รอบเมืองหงจู๋มีกำแพงสูง พวกเฉินผิงอันจำเป็นต้องเดินเข้าเมืองเล็กผ่านทางประตูทิศเหนือ ผลกลับกลายเป็นว่าเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น ตรงประตูเมืองมีทหารเฝ้ายามสวมชุดเกราะถืออาวุธแหลมคมต้องการให้พวกเขาส่งมอบหนังสือผ่านด่านถึงจะเข้าไปได้ นี่ทำให้เฉินผิงอันยืนอึ้งอยู่กับที่ เขาไม่รู้แม้กระทั่งว่าหนังสือผ่านด่านคืออะไรด้วยซ้ำ
อาเหลียงที่ได้ทองก้อนไปถือไว้ในมือตั้งนานแล้วหัวเราะคิกคักพลางหยิบหนังสือทางการยับย่นแผ่นหนึ่งออกมา ผลกลับกลายเป็นว่าเมื่อผ่านการตรวจสอบแล้ว ไอ้หมอนี่ก็เดินอาดๆ เข้าไปในเมืองเพียงลำพัง แม้แต่ลาก็ยังปล่อยทิ้งไว้ไม่สนใจ พอไปถึงตรงช่องประตูเมืองยังไม่ลืมหันมาโบกมือบอกลาทุกคน หลี่ไหวสบถด่าเสียงดัง ป่าวประกาศว่าจะฆ่าลาขาว อาเหลียงกลับหัวเราะร่าจากไป
จูเหอเองก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน ก่อนจะออกมาจากเมืองเล็ก ท่านบรรพบุรุษไม่ได้สั่งความอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อน อันที่จริงนอกจากอายุที่มากกว่าทุกคนแล้ว จูเหอเองก็ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับโลกภายนอกเลยแม้แต่น้อย ไม่ได้ดีไปกว่าเฉินผิงอันสักเท่าไหร่ ถึงขั้นที่ว่าเรื่องขึ้นเขาลงห้วย นอนกลางดินกินกลางทรายก็ยิ่งเทียบกับเด็กหนุ่มผู้ยากจนซึ่งทำงานในเตาเผาไม่ติด จูเหอพลันเกิดแรงบันดาลใจ นึกถึงหลักการที่ว่ามีเงินทองก็แก้ได้สารพัดปัญหานั้นต้องสามารถนำไปใช้ได้ทุกที่อย่างแน่นอน จึงแอบยัดก้อนเงินใส่มือนายทหารคนหนึ่ง แต่กลับกลายเป็นว่านายทหารหนุ่มผู้นั้นใช้ปลายหอกยันเข้าที่หน้าอกของเขา ตวาดเสียงกร้าวเฉียบขาด ต่อให้เป็นจูเหอที่นิสัยอ่อนโยนก็ยังเริ่มจะโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้า หากเข้าไปอยู่ในกองทัพ ไม่แน่ว่าอาจได้เป็นนายทหารชั้นกลางควบคุมกองทัพนับพันคนแล้วก็เป็นได้ แต่ขณะที่จูเหอเตรียมจะอธิบายเหตุผลกับคนผู้คน จูลู่กลับแตะข้อศอกของเขาเบาๆ เอ่ยเตือนเสียงแผ่ว “ท่านพ่อ กฎของกองทัพต้าหลีพวกเรามีระบุการลงโทษและให้รางวัลไว้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังมีความพิเศษอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือหากไม่เป็นโทษที่เบามาก ก็เป็นโทษที่ร้ายแรงมาก ดังนั้นอย่าไปทะเลาะกับทหารพวกนี้เลย พวกเราที่เป็นชาวบ้านไม่มีทางได้เปรียบหรอก”
จูเหอขมวดคิ้ว แค่นเสียงเย็น แต่สุดท้ายก็ยังเลือกทำตามประโยคว่า ชาวบ้านไม่ขัดแย้งกับขุนนาง
จูลู่เอ่ยปลอบใจเสียงเบา “ท่านพ่อ วันหน้าให้ท่านบรรพบุรุษช่วยหาฐานะขุนนางให้แก่ท่าน เมื่อมียันต์คุ้มกันกายแล้ว บวกกับฝีมือของท่าน เชื่อว่าอีกไม่นานต้องโดดเด่นขึ้นมา ไม่ต้องคอยมาทนกับเรื่องน่าโมโหพวกนี้อีก”
