กระบี่จงมา Sword of Coming – บทที่ 104.1

บทที่ 104.1
104.1 นั่งลงแบ่งของโจร
โดย

 

เต่าภูเขาอันเป็นสัตว์วิเศษถือกำเนิดขึ้นมาบนภูเขาฉีตุน ย่อมต้องคุ้นเคยกับเส้นทางบนภูเขาเป็นอย่างดี บวกกับที่พลังเท้าในการเดินข้ามภูเขาเหนือกว่าลาและล่อ เพียงไม่นานกลุ่มคนที่นั่งโดยสารมาบนหลังพวกมันก็มาถึงพื้นที่ริมขอบของภูเขาฉีตุน เดินบนทางเดินม้าลงใต้ไปอีกยี่สิบกว่าลี้ก็จะสามารถเข้าไปในเมืองหงจู๋ แม้จะบอกว่าทางเดินม้าขึ้นเหนือของตอนนี้ถูกตัดขาดเพราะถ้ำสวรรค์หลีจูที่ร่วงลงมากะทันหัน แต่พวกเฉินผิงอันก็ยังคงเลือกที่จะระมัดระวังตัว ไม่หวังให้เต่าภูเขาใหญ่ยักษ์ทั้งสามตัวไปสร้างความรบกวนให้กับพวกคนที่ขึ้นเขามาหาของป่าหรือพวกพ่อค้าที่เดินเท้า

พวกเฉินผิงอันนั่งพักผ่อนอยู่บนยอดเขาของภูเขาลูกเล็ก หลี่ไหวคอยืดยาวด้วยความรอคอย เขารังเกียจเทพเจ้าที่หนุ่มผู้นั้นอย่างถึงที่สุด แต่อาเหลียงบอกว่าในหอสมบัติแนวขวางนั้นมีของล้ำค่าเก็บเอาไว้ ทุกคนต่างก็ได้ส่วนแบ่ง หลี่ไหวจึงคาดหวังกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ในใจคิดว่าวันหน้าถ้าเจอกับหลี่หลิ่วพี่สาวของตนจะต้องทำให้นางอิจฉาตาร้อนให้จงได้

เทพเจ้าที่หนุ่มของภูเขาฉีตุนมาถึงตามนัดอย่างรวดเร็ว คราวนี้ไม่ได้โผล่มาด้วยวิชาดำดิน แต่เดินก้าวยาวๆ ขึ้นมาบนภูเขา อาภรณ์สีขาวโบกสะบัด ชายแขนเสื้อกว้างคล้ายเมฆขาวสองก้อนที่ล่องลอยอยู่เหนือพื้นพิภพ ต่อให้เป็นสาวใช้จูลู่ที่ได้เห็นภาพนี้ก็ยังจำต้องยอมรับว่า หากมองแค่เปลือกหุ้มภายนอก เทพเจ้าที่หนุ่มผู้นี้คู่ควรกับคำบรรยายรูปโฉมว่า “บุรุษผู้หล่อเหลาเปี่ยมรัศมีแห่งเทพ” ที่ระบุไว้ในตำราอย่างแท้จริง

ด้านหลังหนุ่มรูปงามยังมีลาขาวและม้าของตระกูลหลี่ตามมาด้วย ก็ไม่รู้ว่าเทพเจ้าที่หนุ่มผู้นี้ใช้เวทคาถาอะไร ถึงไม่เพียงตามมาทันคนกลุ่มใหญ่ แม้แต่ม้าและลาก็ยังไม่มีท่าทางเหนื่อยล้าให้เห็น

เว่ยป้อที่ไม่รู้ว่ามีชีวิตอยู่มากี่ร้อยปีอุ้มกล่องไม้ทรงยาวไว้ในอ้อมอกแนวขวาง เขาหันไปกุมมือคารวถชายฉกรรจ์สวมงอบก่อน ฝ่ายหลังก็พยักหน้ารับถือเป็นการทักทายกลับ

เทพเจ้าแห่งพื้นที่หนึ่งที่มีความคิดแยบยลลึกล้ำ มือกระบี่นิสัยประหลาดไม่แยแสโลก บัดนี้ความรู้สึกที่พวกเขามอบให้ผู้คนกลับเหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน

ผู้เดินร่วมทางบนมหามรรคา

เว่ยป้อมอบกล่องไม้สีแดงสดที่ไม่รู้ว่าทำมาจักวัสดุใดให้กับอาเหลียง หลี่ไหวรีบพุ่งเข้ามาลูบคลำ ฝ่ามือรู้สึกถึงเพียงความอบอุ่น พอลูบไปแล้วก็คล้ายสัมผัสกับผ้าต่วนชั้นดีของร้านผ้าร้านหนึ่งในตรอกฉีหลงที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในเมืองเล็ก ช่วงปลายปีของปีก่อนเขาติดตามแม่และพี่สาวไปซื้อผ้าเพื่อตัดเสื้อผ้าชุดใหม่ เพียงแค่เขาแอบลูบผ้าแพรงดงามที่ปักลายบุปผาและวิหคผืนนั้นนิดเดียวก็ถือเจ้าของร้านที่เดือดเป็นฟืนเป็นไฟจับโยนออกไปนอกร้าน

หลี่ไหวเงยหน้าถาม “อาเหลียง ขอปรึกษาอะไรหน่อยสิ พอแบ่งสมบัติที่อยู่ในกล่องแล้วเสร็จแล้ว ยกกล่องนี้ให้ข้าได้หรือไม่?”

อาเหลียงถามกลับ “เจ้าเป็นอะไรกับข้า?”

หลี่ไหวกล่าวจริงจัง “เจ้าแต่งงานกับพี่สาวข้า ข้าก็คือพี่เขยของเจ้าไงล่ะ”

อาเหลียงยกฝ่ามือตบป้าบเข้าให้ “อย่างเจ้าต้องเรียกว่าน้องเมียต่างหาก!”

เด็กชายพลันพูดว่า “ข้าไม่อยากเป็นน้องเมีย ข้าชอบเป็นพี่เขย ใต้หล้านี้คนที่เลวร้ายที่สุดก็คือน้องเมีย”

อาเหลียงมองไปทางเว่ยป้อ ถามว่า “กล่องนี้มีราคามากไหม?”

เว่ยป้อยิ้มประจบ “พอได้ เป็นวัตถุที่ทำมาจากไม้อินเฉินสีเหลืองอ่อน ถูกฝังอยู่ในดินมาหลายปี ไม่เพียงไม่เน่าเปื่อยกลับยิ่งส่งกลิ่นหอม สีก็เปลี่ยนจากเหลืองมาเป็นแดง ของชิ้นนี้ไม่ถือว่ามีราคาค่างวด ก็แค่หาได้ยากเท่านั้น”

อาเหลียงก้มหน้าลงมองเด็กชายที่สีหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวัง “ในเมื่อไม่ใช่ของที่มีค่า ก็ยกให้เจ้าแล้วกัน”

หลี่ไหวลุกลี้ลุกลนเตรียมจะแย่งกล่องไม้ไป แต่กลับถูกอาเหลียงตบจนหัวหมุนติ้วอีกรอบ “คิดจะฮุบไว้คนเดียวรึ?”

อาเหลียงกวาดตามองรอบด้านแล้วกวักมือเรียก จากนั้นก็นั่งยองลงบนพื้น เปิดกล่องไม้ทรงยาวที่ชื่อว่า “เจียวหวง” (สีเหลืองอ่อน) ออก ตะโกนเสียงดัง “เฉินผิงอัน เสี่ยวเป่าผิง หลินโส่วอี จูเหอ จูลู่ ทุกคนมานี่ๆ มานั่งแบ่งของ นั่งแบ่งของกัน! ใครมาถึงก่อนก็ได้ก่อน พลาดแล้วพลาดเลย ไม่มีกฎอื่น มีแค่ข้อเดียว ทุกคนหยิบของไปจากหอร้อยสมบัติได้แค่ชิ้นเดียวเท่านั้น หยิบได้ชิ้นไหนก็คือชิ้นนั้น ห้ามเปลี่ยนใจทีหลัง”

เฉินผิงอันมองไปทางเทพเจ้าที่หนุ่ม ฝ่ายหลังรู้สึกได้ถึงสายตาของเด็กหนุ่ม รู้สึกสงสัยเล็กน้อยจึงเอ่ยถามเสียงอ่อนโยน “เจ้าไม่ไปช่วงชิงโชควาสนากับเขาหรือ?”

เฉินผิงอันกล่าวยิ้มๆ “ให้พวกเขาเลือกกันก่อนดีกว่า”

เฉินผิงอันมีเรื่องอยากจะพูดคุยกับเทพเจ้าที่หนุ่มอยู่พอดี เป็นเรื่องเกี่ยวกับการตั้งรกรากของงูดำบนภูเขาลั่วพั่ว รวมถึงเรื่องที่เว่ยป้อจะไปจากที่แห่งนี้แล้วเดินทางไปยังเขตการปกครองของอำเภอหลงเฉวียน ระหว่างทางที่เดินกลับมา อาเหลียงเล่าเรื่องความพิถีพิถันเกี่ยวกับเทพภูเขาและเทพแม่น้ำที่แท้จริงให้เขาฟังคร่าวๆ แล้ว เขาจึงรู้ว่าเทพเหล่านี้จะไม่สามารถออกไปจากขอบเขตที่ราชสำนักแต่งตั้งไว้ในหนังสือลำดับวงศ์ตระกูลง่ายๆ ข้อนี้ค่อนข้างคล้ายคลึงกับกฎเกณฑ์ “ระหว่างอ๋องเจ้าแคว้นด้วยกันห้ามพบหน้ากัน” ที่หลายราชวงศ์กำหนดไว้ หากมีใครละเมิดกฎ โทษสถานเบาคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นจะถูกราชสำนักตักเตือน ลดควันธูปที่จะได้รับให้เหลือน้อยลง สถานหนักคือถูกลดตำแหน่งเทพ และถูกตัดขาดควันธูปจากราษฎรเป็นเวลานานหลายปี ในประวัติศาสตร์ยังมีเทพภูเขาและเทพแม่น้ำหลายคนที่ละเมิดกฎ จุดจบจึงน่าอนาถอย่างถึงที่สุด รูปปั้นร่างทองถูกราชสำนักลากออกมาจากศาลเจ้า กระชากลงมาจากแท่นบูชา แล้วให้นักการในศาลสำแดงอำนาจใช้ไม้ทุบตีเพื่อเป็นเยี่ยงอย่างไม่ให้คนอื่นทำตาม หรือไม่ก็ให้ขุนนางท้องถิ่นลงแส้ด้วยตัวเอง อาจถึงขั้นส่งไปให้พวกชาวเมืองทุบตีจนเละเทะ เหตุการณ์เหล่านี้ล้วนเคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของแต่ละประเทศ

ดังนั้นเว่ยป้อบอกว่าจะพางูดำที่ไปที่ภูเขาลั่วพั่วด้วยตัวเอง แถมยังจะเอาต้นไผ่กล้าหาญพวกนั้นไปสร้างเป็นเรือนไม้ไผ่อีกหลังหนึ่ง แน่นอนว่าเฉินผิงอันย่อมไม่ปฏิเสธความปรารถนาดีนี้ แต่ก็ไม่ต้องการให้เว่ยป้อต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรงเพราะเหตุนี้ อันที่จริงก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มไม่อาจทำความเข้าใจเรื่องเกี่ยวกับควันธูปของวิถีองค์เทพ ฮวงจุ้ยของเทือกเขาและโชควาสนาของราชวงศ์ได้อย่างลึกซึ้ง และนี่ก็เกี่ยวข้องกับการที่อาเหลียงไม่เคยเรียนหนังสือมาก่อน เจ้าหมอนี่คิดจะพูดอะไรก็พูดไปเรื่อย แถมยังพูดคลุมเครือชวนสับสน คงเป็นเพราะจงใจจะโอ้อวดตน ซ้ำยังชอบยึกยักเล่นท่า เรื่องหยาบๆ ตื้นเขินที่เดิมทีไม่มีความลี้ลับอะไรก็ยังถูกเขาเอามาพูดให้ดูลึกลับซับซ้อนได้

ภายหลังหลี่เป่าผิงยกตัวอย่างให้ฟัง ความคิดของเฉินผิงอันถึงได้เปิดโล่ง แม่นางน้อยบอกว่าควันธูปและโชคชะตาเหล่านั้นก็เหมือนกับลำธารหลงซวีที่อยู่นอกเมืองเล็ก ต้นกำเนิดน้ำมีมันอยู่แค่สายเดียว เพื่อให้ไร่นาของตนได้ผลเก็บเกี่ยว พวกชาวบ้านจึงต้องแย่งชิงนำ และแทบทุกปีจึงต้องเกิดการทะเลาะวิวาทขนาดใหญ่ขึ้นด้วยสาเหตุนี้

หลี่เป่าผิงวิ่งมาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน กล่าวร้อนใจ “อาจารย์อาน้อย ทำไมท่านถึงไม่ไปแย่งสมบัติ? ท่านดูคนนิสัยอย่างหลินโส่วอีก็ยังวิ่งไปอย่างเร็ว หลี่ไหวก็แทบจะเอาหัวมุดเข้าไปในหอร้อยสมบัติอยู่รอมร่อแล้ว”

เฉินผิงอันตอบอย่างไม่เห็นเป็นสำคัญ “ไม่เป็นไร เดี๋ยวข้าเลือกเป็นคนสุดท้ายก็ได้”

หลี่เป่าผิงหมุนตัวได้ก็วิ่งไปทันที “ไม่เป็นไร ข้าจะช่วยเลือกให้อาจารย์อาน้อยเอง”

เฉินผิงอันอ้าปากจะพูด แต่แม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงกลับวิ่งพรวดไปอยู่ข้างกายอาเหลียงเรียบร้อยแล้ว มือหนึ่งของนางผลักศีรษะหลี่ไหวออกไปข้างนอก อีกมือหนึ่งผลักไหล่หลินโส่วอี

หลี่ไหวรู้สึกเหมือนได้รับความไม่เป็นธรม “หลี่เป่าผิง เจ้ารังแกคนอื่น!”

หลี่เป่าผิงหันกลับมาพูดอย่างมีเหตุมีผล “ข้าจะเลือกของให้อาจารย์อาน้อย!”

หลี่ไหวนึกถึงหีบหนังสือใบเล็กที่ยังไม่ได้มาครองก็ถอนหายใจ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเลือกเถอะ”

หลินโส่วอีเองก็ไม่หงุดหงิดที่ถูกผลักออก เพียงยื่นนิ้วชี้ไปยังตำราโบราณปกเหลืองม้วนหนึ่งที่อยู่ในหอร้อยสมบัติ มันถูกด้ายสีเหลืองทองเส้นหนึ่งพันเอาไว้ เผยให้เห็นชื่อหนังสือที่เขียนด้วยอักษรอวิ๋นจ้วนพอดี “ข้าเลือกตำราของลัทธิเต๋าเล่มนี้แล้ว มันมีชื่อว่า ‘เหนือเมฆพร่างพราว’ ข้าต้องการแค่มัน ไม่แย่งของชิ้นอื่นกับพวกเจ้าแล้ว”

หลี่ไหวเอนตัวไปข้างหน้ายืดคอยาว เดินอ้อมหลี่เป่าผิงมาเล็กน้อยแล้วถามว่า “โส่วอี ทำไมเจ้าถึงไม่เลือกดาบเล่มนั้น สวยยิ่งนัก ถ้าเป็นข้า ข้าจะเลือกมัน”

หลินโส่วอีต้องพยายามอย่างหนักถึงจะย้ายสายตาออกมาจากดาบแคบเล่มหนึ่งที่กินพื้นที่กว้างสุดในหอร้อยสมบัติได้สำเร็จ แล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “ข้าไม่ใช่คนฝึกวรยุทธ์เสียหน่อย และตัวข้าเองก็ไม่ชอบฝึกดาบเรียนกระบี่ด้วย”

หลี่ไหวเห็นว่าหลินโส่วอีไม่ยอมเปลี่ยนความตั้งใจเดิมก็เริ่มหันไปเกลี้ยกล่อมหลี่เป่าผิงแทน “ดาบเล่มนี้ แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นอาวุธร้ายกาจที่คมกว่าที่ศาสตราวุธชิ้นไหนในใต้หล้าจะเทีบเคียงได้ เป่าขนตัดผมนับเป็นอะไรได้ ข้าคาดว่าแม้แต่โซ่เหล็กในบ่อโซ่เหล็กของเมืองเล็กเรา มันก็น่าจะฟันขาดได้ในดาบเดียว หลี่เป่าผิง ของดีขนาดนี้ เจ้าไม่ต้องการจริงๆ หรือ? อีกอย่างตอนนี้อาจารย์อาน้อยของเจ้าก็ยังไม่มีอาวุธเหมาะมือไม่ใช่หรือ ข้าว่าดาบเล่มนี้เหมาะกับเขามากเลย ถอยมาพูดหนึ่งก้าว เอามันมาใช้เบิกทางขึ้นเขาก็เปี่ยมบารมียิ่งนัก อย่างไรก็คงดีกว่าใช้มีดผ่าฟืนอยู่มากกระมัง?”

ต่อให้ดาบแคบเล่มนั้นจะนอนเงียบอยู่ในฝักดาบสีขาวเหมือนคุณหนูตระกูลใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ในหองาม การตวัดเป็นวงโค้งของมันก็ยังสวยงามจนน่าตะลึงถึงเพียงนี้

อาเหลียงยิ้มแล้วก้มตัวชักดาบแคบออกมาจากฝัก

ส่องประกายคมกริบ ตัวดาบคล้ายแสงรัศมีขาวที่ยังเหลือตกค้างอยู่ในโลกมนุษย์

ตัวดาบไม่มีอักษรสลักไว้ แต่กลับมีลวดลายเป็นเส้นๆ ที่เกิดตามธรรมชาติ ประหนึ่งยันต์มงคลที่เซียนลัทธิเต๋าตั้งใจสลักลงไป

อาเหลียงตะลึงเล็กน้อย ใช้นิ้วดีดหนึ่งครั้ง กลับไม่มีเสียงอึงอลขุ่นมัวดังขึ้น กลับเป็นเสียงสั่นสะเทือนที่ทั้งใสกังวานและดังยาวนาน อาเหลียงเงี่ยหูรับฟังอยู่ชั่วครู่ก็พยักหน้า “ไม่เลว น่าจะเป็น ‘ยันต์มงคล’ ที่อยู่ด้านล่างของเล่มนั้น”

อาเหลียงเก็บดาบลงฝัก ยื่นมันส่งให้แม่นางน้อยพลางเอ่ยยิ้มๆ “เก็บไว้เถอะ ดาบเล่มนี้เหมาะกับเจ้า วันหน้าค่อยหาน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มาเพิ่มสักลูก แล้วห้อยไว้ตรงเอวหนึ่งซ้ายหนึ่งขวาพร้อมกับดาบยันต์มงคลเล่มนี้ หาม้าสูงใหญ่สักตัว สวมชุดสีแดงสด ควบม้าร่ำสุราทะยานอยู่ในยุทธภพเพียงลำพัง ใครเห็นใครก็ชอบ”

อาเหลียงหัวเราะเสียงดังชอบใจ “ใครเล่าจะไม่ชอบสตรีแบบนี้?”

หลี่เป่าผิงรับดาบแคบหนักอึ้งมาไว้ในมืออย่างเหม่อลอย

จูเหอนั่งยองอยู่ใกล้ๆ จูลู่เดิมทีไม่อยากมาร่วมด้วย แถมยังพูดเสียงขุ่นทิ้งไว้ว่านางไม่ต้องการรับของบริจาคจากใคร แต่ถูกบิดาถลึงตาใส่อย่างเข้มงวด ตอนหลังจึงถูกเขาบังคับลากมาด้วย นี่เป็นครั้งแรกที่เด็กสาวเห็นบิดาของนางโกรธ นางรู้สึกกลัวเล็กน้อย แต่ให้ตายนางก็ไม่ยอมนั่งลงแบบจูเหอ ยังคงยืนนิ่งอย่างดื้อดึง สีหน้าเย็นชาอยู่ตรงนั้น

หลี่ไหวฉวยโอกาสที่หลี่เป่าผิงไม่สนใจคว้าหุ่นไม้สีสันสดใสขนาดยาวเท่าฝ่ามืออันหนึ่งมา หุ่นไม้นี้สร้างขึ้นอย่างประณีตงดงาม ดูมีชีวิตชีวาราวกับของจริง

นี่ต่างหากถึงจะเป็นของที่เขาตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็น

กระบี่จงมา Sword of Coming

กระบี่จงมา Sword of Coming

Status: Ongoing
” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “
เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา
เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม
และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง
ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท