กระบี่จงมา Sword of Coming – บทที่ 123.2

บทที่ 123.2

แม่นางน้อยหน้ากลมคล้ายคลุ้มคลั่ง ใช้มีดเล็กกรีดลงบนฝ่ามือและแขนตัวเอง ก่อนจะลูบใบหน้าเปะปะ จากนั้นก็พุ่งเข้าแลกชีวิตกับผีสาว

 

แต่เด็กหญิงลืมไปว่าเวลานี้ฝนกำลังตกหนัก อีกทั้งนางยังไม่มีวิธีการของตระกูลเซียนที่จะกักเก็บปราณวิญญาณของยันต์ได้อย่างผู้เฒ่าตาบอด รอจนนางพุ่งไปถึงด้านหน้าของผีสาวสวมชุดแต่งงาน ใบหน้าของนางก็สะอาดเอี่ยมแล้ว มีเพียงเม็ดฝนที่กลิ้งหลุนๆ ต่อเนื่อง เลือดสดถูกน้ำฝนล้างจนสะอาดสะอ้านไปนานแล้ว

 

ผีสาวยกมือขึ้นตบลงบนซีกแก้มของแม่นางน้อยอย่างไม่ใส่ใจ เรือนกายเล็กบางผอมแห้งก็ปลิวคว้างขึ้นกลางอากาศ กระเด็นไปไกล แล้วก็หายวับไปอย่างรวดเร็วไม่ต่างจากเด็กหนุ่มขาเป๋

 

หลังจากนั้นทุกก้าวที่ผีสาวชุดแดงเดินออกมาก็มีสายฟ้าสีขาวขนาดใหญ่เท่าถังน้ำผ่าลงมาบนร่มกระดาษน้ำมัน ครั้นแล้วสายฟ้าก็สาดกระเซ็นเป็นสะเก็ดแตกออกสี่ทิศ

 

หากเวลานี้มีคนมองมายังภูเขาลูกนี้จากที่ไกลๆ ก็จะเห็นว่ามีสายฟ้าเหมือนงูขาวหลายเส้นร่วงลงมาจากกลางอากาศที่ไม่สูงนักครั้งแล้วครั้งเล่า จากนั้นประกายแสงสว่างจ้าก็เปล่งวาบๆ ขึ้นท่ามกลางเทือกเขา

 

……

 

เม็ดฝนโปรยปรายที่แค่สวมงอบก็สามารถต้านทานไว้ได้กลับกลายมาเป็นฝนห่าใหญ่อย่างไม่มีลางบอกเหตุ ยากที่จะเดินทางต่อได้อีก

 

เมื่อเฉินผิงอันเสนอว่าควรหาที่หลบฝน หลินโส่วอียื่นมือข้างหนึ่งไปประคองงอบเพื่อไม่ให้ถูกฝนเม็ดใหญ่กระแทกจนเอียงกะเท่เร่ เอ่ยเสียงหนักว่า “ผิดปกติ”

 

หลี่ไหวกระตุกชายแขนเสื้อของหลี่เป่าผิง ตะโกนเสียงดัง “ข้ารู้สึกกลัวเล็กน้อย”

 

หลี่เป่าผิงเอ่ยสั่งสอน “ผู้อาวุโสเทพหยินก็เป็นผีไม่ใช่หรือ? เจ้ายังจะต้องกลัวอะไรอีก?”

 

ดวงตาหลี่ไหวเป็นประกาย “จริงด้วย”

 

แล้วจึงหันกลับมาสั่งสอนลาขาวน้อยที่อยู่ด้านหลังหลินโส่วอี “ลาขาวน้อย เจ้าห้ามหลงกับพวกเราเด็ดขาดเลยนะ”

 

ลาน้อยพ่นลมออกจากจมูก

 

เทพหยินตนนั้นปรากฏตัวอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน เอ่ยเสียงแหบพร่า “ที่นี่มีผีสาวตนหนึ่งพิทักษ์แม่น้ำและภูเขารอบด้าน ตอนนี้นางกำลังประมือกับนักพรตเฒ่าผู้นั้น หากไม่ผิดไปจากที่คาด ผีสาวน่าจะเป็นฝ่ายชนะอย่างขาดลอย ที่มาของนางไม่แน่ชัด ตบะไม่ต่ำ หากเจอกันที่อื่นข้ายังพอจะจับตัวนางไว้ได้ แต่หากเป็นที่นี่เวลานี้กลับยากมาก”

 

เทพหยินกวาดตามองไปรอบด้านด้วยความระมัดระวัง เอ่ยอธิบายว่า “บนทำเนียบของภูเขาและมหาสมุทร ขอแค่เป็นเทพแม่น้ำและเทพภูเขาที่มีชื่อแซ่ล้วนต้องมีพื้นที่บนภูเขาเป็นของตัวเอง หรือไม่ก็มีเขตการปกครองของตน เมื่อฆ่าคนในถิ่นของตัวเองจะได้เปรียบเพราะฟ้าลิขิตดินอำนวย นอกจากนี้หากเป็นแม่น้ำและภูเขาที่ทางราชสำนักยังไม่แต่งตั้งองค์เทพ ต่อให้เป็นภูตผีปีศาจหรือสัตว์ประหลาดใดๆ ที่มีพลังอำนาจโดดเด่น หากคิดจะมีสำนักศึกษาอย่างลัทธิขงจื๊อ พื้นที่มงคลอาณาจักรธรรมอย่างสำนักลัทธิเต๋า ซากปรักสมรภูมิโบราณอย่างนักพรตสำนัการทหารกลับยากยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์ นี่ไม่ใช่แค่ว่ามีตบะอันลึกล้ำก็จะครอบครองได้ ยังจำเป็นต้องมีโชควาสนาที่ยิ่งใหญ่อีกด้วย ทว่ากฎเกณฑ์แห่งสวรรค์ไม่เคยชื่นชอบวัตถุธาตุหยินที่ชั่วร้ายอย่างพวกข้า คิดจะยึดครองพื้นที่หนึ่งอย่างเปิดเผยก็ไม่ต่างอะไรไปจากการใช้กำลังยึดพื้นที่ทำให้ประเทศแตกแยกของราชวงศ์ในโลกมนุษย์ มีหรือจะง่ายดายขนาดนั้น?”

 

หลี่ไหวพึมพำกับตัวเองอย่างขลาดกลัว “ผู้อาวุโสเทพหยินท่านนี้ ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ต้องเป็นบัณฑิตเหมือนกันแน่ๆ”

 

คำพูดของเทพหยินลึกล้ำ ชี้ไปยังเส้นทางภูเขาใต้ฝ่าเท้าที่ทุกคนยืนอยู่ “มีข่าวหนึ่งที่ไม่ดีมากๆ นั่นก็คือผีสาวที่เป็นผู้นำของสถานที่แห่งนี้มีฐานะไม่เป็นรองเทพภูเขาเลย ไม่แน่ว่าขณะเดียวกันอาจจะยังควบตำแหน่งแม่ย่าลำคลองด้วย ถึงได้แสดงความแปลกประหลาดออกมาตลอดเวลา อีกเรื่องหนึ่งก็คือพื้นที่ใต้ฝ่าเท้าของพวกเจ้าที่ถูกผีสาวร่ายเวทตั้งแต่แรกเริ่ม ทำให้พวกเจ้าเดินอยู่บน ‘เส้นทางน้ำพุเหลือง’ ที่นางแอบร่ายไว้ ข้ามีร่างเป็นธาตุหยิน สามารถเข้าออกได้อย่างเสรี ทว่าหากคิดจะฝืนพาพวกเจ้าออกไปจากเส้นทางสายนี้ ไม่แน่ว่าอาจทำให้เรือนกายและจิตวิญญาณของเจ้าบาดเจ็บสาหัส”

 

หลินโส่วอีเอ่ยเรียบๆ “ผู้อาวุโสเทพหยิน ในเมื่อท่านเอาชนะนางไม่ได้ อีกทั้งพวกเราก็หนีออกไปไม่ได้เหมือนกัน จะทำอย่างไรกันดีล่ะ?”

 

เทพหยินกล่าวเสียงทุ้มหนัก “รอให้นางเผยกายค่อยว่ากัน วางใจเถอะ ข้าจะไม่มีทางปล่อยให้พวกเจ้าได้รับบาดเจ็บเด็ดขาด”

 

เขารู้สึกละอายใจเล็กน้อย เสียใจที่ก่อนหน้านี้ตนฝืนเดินทวนกระแสท่ามกลางปราณแห่งความเที่ยงธรรม แม้ว่าหลังจบเรื่องจะส่งผลดีต่อตบะของตัวเขาเอง ซ้ำยังถึงขั้นพูดได้ว่าผลประโยชน์ที่ได้รับนั้นมากจนเกินประเมิน แต่ปัญหาก็อยู่ตรงนี้ ความสามารถของเขาลดลงจนเหลือแค่เจ็ดแปดส่วนเท่านั้น แถมยังต้องหลุมพรางของผีสาว ซึ่งมีความเป็นไปได้มากว่าเป้าหมายแรกของผีสาวก็คือพวกเฉินผิงอัน ไม่ใช่อาจารย์และศิษย์สามคนนั้น

 

โคมกระดาษขาวที่ยาวเป็นระยะทางหลายลี้ เดิมทีก็คือเวทอำพรางตาที่ล่อให้เขาไปสืบให้รู้แน่ชัด

 

จิตใจของเทพหยินซับซ้อน ตบะของนักพรตเฒ่าคนนั้นไม่สูง ทว่าปากที่พูดจาเหลวไหลส่งเดชกลับร้ายกาจจริงๆ

 

เทพหยินกล่าว “พวกเจ้าทุกคนไปยืนอยู่ด้านหลังข้า”

 

เพียงไม่นานเทพหยินตนนี้ก็มายืนอยู่เบื้องหน้าสุดของทางสายเล็ก

 

เฉินผิงอันกับหลินโส่วอีอยู่เยื้องไปทางด้านหลัง คนหนึ่งยืนฝั่งซ้าย อีกคนยืนฝั่งขวา

 

เฉินผิงอันเปลี่ยนจากมีดผ่าฟืนเป็นยันต์มงคลเล่มนั้นแล้ว หลินโส่วอีปล่อยมือสองข้างลง ในชายแขนเสื้อแต่ละฝั่งมียันต์อยู่หนึ่งแผ่น

 

หลี่เป่าผิงและหลี่ไหวยืนอยู่ด้านหลังพวกเขาอีกที

 

ลาขาวที่อยู่ด้านหลังสุดปิดท้ายขบวนค่อนข้างจะหงุดหงิดงุ่นง่าน กระทืบเท้าลงบนพื้นหนักๆ จนโคลนสาดกระเซ็น

 

ผีสาวสวมชุดแต่งงานที่มือหนึ่งถือร่มกระดาษน้ำมันเดินเนิบช้ามาแต่ไกล อีกมือหนึ่งลากขาข้างหนึ่งของผู้เฒ่าตาบอดมาด้วย ขณะที่อยู่ห่างจากพวกเฉินผิงอันอีกหลายจั้ง ในที่สุดก็หยุดเท้า บนเส้นทางภูเขามีโคมไฟหลายดวงถูกจุดสว่างไสว แม้แต่ด้านหลังเฉินผิงอันก็ไม่เว้น แสงสีแดงหลายกลุ่มหลายดวงสาดสะท้อนให้ใบหน้าของทุกคนเป็นสีแดงปลั่ง

 

ผีสาวโยนนักพรตเฒ่าที่ไม่รู้ว่าเป็นหรือตายคั่นกลางไว้ระหว่างสองฝ่าย ทำสีหน้า “ประหลาดใจระคนยินดี” ราวกับไม่แปลกใจแม้แต่น้อย ซ้ำยังยื่นนิ้วออกมาชี้นับ “แขกผู้มีเกียรติเยอะขนาดนี้เชียว หนึ่ง สอง สาม มีนักเรียนสามคน เป็นลูกศิษย์ของปัญญาชนแห่งลัทธิขงจื๊อคนใดเล่า? หลางจวินของข้าเองก็เคยตั้งปณิธาน ชาตินี้ต้องได้เป็นปัญญาชนเป็นนักปราชญ์ เพื่อบ้านเมืองและปวงประชา คิดไม่ถึงว่าอายุน้อยเพียงเท่านี้พวกเจ้าทำความปรารถนาของหลางจวินข้าให้เป็นจริงได้แล้ว”

 

เฉินผิงอันคิดจะเดินออกไปด้านหน้าหนึ่งก้าว แต่เทพหยินกลับส่ายหน้า เอ่ยเบาๆ “ไม่ต้องรีบร้อน”

 

ผีสาวเอียงศีรษะมองซ้ายมองขวา ประเมินเด็กน้อยสามคนที่สะพายหีบหนังสือใบเล็ก “หลางจวินเคยพูดบ่อยๆ ว่าบัณฑิตที่มีพฤติกรรมเหมาะสมดีงามจึงจะเรียกว่าเป็นเมล็ดพันธ์บัณฑิต ดังนั้นทุกครั้งที่ข้านึกถึงหลางจวินที่เดินทางไกลไม่เคยหวนกลับของข้าก็มักจะเชิญเหล่าบัณฑิตที่ผ่านทางไปเป็นแขกที่บ้าน มอบสาวใช้งดงามอายุน้อย ตำราเก่าแก่หายาก พิณโบราณนับพันปีให้พวกเขา ข้าชอบฟังพวกเขาเอ่ยถ้อยคำซาบซึ้งสะเทือนใจ บนโลกนี้ก็มีเพียงบัณฑิตที่กินอิ่มมีเวลาเขียนบทกลอนเท่านั้นถึงจะพูดถ้อยคำเหล่านั้นได้อย่างวกวนอ่อนหวาน”

 

สุดท้ายสายตาของผีสาวสวมชุดเจ้าสาวก็ไปรวมอยู่ที่ร่างของเทพหยิน ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ผู้อาวุโสเทพหยินผู้นี้ช่างดวงไม่ดีเอาเสียเลย หากเป็นหลายปีหลังจากนี่ เชี่ยเซินคงไม่กล้าเผยตัวแน่”