จูเหอก้าวยาวๆ จากไปพลางพยักหน้า หันกลับมาเหลือบมองทหารเฝ้าประตูคนนั้นแวบหนึ่งก็หลุดหัวเราะพรืด “คำโบราณประโยคนั้นกล่าวได้ดีจริงๆ พญายมพูดง่าย ผีน้อยยากตอแย”
ทุกคนพากันหันไปมองเฉินผิงอันโดยไม่รู้ตัว
เฉินผิงอันครุ่นคิดแล้วก็พูดเนิบช้าว่า “หากไม่มีหนทางจริงๆ ก็คงได้แต่อ้อมผ่านเมืองหงจู๋ไปแล้ว คืนนี้ต้องค้างอยู่ด้านนอก พวกเราสามารถจ้างให้คนไปช่วยซื้อของทั้งหมดที่พวกเราต้องการ ปัญหาใหญ่อย่างแท้จริงก็คือพวกเราเข้าไปยังท่าเรือในเมืองเล็กไม่ได้ ก็ต้องเปลี่ยนเส้นทางการเดินทาง เดิมทีหากเป็นทางน้ำจะต้องเดินทางสองร้อยกว่าลี้ เลียบแม่น้ำซิ่วฮวาลงใต้ ซึ่งจะสบายกว่าที่พวกเราต้องเดินเท้ามากนัก แถมยังไม่ต้องอ้อมด้วย”
และเวลานี้เอง ชายวัยกลางคนสวมชุดขุนนางสีเขียวคนหนึ่งก็เดินเร็วๆ ออกมาจากประตูเมือง เขามองประเมินพวกเฉินผิงอันอย่างละเอียด สุดท้ายมองไปที่จูเหอ กุมมือคารวะพลางถามว่า “ข้าน้อยเฉิงเซิง ตอนนี้ทำหน้าที่เป็นขุนนางดูแลจุดพักม้าเจิ่นโถวเมืองหงจู๋ ไม่ทราบว่าท่านคือท่านจู จูเหอที่มาจากอำเภอหลงเฉวียนใช่หรือไม่?”
จูเหอไม่ตอบ สีหน้าระแวงภัย
ชายที่เรียกตัวเองว่าเป็นขุนนางผู้ดูแลจุดพักม้าจึงหัวเราะเสียงกังวาน “ประมุขตระกูลของพวกเจ้าเคยส่งจดหมายฉบับหนึ่งมาส่งถึงมือใต้เท้านายอำเภอของพวกเรา ได้เล่าถึงเส้นทางการเดินทางของพวกเจ้าให้ฟังคร่าวๆ ให้ใต้เท้านายอำเภอของพวกเราต้อนรับอย่างเต็มที่ นอกจากนี้แล้ว พวกเจ้าแต่ละคนต่างก็มีจดหมายจากทางบ้านที่ส่งมาถึงจุดพักม้าเจิ่นโถวของพวกเราแล้ว เมื่อสิบวันก่อนข้าจึงได้จัดเตรียมหาห้องพักให้กับทุกท่านโดยเฉพาะ คงพูดได้แค่ว่าพอจะสะอาดสะอ้านอยู่บ้าง ไม่กล้าพูดว่ามีดีอะไรมากมาย หวังว่าแขกผู้มีเกียรติทุกท่านจะให้อภัย อย่าไปฟ้องใต้เท้านายอำเภอ หาไม่แล้วหากใต้เท้านายอำเภออารมณ์ไม่ดีขึ้นมา ข้าเกรงว่าวันพรุ่งนี้จะทำชามข้าวหายไปได้”
ผู้มีตำแหน่งสูงสุดของจุดพักม้าเจิ่นโถวแห่งนี้พลันทำท่านึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “หากท่านจูไม่เชื่อ ข้าสามารถไปเรียกคนคนหนึ่งที่โรงเตี๊ยมจุดพักม้ามาได้ คนผู้นี้มาจากถนนฝูลวี่ของอำเภอหลงเฉวียน บอกว่าเขาคือนักการเฒ่าของจวนผู้ตรวจการ จดหมายจากทางบ้านฉบับหนึ่งในนั้นมาจากเมืองหลวงต้าหลี ซึ่งเขาช่วยนำมาส่งให้เจ้านายที่จวนตรวจการด้วยตัวเอง บอกว่าต้องการมอบให้กับคุณชายคนหนึ่งที่ชื่อหลินโส่วอี”
หลินโส่วอีเดินไปข้างหน้าหลายก้าว ใบหน้าเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งในการเป็นลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์ เอ่ยถามว่า “ข้าก็คือหลินโส่วอีแห่งอำเภอหลงเฉวียน ขอทราบขุนนางผู้ดูแลจุดพักม้าว่า คนผู้นั้นชื่ออะไร?”
สาวใช้จูลู่อึ้งงันไปเล็กน้อย หลินโส่วอีในเวลานี้แตกต่างจากหนุ่มน้อยจอมเย็นชาไม่ชอบพูดในความทรงจำผู้นั้นค่อนข้างมาก
หลี่เป่าผิงและหลี่ไหวประสานสายตากัน ต่างคนต่างพยักหน้าเบาๆ
เฉิงเซิงขุนนางผู้ดูแลจุดพักม้าตอบอย่างไม่ติดขัด “หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ น่าจะชื่อถังซู่โถว อายุสี่สิบกว่าปี พูดภาษาทางการของต้าหลีเราได้ไม่คล่องแคล่วเท่าไหร่ อื่ม คนผู้นี้ชอบดื่มเหล้ามากเป็นพิเศษ เหล้าที่ดื่มก็…”
หลินโส่วอีพยักหน้ารับ ถามต่อว่า “ช่วงเวลาหลายวันมานี้ขุนนางผู้ดูแลจุดพักม้ารอพวกเราอยู่ที่ประตูทิศเหนือนี่ตลอดเลยหรือ?”
ชายผู้นั้นตอบกลับยิ้มๆ “แม้ว่าจะอยากพยักหน้ารับ แต่หน้ากลับไม่ได้หนาขนาดนั้น อันที่จริงจุดพักม้าเจิ่นโถวอยู่ทางทิศเหนือของเมืองหงจู๋ ห่างจากที่นี่ไม่ไกลนัก อีกอย่างก็คือจุดสูงบนภูเขาใกล้กับเมืองเล็กสร้างป้อมส่งสัญญาณเอาไว้ ข้ากับหัวหน้าผู้คุมป้อมส่งสัญญาณแห่งนั้นมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวต่อกัน จึงขอให้เขาช่วยจับตามองทางเดินม้าลงจากเขาตรงทิศเหนือ ขอแค่เห็นเงาร่างของพวกคุณชายหลินและท่านจู ก็ให้เขาส่งลูกน้องที่เป็นคนส่งสัญญาเข้าเมืองมาบอกข้าสักคำ”
หลินโส่วอีกระจ่างแจ้ง ไม่พูดอะไรอีก แต่หันหน้าไปมองเฉินผิงอัน ฝ่ายหลังพยักหน้าให้
จูเหอเอ่ยขอบคุณด้วยรอยยิ้ม “ลำบากใต้เท้าเฉิงแล้ว”
ขุนนางผู้ดูแลจุดพักม้าโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน “ข้าไม่อาจรับคำเรียกขานว่าใต้เท้าได้หรอก ก็แค่คนตัวเล็กๆ ที่ล้อมหล้าล้อมหลังม้ากับลา วันๆ คอยปรนนิบัติผู้สูงศักดิ์เท่านั้น ยากที่จะอยู่ในสถานที่ที่มีเกียรติได้ อย่าเพิ่งคุยกันเลย เดี๋ยวข้าจะไปบอกพวกทหารเฝ้าประตูเอง เชื่อว่าอีกไม่นานพวกท่านก็จะได้เข้าไปในเมืองเล็กแล้ว”
ขุนนางผู้ดูแลจุดพักม้าอยู่ใต้บังคับบัญชาของราชสำนักต้าหลี เพียงแต่ว่าไม่อาจเรียกเป็นขุนนางของราชสำนักได้ ขุนนางชั้นผู้น้อยเช่นนี้ไม่ถือเป็นขุนนางที่มีระดับขั้น การแบ่งระดับชั้นที่ชัดเจนถือเป็นร่องลึกกว้างใหญ่ที่กั้นขวาง
เพียงไม่นานขุนนางผู้ดูแลจุดพักม้าผู้นี้ก็พาพวกเขาเดินไปทางประตูเมือง แม้ทหารเฝ้าประตูจะปล่อยให้ผ่านไปได้ แต่สีหน้าของพวกเขากลับยังคงดูไม่ดีนัก
ขุนนางผู้ดูแลจุดพักม้าเดินผ่านช่องประตูที่ร่มเย็นเป็นพิเศษนั่นก่อน พอหันหน้ากลับมาก็อธิบายกับจูเหอเสียงเบาว่า “ล้วนเป็นทหารเก่าที่ปลดประจำการจากสมรภูมิรบทางชายแดน ความสามารถไม่มาก แต่นิสัยกลับดุร้ายไม่น้อย บางครั้งแม้แต่ใต้เท้านายอำเภอของพวกเราก็ยังทำอะไรพวกเขาไม่ได้ ท่านจูอย่าได้คิดเล็กคิดน้อยกับพวกเขาเลย”
ต่อให้จูเหอจะไม่มีประสบการณ์ในยุทธภพมากแค่ไหน แต่ก็ยังเข้าใจหลักการที่ว่าไม่พูดความในใจกับคนไม่สนิท จึงไม่ได้เอ่ยตอบอะไรไป
พวกเขาเดินผ่านร้านหนึ่งที่แผ่ปราณเย็นเยียบอึมครึม มีชายฉกรรจ์แข็งแรงเดินเข้าออกอยู่เป็นระยะ และในร้านยังมีแสงสีขาวสว่างวาบเป็นพักๆ
หลี่ไหวมองจ้องไม่ยอมขยับเท้าเดินต่อ จูเหออดไม่ไหวเหลือบมองอยู่สองที แต่ไม่นานก็หมดความสนใจ
ขุนนางผู้ดูแลจุดพักม้ากล่าวว่า “นั่นคือร้านดาบและกระบี่ร้านหนึ่ง อาวุธชนิดอื่นก็มีขายอยู่บ้าง”
หลินโส่วอีถามอย่างใคร่รู้ “ทางการไม่ควบคุมหรือ? ไม่กลัวว่าชาวบ้านร้านตลาดจะยกอาวุธขึ้นต่อสู้กันหรือไง?”
ขุนนางผู้ดูแลจุดพักม้ากล่าวยิ้มๆ “ทางการไม่สนใจเรื่องพวกนี้หรอก แต่ขอแค่เกิดเรื่องก็จะเข้ามาควบคุมอย่างเข้มงวดมาก หากคนของที่ว่าการอำเภอไม่พอ ใต้เท้านายอำเภอก็สามารถระดมกองกำลังในยุทธภพทั้งหมดที่อยู่ในเขตการปกครองให้มาช่วยแก้ไขปัญหา”
ต้าหลีมีชื่อเสียงด้านการต่อสู้ มีจอมยุทธ์พเนจรที่พกดาบพกกระบี่เดินทางไปทั่วทิศมากมาย มีทั้งพวกอันธพาลในหมู่ชาวบ้านที่จองหองแต่ไร้ฝีมือ แล้วก็มีทั้งพวกลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์ที่ชอบช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอกว่าเพื่อผดุงคุณธรรม แม้ว่าราชสำนักต้าหลีจะสั่งห้ามค้าขายอาวุธทุกชนิด แต่สำหรับดาบและกระบี่ที่ฝีมือการหลอมธรรมดาเหล่านี้ ส่วนใหญ่มักจะหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง หลักๆ แล้วคือต้องดูท่าทีของขุนนางท้องถิ่น หากมีชาติกำเนิดเป็นพวกเมล็ดพันธ์บัณฑิตอย่างแท้จริง ส่วนมากจะออกคำสั่งห้ามปรามอย่างเข้มงวด แต่หากเป็นพวกนักสู้ที่ใช้ชีวิตอยู่บนสนามรบ แปดเก้าในสิบส่วนมักจะยอมละเว้นให้ แน่นอนว่าหากเป็นอาวุธสำคัญระดับประเทศอย่างธนู หน้าไม้ เสื้อเกราะ หมวกเหล็ก ฯลฯ ก็ย่อมไม่มีสถานที่ใดที่อนุญาตให้ขายได้
หอส่งสัญญาณ จุดพักม้า ตลาดนัด หอสุรา หอโคมเขียว ฯลฯ เมืองหงจู๋มีครบหมดทุกอย่าง ครึกครื้นไม่ธรรมดา คนเดินสัญจรบนถนนใหญ่สวนกันขวักไขว่ เอะอะรุ่งเรืองมากกว่าเมืองเล็กบ้านเกิดของพวกเฉินผิงอันมากนัก สองข้างถนนมีร้านหลากหลายรูปแบบ มองจนหูตาพร่าลาย เสียงตะโกนเสียงร้องเร่ดังขึ้นลงเป็นทอดๆ