เฉิงเซิงบอกกับทุกคนว่าเมืองหงจู๋ไม่ห้ามเข้าออกยามวิกาล ทางทิศตะวันตกของเมืองเล็กมีตลาดอยู่แห่งหนึ่ง แม้ว่าขนาดจะเล็ก แต่กลับมีของจุกจิกสารพัดอย่างวางขายครบถ้วน พอรู้ว่าพวกเฉินผิงอันจะไปซื้อของที่จำเป็นในการทัศนศึกษา เฉิงเซิงขุนนางผู้ดูแลจุดพักม้าก็เป็นฝ่ายเสนอตัวว่าจะนำทางให้เอง บอกว่าจะได้ลดความยุ่งยากมากมายลงไปได้ อย่างน้อยร้านค้าเหล่านั้นก็ไม่กล้าตั้งราคาแพงหูฉี่ เฉินผิงอันมองไปยังอาเหลียงที่เคยมาเยือนเมืองหงจู๋แล้วครั้งหนึ่ง ชายฉกรรจ์สวมงอบจึงพยักหน้า บอกว่าเขาค่อนข้างคุ้นเคยกับทิวทัศน์ของสองข้างฝั่งเท่านั้น ไม่เคยไปที่ตลาดมาก่อน
เฉิงเซิงมองอาเหลียง ชายมีอายุสองคนยิ้มให้กันอย่างรู้ใจ
แถวอ่าวฟูสุ่ยมีเรือทัศนาจรเล็กใหญ่อยู่เกือบร้อยลำ ทุกคืนจะต้องขับออกจากหาด เลียบแม่น้ำสายนั้นเข้ามาในเมืองหงจู๋ พอวนครบหนึ่งรอบแล้วก็จะกลับไปยังอ่าวฟูสุ่ยอีกครั้ง ระหว่างนี้จะมีบุรุษเดินขึ้นเรือเหล่านั้นตลอดเวลา บ้างก็ซื้อเหล้า บ้างก็ซื้อเสียงหัวเราะ
ในเมืองหงจู๋ แม้ว่าสตรีบนเรือของอ่าวฟูสุ่ยกับสตรีในหอโคมเขียวแห่งอื่นๆ จะต่างก็มีสัญชาติของคนชั้นต่ำแห่งต้าหลี ทว่าฝ่ายแรกจะมีฝ่ายเลี้ยงรับรอง[1]ของเมืองหลวงเป็นผู้รับผิดชอบดูแลหนังสือสำมะโนครัวโดยตรง แม้แต่นายอำเภอที่เป็นดั่งขุนนางพ่อแม่ของพื้นที่หนึ่งก็ยังไม่มีสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนสถานะของสตรีบนเรือทัศนาจรจากเลวมาเป็นดีได้ ดังนั้นเมืองหงจู๋จึงมีคำกล่าวอย่างหนึ่งมาโดยตลอดว่า บรรพบุรุษห้าแซ่ของอ่าวฟูสุ่ยนั้นเคยเป็นเชื้อพระวงศ์และตระกูลผู้มีคุณูปการของราชวงศ์เสินสุ่ย
ภายใต้การนำทางของเจ้าถิ่นอย่างเฉิงเซิงขุนนางผู้ดูแลจุดพักม้า พวกเฉินผิงอันจึงมุ่งหน้าไปยังตลาดนัดทางฝั่งตะวันกตกของเมือง ยิ่งขยับไปทางทิศตะวันตก เสียงผู้คนบนถนนยิ่งจอแจคึกคัก พอรู้ว่าในระยะทางสองร้อยกว่าลี้ที่มุ่งหน้าลงใต้ไปจากเมืองหงจู๋มีจุดพักม้าของแต่ละเมืองให้จอดพักเติมเสบียง เฉินผิงอันก็ล้มเลิกความคิดบางอย่างไป เขาไม่ได้ซื้ออาหารอย่างข้าวสาร เนื้อหมักดอง ฯลฯ จำนวนมากเกินไปนัก แต่ซื้อยาสมุนไพรและยาทาเพิ่มจากร้านยาร้านหนึ่งมาเป็นจำนวนมาก เพื่อไว้รับมือกับลมหนาวลมร้อน หรือบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ อย่างการหกล้ม ฟกช้ำ เป็นต้น ถึงเวลาที่ต้องควักเงินออกมาจ่าย เฉินผิงอันถึงได้รู้ว่าที่แห่งนี้ก็พอๆ กับเมืองเล็ก เงินทั้งก้อนคือของหายาก ดังนั้นหากนำเงินก้อนลายเกล็ดหิมะสองก้อนมาคำนวณเป็นเงินเหรียญทองแดงที่ใช้กันทั่วไปในต้าหลีจะได้เงินจำนวนสูงเทียมฟ้า เพราะในมือมีเงินก้อนที่มีคุณลักษณะดีที่สุด ลำพังเพียงแค่ราคาเกินจริงก็สูงถึงสองร้อยอีแปะ นี่จึงทำให้เฉินผิงอันรู้สึกซาบซึ้งใจตัวแม่นางซิ่วซิ่วของร้านตีเหล็กผู้นั้นมาก
เพราะว่ามีเฉิงเซิงขุนนางผู้ดูแลจุดพักม้าอยู่ข้างกาย ทุกอย่างจึงราบรื่นลุล่วงไปด้วยดี ในเขตการปกครองอย่างเมืองเล็ก ไม่ควรมองว่าขุนนางผู้น้อยไม่ใช่ขุนนางจริงๆ โดยเฉพาะคนอย่างเฉิงเซิงที่มักจะคบค้าสมาคมอยู่กับพ่อค้าร่ำรวยหรือไม่ก็ขุนนางที่มาพักประจำการอยู่ในเมืองตลอดทั้งปี ในสายตาของชาวบ้านเมืองเล็ก เขาก็คือบุคคลยิ่งใหญ่ที่มีความสามารถเทียมฟ้า ดังนั้นเมื่อพวกเฉินผิงอันเดินเข้าไปในแต่ละร้าน คนในร้านล้วนเอ่ยเรียกใต้เท้าเฉิงกันอย่างกระตือรือร้น แทบจะยกใต้เท้าขุนนางผู้ดูแลจุดพักม้าผู้นี้ขึ้นหิ้งบูชาดั่งพระโพธิสัตว์
ตลอดทางทีเดินมา หลี่ไหวสำรวมสงบเสงี่ยมอย่างมาก เอาแต่หลบอยู่ด้านหลังอาเหลียง กล้าแค่ยื่นหน้าออกมามองทางโน้นทีทางนี้ที อาเหลียงแซวว่าเขาขี้ขลาด เก่งแต่ในผ้านวมของตัวเอง หลี่ไหวกำลังจะอ้าปากแผดเสียงเปิดศึกด่าอาเหลียงสักสามร้อยรอบ แต่เมื่อคนรอบด้านพากันมองมาด้วยสายตาสนอกสนใจ หลี่ไหวก็รีบทำคอตก หลบอยู่ด้านหลังอาเหลียงอย่างเซื่องซึม ทำเอาอาเหลียงชอบอกชอบใจ คอยตบศีรษะหลี่ไหวอยู่เป็นระยะ เด็กชายกล้าโมโหแต่ไม่กล้าพูด อัดอั้นตันใจเป็นอย่างยิ่ง
หลินโส่วอียังคงมีท่าทีเย็นชาวางตัวสูงส่งราวกับเรื่องทุกอย่างนี้ไม่เกี่ยวกับตนอยู่เช่นเดิม เกรงว่าต่อให้ตอนนี้เด็กหนุ่มไปเดินอยู่บนทางของเมืองหลวงก็คงยังมีท่าทีเช่นนี้
มีเพียงหลี่เป่าผิงเท่านั้นที่แบกหีบหนังสือสีเขียวมรกตของนางเดินป่ายซ้ายป่ายขวาเหมือนปู เชิดหน้าตรงอกตั้ง แทบอยากจะพุ่งเข้าไปลากใครสักคนที่เดินผ่านมาแล้วบอกกับเขาว่า หีบหนังสือของตนอาจารย์อาน้อยเป็นคนทำให้เองกับมือ
ตลาดนัดเกิดจากการการรวมตัวของถนนใหญ่สองเส้นจากใต้มุ่งไปเหนือและจากเหนือมุ่งไปใต้ หลังจากเดินเล่นบนถนนชมภูเขากันเสร็จ พวกเฉินผิงอันก็เตรียมจะข้ามตรอกแห่งหนึ่งมุ่งหน้าไปยังถนนชมน้ำ ผลคือตอนเดินผ่านร้านหนังสือในตรอกที่กิจการซบเซาแห่งหนึ่ง เฉิงเซิงขุนนางผู้ดูแลจุดพักม้าที่เป็นผู้นำทางก็เดินดิ่งเลยไปทันที แต่เฉินผิงอันกลับหยุดเท้า หลังจากบอกกล่าวแก่ขุนนางผู้ดูแลจุดพักม้าเรียบร้อยก็พูดกับพวกหลี่เป่าผิงสามคนยิ้มๆ ว่า “คนหนึ่งซื้อหนังสือได้หนึ่งเล่ม แพงแค่ไหนก็ไม่มีปัญหา ขอแค่เป็นราคาที่พวกเราซื้อไหวก็พอ”
ร้านนนี้เล็กมาก กว้างไม่ถึงสองจั้ง พอเดินเข้าไป สองฝั่งซ้ายขวาต่างก็ตั้งวางชั้นหนังสือสูงเรียงราย ด้านในสุดของร้านมีชายหนุ่มสวมชุดคลุมยาวสีดำผู้หนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็ก ยกขาไขว่ห้าง หลับตาทำสมาธิ มือหนึ่งถือพัดพับเคาะลงกลางฝ่ามือเบาๆ คลอเพลงอยู่ในลำคอ
เจ้าของร้านหนุ่มมีใบหน้าหล่อเหลานุ่มนวล ไม่มีท่าทีกระหายเงินเหมือนกับเจ้าของร้านก่อนๆ หน้านี้
หลังจากที่เด็กสาวจูลู่เห็นเขาก็อึ้งงัน น่าจะเป็นเพราะคาดไม่ถึงว่าจะได้เจอกับบุคคลที่มีบุคลิกองอาจหลุดพ้นจากความสามัญในตลาดของเมืองหงจู๋แห่งนี้
หลังจากที่เทพเจ้าที่ภูเขาฉีตุนท่านนั้นหลุดพ้นจากพันธนาการ ได้สถานะองค์เทพกลับคืนมาอีกครั้ง เปลี่ยนจากชายแก่ร่างเล็กเตี้ยสวมชุดขาวมาเป็นคุณชายสูงศักดิ์สะโอดสะอง แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่สำหรับในใจของเด็กสาวแล้ว เว่ยป้อผู้นี้กลับยังคงมีภาพลักษณ์สกปรกมอมแมมไม่น่าดูอยู่เช่นเดิม ทว่าความประทับใจแรกที่คุณชายตรงหน้าผู้นี้มอบให้กับคนมองช่างเด่นชัดยิ่งนัก
แม้แต่จูเหอก็ยังเต็มไปด้วยความสงสัย คนผู้นี้คงไม่ใช่ลูกหลานตระกูลร่ำรวยที่สถานะทางบ้านตกต่ำหรอกกระมัง? เพราะเมื่อเทียบกับคุณชายทั้งสองของตระกูลตนแล้ว เขากลับไม่แย่กว่าเลยแม้แต่น้อย
ชายหนุ่มไม่ได้ลืมตา เพียงกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “หนังสือในร้านห้ามต่อรองราคา ซื้อไปแล้วจะได้กำไรหรือขาดทุน ล้วนต้องอาศัยความสามารถในการมองของลูกค้าทุกท่านแล้ว”
เฉิงเซิงขุนนางผู้ดูแลจุดพักม้าพูดกับจูเหอเบาๆ ว่า “ร้านนี้ค่อนข้างจะมีชื่อเสียงในเมืองหงจู๋ของพวกเรา เหล่าบัณฑิตที่เดินทางผ่านมาที่นี่มักจะแวะมาดูสินค้าในร้านนี้เสมอ เพียงแต่ว่านิสัยของเจ้าของร้านค่อนข้างจะประหลาด ราคาหนังสือที่วางขายก็สูงกว่าราคาตลาดทั่วไป อีกอย่างใครกล้าต่อรองราคา เขาก็กล้าไล่คนต่อหน้า นิสัยเย่อหยิ่ง ไม่คิดจะประจบเอาใจขุนนาง เคยมีขุนนางกรมคลังผู้หนึ่งที่ปลอมตัวมาเยี่ยมเยียนชาวบ้าน และหยุดพักที่จุดพักม้าเจิ่นโถวของข้าน้อย นายท่านผู้นั้นสนใจหนังสือเล่มหนึ่งที่มีวางขายเพียงเล่มเดียวราคาสามร้อยตำลึงเงิน แต่ว่าต่อราคาให้เหลือห้าสิบตำลึงเงิน เลยถูกไล่ออกจากร้านทันที ไม่มีไว้หน้ากันแม้แต่น้อย ทำเอานายท่านคนนั้นโกรธมาก จนกระทั่งกลับไปถึงจุดพักม้าโทสะก็ยังไม่ลดลง เกือบจะสั่งให้ที่ว่าการอำเภอปิดร้านนี้ แต่คาดว่าหากเรื่องนี้แพร่ไปคงจะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียง ร้านนี้จึงหลบหายนะครั้งนั้นมาได้”
จูเหอเข้าใจโดยพลัน คาดว่าอีกฝ่ายคงจะเป็นพวกคร่ำครึไม่รู้จักปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ เป็นคนประเภทที่คุณชายรองชอบเย้ยหยันมากที่สุด มักจะบอกว่าพวกเขาคือพวกที่วันๆ ไม่ทำอะไร เอาแต่พูดคุยเรื่องปรัชญาไร้แก่นสาร แต่พอถึงคราวคับขันกลับใช้วิธีเสียสละตนมาแก้ไขปัญหา ซึ่งเป็นวิธีการที่ไม่ถูกต้อง คุณชายรองยังพูดกลั้วหัวเราะด้วยว่า ไม่ถึงสองร้อยปี ต้าหลีของพวกเราก็จะเป็นเช่นนี้
ดังนั้นสำหรับพวกบัณฑิตที่อยู่ด้านนอกเหล่านี้ จูเหอจึงมีทัศนคติที่ไม่ดีนัก
ทางเดินม้าของเมืองหงจู๋แห่งนี้เป็นหนึ่งในทางเดินม้าที่สำคัญสามสายซึ่งเชื่อมโยงจากชายแดนทิศใต้ไปยังเมืองหลวงของต้าหลี พ่อค้าหรือขุนนางมียศศักดิ์มีเงินทองที่หากจะเดินทางไปยังเมืองใหญ่ที่สำคัญทางทิศเหนือซึ่งรวมไปถึงเมืองหลวงของต้าหลี ส่วนมากก็มักจะเลือกเส้นทางสายนี้ เพราะทางเดินม้าอีกสองสายที่แม้จะกว้างขวางยิ่งกว่า แต่จุดพักม้าระหว่างทางแทบทุกแห่งล้วนเบียดเสียดยัดเยียด หากไม่มีหนังสือสัญญาจากทางราชการหรือตราทหารที่มีน้ำหนักมากพอ อย่าว่าจะหยุดพักแรมเลย แม้แต่ประตูใหญ่ก็อย่าคิดว่าจะเข้าไปได้ ทุกปีจะต้องมีขุนนางหรือคนสูงศักดิ์มากมายที่ไม่เข้าใจหลักการเหล่านี้ขายหน้าเพราะเรื่องนี้
ปัญญาชนทางใต้ที่เดินทางมาสอบที่เมืองหลวง เนื่องจากยังไม่มีสถานะเป็นขุนนาง จึงมักจะชอบเลือกทางเดินม้าสายนี้ โดยทั่วไปจะจับกลุ่มกันมาสองถึงสามคน ทั้งสามารถช่วยดูแลกันและกัน ชื่นชมทัศนียภาพระหว่างทาง แล้วก็สามารถได้มาเยี่ยมเยือนเหล่าเทพเซียนด้วย
ขุนนางที่ถูกลดขั้นให้มาอยู่ทางทิศใต้ที่กลัดกลุ้มเพราะไม่อาจทำตามปณิธานที่ตั้งไว้ก็มักจะชอบเขียนกลอนไว้บนกำแพงของจุดพักม้าหรือโรงเตี๊ยม แล้วก็ชอบเส้นทางลงใต้สายนี้ ไปๆ มาๆ บนกำแพงของจุดพักม้าเจิ่นโถวเมืองหงจู๋แห่งนี้จึงเต็มไปด้วยบทกวีของเหล่าชาวบุ๋นหรือไม่ก็พวกนักท่องเที่ยวจอมก่อกวน
หลี่เป่าผิงเงยหน้าเริ่มมองหาทั้งสอง กวาดตามองไปทางนี้ปราดหนึ่ง ทางนั้นอีกปราดหนึ่ง ขึ้นอยู่กับอารมณ์ว่าอยากมองไปทางไหน บางครั้งก็ดึงหนังสือออกมาเล่มหนึ่ง พลิกเปิดดูสองสามหน้า หากไม่สนใจก็วางกลับไปที่เดิม สุดท้ายแม่นางน้อยเจอบันทึกการท่องเที่ยวเล่มหนึ่ง ราคาสามร้อยอีแปะ รู้สึกเสียดายเงินเล็กน้อย แต่ก็ชอบมันมากจริงๆ จึงหันไปมองทางอาจารย์อาน้อย เฉินผิงอันเลยพยักหน้ายิ้มให้
สายตาของหลินโส่วอีกวาดตามองไปบนชั้นหนังสืออย่างเชื่องช้าเป็นขั้นเป็นตอน จากขวาไปทางซ้าย จากบนลงล่าง ทุกครั้งที่หยิบหนังสือออกมาพลิกเปิดต้องเริ่มจากหน้าปกในก่อนเสมอ สุดท้ายเด็กหนุ่มถูกใจหนังสือฮวงจุ้ยเล่มหนึ่งที่ไม่ระบุชื่อผู้แต่ง ราคาสี่ร้อยอีแปะ หลินโส่วอีมองเฉินผิงอัน ฝ่ายหลังยังคงพยักหน้าให้
ส่วนหลี่ไหวที่พอมาถึงร้านแล้วไม่ได้ยินเสียงโวยวายเอะอะบนถนนอีกก็กลับคืนสู่นิสัยดื้อรั้นอีกครั้ง พอๆ กับม้าพยศที่ถูกปลดบังเหียน เขาอายุน้อยที่สุดและตัวเตี้ยที่สุด ดึงดันจะนั่งอยู่บนไหล่อาเหลียงเพื่อเลือกหนังสือให้ได้ อาเหลียงตอบรับ แต่ป่าวประกาศว่าหากหลี่ไหวเลือกหนังสือไม่ได้สักเล่ม รอออกไปจากร้านเมื่อไหร่จะโยนเขาทิ้งไว้บนถนน ผลกลับกลายเป็นว่าหลี่ไหวแข็งใจเลือกตำราใหม่เอี่ยมที่อยู่สูงสุดมาได้เล่มหนึ่ง ราคาเก้าจุดสองตำลึงเงิน พอเห็นราคา หลี่ไหวก็ผงะตกใจทำลับๆ ล่อๆ จะซุกหนังสือกลับไป เพียงแต่ว่ามือเท้าลนลานไปหน่อย หนังสือจึงไม่ถูกยัดกลับเข้าชั้นหนังสือได้สำเร็จ กลับกลายเป็นว่าร่วงลงพื้น
ชายหนุ่มเจ้าของร้านเคาะพัดเบาๆ ลืมตาขึ้นมองหนังสือที่ตกอยู่บนพื้นเล่มนั้นแล้วกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ซื้อแล้วห้ามเปลี่ยนใจ หนังสือ ‘หน้าผาใหญ่น้ำหยุด’ เก้าจุดสองตำลึงเงิน”
หลี่ไหวไม่กล้าต่อปากต่อคำกับคนแปลกหน้า ได้แต่ทำหน้าม่อยเหลือบมองไปยังเฉินผิงอันอย่างระมัดระวัง ฝ่ายหลังถามว่า “ซื้อไปแล้วจะอ่านหรือไม่?”
หลี่ไหวพยักหน้ารับอย่างแรง
เฉินผิงอันจึงพยักหน้ายิ้มๆ “ถ้าอย่างนั้นก็ซื้อเถอะ”
อาเหลียงถาม “เฉินผิงอัน ทำไมเจ้าไม่ซื้อสักเล่มล่ะ?”
เฉินผิงอันที่กำลังควักเงินรีบส่ายหน้าปฏิเสธ “ตัวอักษรข้ายังรู้จักไม่ครบ จะซื้อหนังสือไปทำไม?”
จูเหอหันกลับไปมองลูกสาวของตัวเอง “มีหนังสือที่อยากได้ไหม?”
จูลู่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตูมาโดยตลอด เพียงเหลือบมองชั้นหนังสือแวบหนึ่งแล้วส่ายหน้า
เจ้าของร้านหนุ่มที่เตรียมจะคิดเงินลุกขึ้นยืน ใช้ปิ่นไม้สีนิลตรึงผมเอาไว้ ในมือถือพัดพับที่ซี่พัดเป็นสีขาวหิมะ สายตากวาดผ่านแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงและเด็กหนุ่มเย็นชาเร็วๆ สุดท้ายมองไปยังเด็กชายที่ถือหนังสือ หน้าผาใหญ่น้ำหยุด’ อย่างขลาดๆ แล้วคลี่ยิ้มแฝงความสนุกสนาน
อาเหลียงยิ้มกว้าง
เดินออกมาจากร้านหนังสือ เดินไปบนถนนขมน้ำ จูเหอพลันใจกระตุก หันกลับไปมองก็พบว่าชายหนุ่มหน้าตาไม่ธรรมดาคนนั้นยืนเอียงตัวพิงกรอบประตู กำลังมองส่งพวกเขาจากไป พอเห็นว่าจูเหอหันกลับมามอง คนผู้นั้นยังพยักหน้าส่งยิ้มให้ด้วย
จูเหอหันหน้ากลับมา ขมวดคิ้ว พอเดินออกจากตรอกเล็กก็สาวเท้าเร็วๆ ไปอยู่ข้างกายชายฉกรรจ์สวมงอบ “ผู้อาวุโสอาเหลียง เจ้าของร้านหนังสือคนนั้นออกจะประหลาดไปหน่อยไหม?”
อาเหลียงประคองงอบ พูดด้วยประโยคประหลาดอย่างแท้จริง “เทียบกับเจ้าหมอนี่ ปัญหาที่แท้จริงยังรออยู่ข้างหน้า แต่ว่าไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเจ้า”
……
กระแสน้ำในแม่น้ำชงตั้นไหลเชี่ยวกรากมากที่สุด มีหินโสโครกใต้น้ำและชายหาดที่อันตรายอยู่มากมาย มีชื่อเสียงเลื่องลือด้านทัศนียภาพที่งดงาม หนึ่งในนั้นมีกระแสน้ำช่วงหนึ่งที่มีเสาหินใหญ่น้อยงอกพ้นผิวน้ำ ถูกขนานนามให้เป็นหน่อไม้ฤดูใบไม้ผลิหลังฝน มีเพียงเรือแจวลำเล็กเท่านั้นที่สามารถลอดผ่านระหว่างร่องหินได้ เรือใหญ่ยากที่จะข้ามผ่าน ต่อให้เป็นคนขับเรือที่โตมากับแม่น้ำ ว่ายน้ำได้เก่งก็ยังไม่กล้านั่งเรือลงน้ำไปง่ายๆ เว้นเสียแต่ว่าจะมีพวกบัณฑิตหรือปัญญาชนที่มาเยือนเพราะได้ยินชื่อเสียงของมัน แล้วจ้างวานด้วยเงินจำนวนมาก พวกเขาถึงจะออกเดินทาง ดังนั้นจึงมีประโยคที่ว่าเรือเล็กดั่งกระดาษขาว คนถ่อเรือดั่งเหล็กกล้า (เรือในสมัยโบราณจะมีน้ำหนักเบา พบเจออันตรายได้ง่าย คนถ่อเรือควรต้องมีความชำนาญ) ทุกปีจะต้องมีคนถ่อเรือและคนต่างถิ่นเอาชีวิตไปทิ้งอยู่ในทางน้ำป่าหินช่วงนี้ของแม่น้ำชงตั้นเสมอ
เพียงแต่ว่าแม่น้ำชงตั้งท่ามกลางแสงสนธยาของค่ำคืนนี้กลับมีคนมาท่องเที่ยวไม่น้อย
กระแสน้ำเชี่ยวกรากในแม่น้ำซัดกระแทกใส่เสาหินแต่ละต้นที่โผล่พ้นกลางน้ำ มีชายฉกรรจ์เปลือยหน้าอกคนหนึ่งนั่งอยู่บนยอดเขาเสาหินต้นหนึ่ง โยนกาเหล้าที่วางเปล่าลงในแม่น้ำเบาๆ ส่วนข้างกายยังมีกาเหล้าที่ยังไม่เปิดฝาอีกสามใบ
ห่างออกไปไกล แสงสีแดงจุดหนึ่งขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ที่แท้มีชายชราหลังค่อมคนหนึ่งถือโคมไฟสีแดงสดดวงใหญ่ ใช้เสาหินเป็นบันได้ข้ามแม่น้ำมุ่งตรงเข้ามาอย่างว่องไวดุจกบกระโดดบนผิวน้ำ
ทันใดนั้นเงาร่างแข็งแกร่งของคนผู้หนึ่งก็พลันเยื้องกรายลงมาจากฟากฟ้า เท้าเหยียบลงบนยอดเสาหินต้นหิน หินกล้าใต้ฝ่าเท้าไม่อาจรองรับน้ำหนักได้ไหวจึงแหลกสลายกลายเป็นผุยผงในชั่วพริบตา เขาจึงยืนอยู่กลางสายน้ำทั้งอย่างนั้น
ท่ามกลางแม่น้ำมีหญิงแต่งงานแล้ววัยกลางคนผู้หนึ่งเดินทวนกระแสน้ำขึ้นมา ย่างก้าวผ่อนคลายมาดมั่น เหนือศีรษะนางขึ้นไปสามฉื่อมีไข่มุกสีขาวหิมะขนาดเท่ากำปั้นลอยอยู่ มันปลดปล่อยแสงสว่างเจิดจ้า ส่องลงไปถึงก้นแม่น้ำให้สว่างไสวราวกับเวลากลางวัน
สตรีแต่งงานแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเกียจคร้านเบื่อหน่าย “เดินทางบนน้ำมาหนึ่งร้อยกว่าลี้ ยังเก็บสมบัติไม่ได้แม้แต่ครึ่งชิ้น ใครกันที่บอกข้าว่าใต้แม่น้ำชงตั้นมีความมหัศจรรย์ซุกซ่อนอยู่?”
ชายที่นั่งดื่มเหล้าอยู่บนยอดเสาหินมองใต้น้ำแวบหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างเรียบเฉย “ใต้เท้าอยู่ที่เมืองหงจู๋แล้ว”
ผู้เฒ่าแกว่งโคมไฟสีแดงสด พูดกลั้วยิ้มน้ำเสียงแหบพร่า “ใต้เท้าถึงกับลงมือเองเลยหรือนี่? แล้วยังจะต้องการพวกเราสี่คนมาทำอะไรอีก? ยกเก้าอี้ให้นั่งชมงิ้วหรือไร?”
ชายผู้นั้นดื่มเหล้าหนึ่งอึก ก่อนเอ่ยเสียงหนัก “หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น”
——
[1] เรียกอีกอย่างก็คือหอนางโลมของทางการ แต่จะแตกต่างจากหอนางโลมทั่วไป เพราะแคว้นเป็นผู้ก่อตั้ง เดิมทีฝ่ายเลี้ยงรับรองคือสถานที่ที่สอนดนตรีให้แก่นางกำนัล ทว่าภายหลังโดยเฉพาะยุคราชวงศ์ชิงที่เปลี่ยนมาเป็นหอนางโลมของทางการ และผู้ที่เข้ามาอยู่ในสถานที่แห่งนี้ ส่วนใหญ่ล้วนไม่ใช่ชาวบ้านทั่วไป แต่เป็นหญิงสาวในตระกูลที่มีหน้ามีตา ในอดีตพวกนางมีชีวิตสูงส่งสุขสบาย แต่เมื่อมาอยู่ในสถานที่แห่งนี้กลับเหมือนอยู่ในนรก