 

นางพูดอยู่กับตัวเอง ก้มหน้าลงเล็กน้อย ก่อนจะปิดปาหัวเราะคิกคัก ดวงตามีประกายบางอย่างเปล่งวาบผ่านไป “เป็นสตรีออกเรือนแล้ว เปิดเผยหน้าตา ไม่ดีเลยจริงๆ”

 

ทว่าต่อให้อยู่ภายใต้แสงโคมที่สาดส่อง ดวงหน้าของนางก็ยังคงซีดขาวไร้สีเลือด ดูแล้วชวนขนพองสยองเกล้า

 

หลี่ไหวแค่ยื่นหน้าออกมามองแวบเดียวก็ตกใจจนสองขาสั่นพั่บๆ

 

นางถามยิ้มๆ “ข้าไม่ได้พูดคุยกับคนมานานมาแล้ว จึงยากที่จะควบคุมตัวเองได้ พวกเจ้าคงไม่ถือสากระมัง?”

 

นางนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงหุบร่มกระดาษน้ำมันเบาๆ

 

แทบจะเวลาเดียวกันนั้น ฝนห่าใหญ่ก็พลันหยุดตก ไม่มีเม็ดฝนเหลือค้างอยู่กลางอากาศแม้แต่เม็ดเดียว

 

หลินโส่วอีถามยิ้มๆ “ขอถามฮูหยินท่านนี้ บัณฑิตที่ถูกเชิญไปเป็นแขกของท่าน สุดท้ายมีจุดจบเช่นไร?”

 

นางเดินไปด้านหน้าต่ออีกครั้ง รอยยิ้มหายไปไม่มีเหลือ “พวกเขาน่ะหรือ สุดท้ายข้าก็ตัดเอวพวกบัณฑิตที่ชอบผิดคำสาบานเหล่านั้น หลังจากช่วยห้ามเลือดให้กับพวกเขา ก็พาพวกเขาไปปลูกไว้ในสวนดอกไม้ของจวนข้า”

 

“เพราะข้าอยากรู้ว่า เมล็ดพันธ์บัณฑิตตามที่หลางจวินเรียจะผลิดอกออกมาจากในดินได้หรือไม่ จะมีวันใดที่ออกผลให้เก็บเกี่ยวหรือไม่”

 

“แต่ข้าผิดหวังอย่างมาก พวกเขาแค่กลายมาเป็นซากโครงกระดูกเท่านั้น แต่อาจจะเป็นเพราะบัณฑิตพวกนั้นยังไม่ถือว่าเป็นเมล็ดพันธ์บัณฑิตที่แท้จริงกระมัง ดังนั้นการปรากฏตัวของพวกเจ้าจึงทำให้ข้าดีใจอย่างยิ่ง”

 

หลินโส่วอีหน้าเขียว

 

หลี่เป่าผิงโกรธจนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง

 

หลี่ไหวรีบยกมือสองข้างปิดหู “ข้าไม่ฟัง ข้าไม่ฟัง…”

 

“เมื่อก่อนข้าชอบบัณฑิตที่สุดเลย แต่ข้าก็เกลียดผู้ชายจิตใจโลเลที่สุด!”

 

ผีสาวชุดแต่งงานเงยหน้าขึ้นช้าๆ กรอบตามีน้ำตาเลือดหลั่งออกมา

 

ลุ่มหลงในรักเป็นหนึ่งในใต้หล้า แต่ถึงเวลากลับถูกทรยศ

 

โคมกระดาษขาวที่ลอยอยู่กลางอากาศสองฟากเส้นทางภูเขาล้วนมีเลือดสดหยดลงมาจากด้านบน สุดท้ายเปลวเทียนที่อยู่ด้านในก็มอดดับ

 

“สุดท้ายแล้วข้าก็ได้รู้ว่าใต้หล้านี้ไม่มีบัณฑิตคนใดที่ไม่ใช่คนทรยศโลเล”

 

เลือดสดไหลอาบเต็มหน้าผีสาว โยนร่มกระดาษน้ำมันที่เป็นของแทนใจระหว่างนางและสามีในอดีต ยกมือสองข้างปิดหน้า เสียงสะอึกสะอื้นที่พยายามสะกดกลั้นอย่างยากลำบากดังลอดร่องนิ้วมือ

 

“หลางจวิน เชี่ยเซินไม่โทษท่านแล้ว ท่านกลับมาเถอะ”

กระบี่จงมา Sword of Coming

กระบี่จงมา Sword of Coming

Status: Ongoing
” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “
เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา
เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม
และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง
ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท