในมือลง เดินตามหลี่หวยเหรินมาข้างหลัง ซุ้มไม้ไผ่เรียบง่ายตั้งอยู่ที่นี่ ข้างในเต็มไปด้วยกิ่งไม้ ยื่นมือออกไปแตะหลุมไฟ เห็นว่าขี้เถ้าเย็นหมดแล้ว สีหน้าของอวิ๋นเยี่ยก็ผิดหวังอย่างปกปิดไม่อยู่

สำหรับซุนซือเหมี่ยวแล้ว อวิ๋นเยี่ยไม่รู้จริงๆ ว่าจะอธิบายเช่นไรดี การทดลองพิสูจน์แล้วว่าระยะฟักตัวของไข้ทรพิษในร่างกายคนนานถึงยี่สิบวัน แต่เพื่อความสมบูรณ์แบบ ผู้เฒ่าที่ผู้คนเคารพนับถือคนนี้กลับยอมที่จะพาคนลองยาห้าคนเข้าไปเร่รอนในภูเขาฉินหลิ่ง ไม่ยอมเข้าไปใกล้ที่ที่มีผู้คน ภูเขาฉินหลิ่งไม่ได้รกร้าง หอคอยของบรรพบุรุษตระกูลหลี่ก็อยู่ใกล้ๆ หากซุนซือเหมี่ยวไปที่นั่น เขาจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดีเป็นแน่ แต่ว่าเขากลับไม่ไป

ไป๋ลู่หยวนตั้งอยู่กลางหุบเขา ที่นั่นมีคนอาศัยอยู่ตลอดทั้งปี ตอนที่เขาเก็บสมุนไพรในภูเขาฉินหลิ่ง เขาก็ไปที่ไป๋ลู่หยวนตั้งหลายครั้ง ไปถึงที่นั่น พวกชาวบ้านจะให้การต้อนรับเขาอย่างอบอุ่น แต่เขาก็ไม่ไป

ถึงแม้ว่าเขาจะมีความคิดที่ชั่วช้าที่สุด ไปยังสำนักของพุทธศาสนาวัดเฉ่าถัง เขาก็ยังจะได้รับความเคารพอยู่ดี แต่เขาก็ไม่ไปอีก ลมพายุฝนในช่วงสองเดือนที่ผ่านมารุนแรงไม่น้อย พวกเขาไม่มีที่หลับที่นอนเป็นหลักแหล่ง ไม่รู้ว่าจะต้องทนทุกข์ทรมานเพียงใด

อวิ๋นเยี่ยทิ้งขี้เถ้าในมือลงแล้วถามหลี่หวยเหรินว่า “เจ้าลองคิดดูสิว่าซุนเต้าจั่งและคนอื่นๆ ออกไปกี่วันแล้ว”

“เยี่ยจึ ข้าคิดว่าผ่านไปครึ่งเดือนเต็มแล้ว” การคำนวนของหลี่หวยเหรินต้องไม่ผิดแน่นอน บางทีที่นี่มันอาจจะยังใกล้ฝูงชนมากเกินไป ซุนซือเหมี่ยวคงยังไม่สบายใจ เขาจึงเข้าไปลึกอีกหน่อย

อวิ๋นเยี่ยเงยหน้ามองดูหุบเขาไท่ไป๋ซันที่รายล้อมไปด้วยเมฆหมอก เขากัดฟันและพูดว่า “เหล่าสหาย เป้าหมายของเรามีการเปลี่ยนแปลง พวกเราไม่ได้มาเที่ยวเล่น พวกเราจะต้องออกไปตามหาซุนเต้าจั่ง หากเราเชิญซุนเต้าจั่งกลับไปได้ มันจะต้องเป็นความดีความชอบยิ่งใหญ่แน่นอน”

เหล่าลูกเศรษฐีที่เดิมทีไม่มีอะไรทำอยู่แล้วได้ยินเรื่องดีๆ เช่นนี้ พวกเขาก็พากันเห็นด้วย ส่งองครักษ์ประจำตระกูลสองสามคนกลับไปบอกผู้ใหญ่ที่บ้าน บอกว่าตัวเองเจอร่องรอยของซุนเต้าจั่งแล้ว กำลังเตรียมที่จะเข้าไปในส่วนลึกของภูเขาฉินหลิ่ง ไปเชิญซุนเต้าจั่งกลับมา

สุนัขล่าสัตว์กำลังดมกลิ่นในซุ้ม เห็นว่าไม่มีเป้าหมายใหม่ มันก็หมุนไปรอบๆ ขาของเจ้าของมัน อวิ๋นเยี่ยรู้ว่ามันนานเกินไป แล้วอีกอย่างช่วงนี้ก็ฝนตกบ่อย มีร่องรอยอะไรก็คงถูกฝนตกใส่จนไม่เหลืออะไรแล้ว

ซุนเต้าจั่งมักจะพูดอยู่เสมอว่าภูเขาฉินหลิ่งคือคลังสมบัติ และยังแบ่งแยกหยินหยาง มันถูกเรียกว่าเป็นหนึ่งในมังกรสามตัวที่สำคัญที่สุดมาตั้งแต่สมัยโบราณ

นอกจากนี้ ยังมีแม่น้ำแปดสายของฉางอัน เจ็ดสายของภูเขาฉินหลิ่ง ถนนหนึ่งร้อยแปดสายของฉางอัน มีทะเลสาบอีกสามสิบแปดสาย พูดได้ว่าภูเขาฉินหลิ่งเป็นภูเขาที่ปกป้องฉางอันและให้กำเนิดฉางอัน

ซุนเต้าจั่งชอบน้ำและภูเขา เขาเป็นคนฉลาดและมีเมตตา อวิ๋นเยี่ยไม่คิดว่าการใช้คำพูดที่สวยงามแบบนี้อธิบายเขาคือการโอ้อวด แต่เขากลับคิดว่าคำพูดเหล่านี้เมื่อเทียบกับพฤติกรรมของเขาแล้วมันช่างดูอ่อนแอ

ต้องหาคนที่น่านับถือคนนี้ให้เจอ เหตุใดเขาจะต้องลำบากอยู่คนเดียว เหตุใดคนคนหนึ่งถึงต้องแบกรับความลำบากทั้งหมดไว้บนบ่าของตัวเอง ตอนนี้คนที่ซ่อนตัวอยู่ในฉางอันกำลังจะกัดกันเอง เหตุใดพวกเขาถึงได้รับพรจากเขา

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

Status: Ongoing
 ถ้ามิใช่เพราะความโลภเป็นเหตุ อวิ๋นเยี่ย หนุ่มช่างเครื่องกลที่กำลังตามหาคนกลางทะเลทรายอยู่ดีๆ ก็คงไม่ต้องตื่นขึ้นมากลางทุ่งหญ้าในร่างเด็กหนุ่มวัยสิบห้า แถมยังทะลุมิติมายุคราชวงศ์ถังอีก!
เมื่อสถานการณ์บังคับให้เขาต้องเอาตัวรอด ความรู้และวิทยาการจากยุคปัจจุบันที่มีจึงเปรียบเสมือนอาวุธติดกาย บุกเบิกเส้นทางชีวิตสายใหม่ นำพาเขาไปสู่ความรุ่งเรืองที่ไม่เคยมีในชีวิตก่อน จนกระทั่งก้าวเข้าสู่วังวนแห่งการชิงอำนาจในราชสำนัก
ทว่าเขากลับหารู้ไม่ว่า ทุกการกระทำของตน กำลังจะเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้แก่ราชวงศ์ถัง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท