คนทั้งสองใช้เส้นทางเดิมย้อนกลับไปที่บ่อน้ำ ไม่เหมือนกับตอนมาที่วิ่งตะบึง เวลานี้คนทั้งสองเลือกที่จะก้าวเดินอย่างเนิบช้าไปพร้อมๆ กัน
“อาเหลียง งูดำจะกินซากศพของงูขาวจริงๆ หรือ? พวกมันไม่ได้เป็นคู่ผัวตัวเมียที่มีชีวิตพึ่งพากันมานานหลายร้อยปีหรือ?”
“งูดำที่หวังจะกลายเป็นมังกรตัวนั้นย่อมต้องกินได้ลง ไม่ใช่แค่พวกเจียวหรือมังกรเท่านั้น อันที่จริงภูตผีปีศาจทุกชนิดในภูเขาต่างก็มีชีวิตอยู่เพื่อกินอาหารเป็นหลัก เพียงแต่ว่าพวกเจียวหลง งูเหลือม งูหลามที่อาศัยอยู่ในบ่อใหญ่กลางป่าเขาจะชื่นชอบการเข่นฆ่าพวกเดียวกันเองเป็นพิเศษ นี่คือหลักการประมาณเดียวกับเสือสองตัวอยู่ในถ้ำเดียวกันไม่ได้ การที่งูดำเว้นชีวิตงูขาวเป็นเพราะมันมีความคิดความอ่าน เมื่อสติปัญญาเพิ่มขึ้น มีหรือที่จะไม่คิดรอให้อีกฝ่ายรวมโอสถได้ก่อนแล้วค่อยจับกินเป็นอาหาร ใช่แล้ว หากเจ้าคิดจะเห็นภาพที่งูดำกินงูขาว พวกเราจะกลับไปดูกันก็ได้”
“เรื่องนี้ช่างมันเถอะ”
“จะว่าไปแล้วก็อย่าโทษที่ข้าคิดแทนเจ้า รับปากให้งูดำกินดีของงูขาวตัวนั้น ในเมื่อหลังจากนี้มันจะต้องไปช่วยพิทักษ์โชคชะตาของภูเขาลั่วพั่วแทนเจ้า ถ้าเช่นนั้นต่อให้เจ้าเอาดีงูนี้ไปขายได้ราคาสูงแค่ไหนก็ไม่คุ้มเท่ากับมอบให้งูดำ เพื่อให้มันกลายเป็นโม่เจียวได้เร็ววันขึ้น”
“อันที่จริงข้าอยากรู้มากว่าทำไมเจ้าถึงคิดจะฆ่างูขาว ทำไมไม่รอให้ข้าลงมือขัดขวาง? กำราบงูขาวได้แล้ว จะให้มันไปอยู่ภูเขาเป่าลู่หรือยอดเขาฉ่ายอวิ๋นก็ล้วนเป็นการค้าที่ไม่เลว หรือเจ้ากลัวว่าข้าอาเหลียงเห็นเจ้าจะตายแล้วไม่ยอมช่วยเหลือ?”
“จะเป็นไปได้อย่างไร อาเหลียง ข้าเชื่อใจเจ้า”
“งั้นเจ้า…?”
“อาเหลียง ก่อนที่ข้าจะตอบคำถามของเจ้า ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่า ตอนที่ข้าประลองฝีมือกับจูเหอ เจ้ามองออกแล้วใช่ไหมว่าตอนนั้นข้าหา…ช่องโพรงสามแห่งนั้นเจอแล้ว? รวมไปถึงรู้ความจริงที่อยู่ในช่องโพรงแล้วด้วย?”
“บอกตามตรง ตอนแรกข้าก็รู้แล้วว่าในช่องโพรงทั้งสามแห่งนั้นมีบางอย่างประหลาด น่าจะซุกซ่อนความลับอะไรไว้ แต่พูดออกมาแล้วก็น่าอาย เพราะแม้แต่ข้าเองก็ยังมองความจริงไม่ออก ได้แต่เดาเอาว่ามันบ่อเพาะปราณกระบี่เป็นเส้นๆ ที่แฝงเร้นเจตจำนงไว้สามชนิด แต่จะเป็นสามชนิดไหนนั้น ข้ากลับไม่กล้าฟันธง แน่นอนว่าหากข้าอยากจะบังคับดูสภาพการณ์ในช่องโพรงลมปราณ ทำลายร่างกายและจิตวิญญาณของเจ้าโดยไม่แยแสก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่นั่นเป็นการกระทำที่ต่ำช้ามาก ข้าอาเหลียงเป็นถึงยอดฝีมือล้ำโลกก็ย่อมต้องมีลักษณะของยอดฝีมือ”
“เข้าใจแล้ว อาเหลียง เจ้ารู้หรือไม่ว่าเมืองเล็กของพวกเรามีซุ้มประตูหินอยู่แห่งหนึ่ง ด้านบนมีกรอบป้ายอยู่สี่ป้าย?”
“รู้ว่ามีเรื่องนี้ ปีนั้นฉีจิ้งชุนเคยพูดให้ข้าฟัง แต่ข้าไม่ได้จำรายละเอียด เลยลืมไปนานแล้ว”
“ในกรอบป้ายหนึ่งในนั้นเขียนตัวอักษรไว้สี่คำว่า โม่เซี่ยงว่ายฉิว ข้ามีเพื่อนบ้านเป็นคนวัยเดียวกันอยู่คนหนึ่ง เขาอ่านหนังสือมามาก เขาบอกว่านี่คือปริศนาธรรมแบบเป็นนัยของพระพุทธศาสนา ความหมายก็คือบอกเตือนทุกคนว่าต้องตั้งใจศึกษาพระธรรม อย่าไปเรียกร้องภาวนาขออะไรจากสำนักนอกรีตนอกรอย ตอนแรกข้าก็รู้สึกว่ามีเหตุผลอย่างมาก แต่ภายหลังข้าขึ้นเขาไปเผาฟืน เวลาอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำก็มักจะคิดไปเรื่อยเปื่อย ข้ารู้สึกว่าสำหรับข้าแล้ว จุดธูปไหว้พระพุทธองค์ก็ดี กราบไหว้บูชาพระโพธิสัตว์ก็ช่าง ล้วนจำเป็นต้องทำเรื่องที่ตัวเองมีความสามารถทำได้ให้สำเร็จเสียก่อน หากยังคงทำตามที่ใจปรารถนาไม่ได้ อับจนปัญญาแล้วจริงๆ ถึงค่อยไปขอพร พระโพธิสัตว์ถึงจะพยักหน้าตอบรับ ไม่อย่างนั้นทำไมพระโพธิสัตว์ถึงต้องช่วยเจ้าด้วย ถูกไหม อาเหลียง?”
“ขอให้พระช่วยไม่สู้ช่วยตัวเองก่อน”
“ใช่ๆๆ ข้าหมายความว่าอย่างนี้แหละ!”
“อืม ถ้าอธิบายอย่างนี้ก็พอจะเข้าใจได้ถูไถ แต่ข้าต้องพูดเรื่องหนึ่งกับเจ้าให้ชัดเจน ขี้เล็บที่แคะออกมาจากซอกเล็บของข้าอาเหลียงยังมีค่ามากกว่าสมบัติตระกูลของเจ้า ดังนั้นเจ้ารู้สึกว่าจะรบกวนข้าอาเหลียงมาก เลยยอมที่จะเสียปราณกระบี่ไปเส้นหนึ่งอย่างนั้นหรือ? อันที่จริงสำหรับข้าอาเหลียงแล้ว การชักดาบง่ายๆ ในแต่ละครั้งล้วนเป็นเรื่องเล็ก เจ้าต้องคิดแบบนี้”
“คิดแบบนี้ไม่ได้!”
“หืม?”
“น้อยครั้งที่ผู้เฒ่าเหยาซึ่งสอนข้าเผาเครื่องปั้นจะเต็มใจอยากพูดกับข้า แต่มีอยู่สองครั้งที่เขาพูดแรงมากเป็นพิเศษ ข้าจึงจำได้อย่างชัดเจน ครั้งแรกคือเมื่อครั้งที่ข้าไปขอเป็นลูกศิษย์ที่เตาเผา เขาบอกกับข้าว่าจะเรียนเผาเครื่องปั้น ย่อมได้ แต่ขอแค่เจ้ากล้าแอบอู้หนึ่งครั้ง ก็จงไสหัวออกไปจากเตาเผามังกรของข้า ครั้งที่สองคือตอนที่ข้าขึ้นเขากับเขาเป็นครั้งแรก เขาบอกข้าว่าขึ้นเขาไปหาดิน ย่อมได้ แต่ไม่ว่าจะเดินจนขาหักหรืออะไรก็ตาม ขอแค่เจ้ากล้าร้องไห้ต่อหน้าข้าสักครั้ง วันหน้าก็อย่าได้ขึ้นเขาอีก”
“นี่มันเกี่ยวอะไรกัน เจ้าเฉินผิงอันหมายความว่าอย่างไร?”
“ข้าเปลี่ยนคำพูดใหม่ก็แล้วกัน อาเหลียง เจ้าชอบนอนตื่นสายหรือเปล่า?”
“เหลวไหล เจ้าไม่ชอบรึ?”
“ข้าก็ชอบเหมือนกัน แต่พูดแล้วเจ้าอาจจะไม่เชื่อ นับตั้งแต่วันแรกที่ข้าเป็นลูกศิษย์ที่เตาเผามังกร จนกระทั่งวันนี้ ข้าไม่เคยนอนตื่นสายแม้แต่ครั้งเดียว ควรจะตื่นนอนตอนไหน ข้าก็จะลืมตาตื่นตอนนั้น ดังนั้นจึงไม่เคยนอนตื่นสายเลย”
“อ้อมเป็นวงใหญ่ขนาดนี้ เจ้าอยากพูดอะไรกันแร่? รังแกที่ข้าอาเหลียงไม่ใช่คนเรียนหนังสืออย่างนั้นหรือ?”
“ความหมายของข้าก็คือ ไม่ว่าเรื่องใดที่ตนคิดว่าเป็นเรื่องไม่ดีก็ไม่ควรปล่อยให้มันมีครั้งที่หนึ่ง ไม่ควรทำแม้แต่ครั้งเดียว แม้แต่ก้าวเล็กๆ ก็ไม่ควรก้าวออกไป หาไม่แล้วเมื่อย้อนกลับมาดูอีกครั้ง คนที่เสียเปรียบและต้องยากลำบากก็ยังคงเป็นตัวเอง ก็เหมือนข้าที่หากแอบอู้ครั้งหนึ่ง ก็จะไม่มีทางเป็นลูกศิษย์ของเตาเผามังกรได้ ยิ่งไม่อาจเข้าไปในภูเขา ถ้าอย่างนั้นข้าจะมีทุกวันนี้ได้อย่างไร? ไม่แน่ว่าตอนนี้ข้าอาจจะมีสภาพไม่ต่างจากพวกเด็กหนุ่มและชายฉกรรจ์คนอื่นๆ ในเมืองเล็กที่ทุกวันต้องขึ้นเขาไปบุกเบิกเส้นทาง ตัดไม้มาสร้างสะพาน แล้วก็คอยรับเงินเหรียญทองแดงไม่กี่เหรียญ เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จะมีโอกาสได้ครอบครองภูเขาห้าลูกหรืออย่างไร? ภูเขาห้าลูกมีมูลค่าเท่าไหร่ อาเหลียง เจ้ารู้หรือไม่? อาเหลียง วันหน้าหากมีโอกาสเจ้าต้องไปดูภูเขาของข้าให้ได้…”
“หยุดเลยๆ! เฉินผิงอัน เจ้าพูดวกไปวนมาอ้อมเป็นวงใหญ่กับข้าขนาดนี้ก็เพื่อโอ้อวดว่าตัวเองมีเงินมากงั้นหรือ?”
“อาเหลียง เจ้าไม่เคยเรียนหนังสือจริงๆ ด้วย”
“…”
“อาเหลียง หากในอนาคตภูเขาลั่วพั่วของข้าจะมีเรือนไม้ไผ่เพิ่มขึ้นมาอีกหลังหนึ่งจริงๆ เจ้าช่วยตั้งชื่อให้ข้าหน่อยได้ไหม?”
“ ‘เรือนอาเหลียงกร้าวแกร่ง’ ดีไหมล่ะ? ทรงพลังมากพอไหม? ทำไม รังเกียจที่ข้าถือสิทธิแสดงบทบาทเจ้าของเสียเอง ข่มรัศมีราชาแห่งขุนเขาอย่างเจ้า? ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นข้าจะเปลี่ยนให้ฟังดูมีความหมายสักหน่อยก็แล้วกัน เรียกว่า ‘เรือนเหมิ่งจื่อ’ (猛字 เรือนอักษรเหมิ่ง เหมิ่งแปลว่ากล้าหาญ ฮึกเหิม ดุเดือด) ข้าอาเหลียงเสียสละมากแล้วนะ ยังไม่พอใจอีกหรือ?”
“อาเหลียง ข้าพลันรู้สึกว่าเรือนไม้ไผ่ไม่มีชื่อก็ดีเหมือนกัน”
ชายฉกรรจ์สวมงอบกลอกตามองสูง
เฉินผิงอันหัวเราะร่าเสียงดัง “วางใจเถอะ ชื่อว่าเรือนเหมิ่งจื่อก็ดีแล้ว”
อาเหลียงพลันหันหน้ากลับมาถาม “เจ้าอยากเรียนวิชากระบี่หรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ตอนนี้ยังไม่อยาก”
อาเหลียงยิ้มอย่างเข้าใจ “กลัวว่าจะวอกแวก? เรียนหมัดได้ไม่ดีเท่าที่ควร?”
เฉินผิงอันถอนหายใจ พยักหน้ารับ
อาเหลียงรู้ว่าเหตุใดเด็กหนุ่มถึงได้ถอนหายใจ ตอนที่อยู่บนยอดเขาฉีตุน เพื่อขัดขวางไม่ให้งูขาวสังหารจูลู่สาวใช้ตระกูลหลี่ เด็กหนุ่มจึงใช้ต้นทุนจากการฝึกเดินนิ่งและวิชาหมัดที่สะสมมาอย่างยากลำบากจนหมดสิ้นไปแล้ว หากจะบอกว่าเดิมทีเขาเป็นเหมือนคนตระกูลระดับกลางที่พอจะมีเงินเหลือเก็บบ้างแล้ว ตอนนี้ก็กลับคืนมาเป็นสภาพเดิม กลายมาเป็นคนที่มีบ้านเพียงผนังสี่ทิศ ตั้งแต่หน้าประตูไปจนถึงหน้าต่างก็ล้วนมีรั่วโหว่น่าสังเวชอีกครั้ง
โชคดีที่การฝึกเดินนิ่งช่วยเสริมสร้างให้เรือนกายและจิตใจแข็งแกร่ง เป็นการกระทำเร่งด่วนเพื่อรักษาชีวิต ส่วนการฝึกยืนนิ่งและท่าหมัดเจี้ยนหลูนั้นก็สามารถบำรุงจิตวิญญาณ ศึกบนพื้นหินเรียบนั้นทำให้เขามีการฝ่าทะลุ ตอนที่ประลองฝีมือกับจูเหอ เด็กหนุ่มจึงสามารถหาช่องโพรงสามแห่งอันเป็นที่กักเก็บปราณกระบี่เจออย่างแม่นยำแล้วทำการปูพื้นฐานให้กับตัวเอง
อาเหลียงกล่าวอย่างสนุกสนาน “ปราณกระบี่ปกป้องชีวิตที่ร้ายกาจหายไปเสี้ยวหนึ่งแบบนี้ เสียดายหรือไม่?”
เฉินผิงอันตอบอย่างไม่ลังเล “ไม่เสียดาย โทสะที่กักเก็บอยู่ในใจข้าก่อนหน้านี้ ได้ระบายออกมาเสียที ตอนนี้ข้าสาแก่ใจยิ่งนัก”
อาเหลียงยิ้ม “ไหนลองเล่ามาสิ”
เฉินผิงอันมองไปยังเบื้องหน้า “ข้ายินดีใช้เหตุผลกับคนอื่น และยังสามารถทำให้คนอื่นยอมฟังเหตุผลที่ข้าพูด ความรู้สึกเช่นนี้ ดีมาก! ก่อนหน้านี้ข้าฝึกวรยุทธ์ก็เพื่อทำให้ร่างกายแข็งแรง หรือจะพูดอีกอย่างก็คือเพื่อรักษาชีวิต แต่ตอนนี้ข้ารู้สึกว่าสามารถวางเป้าหมายให้ไกลอีกหน่อย สูงอีกหน่อยได้แล้ว!”
——