เห็นเพียงว่าเด็กหนุ่มยากจนที่มาจากตรอกหนีผิงสีหน้าสดใสมีชีวิตชีวา กำหมัดสองข้างวางไว้บนหัวเข่า เอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “อีกอย่างการออกหมัดในครั้งต่อไปของข้าต้องเร็วยิ่งกว่าเก่า! ไม่ว่าใครที่ยืนอยู่ตรงหน้าข้า ข้าเฉินผิงอันก็ล้วนสามารถออกหมัดนี้ ไม่ว่าจะกับใครก็ตาม!”
หลินโส่วอีทำสีหน้าเหม่อลอย พึมพำกับตัวเองเบาๆ “คงไม่ถือว่าฝึกวรยุทธ์จนธาตุไฟเข้าแทรกหรอกกระมัง ดูมีพลังน่าเลื่อมใสอย่างมาก คล้ายกับเวลาที่ท่านอาจารย์…สอนถึงจุดที่มหัศจรรย์ที่สุดของมหามรรคาแห่งนักปราชญ์และอริยะ”
หลี่เป่าผิงยังคงขบคิดปัญหาก่อนหน้านี้ไม่หยุด
แต่เฉินผิงอันกลับหยิบมีดผ่าฟืนขึ้นมาอีกครั้งและทำหีบหนังสือใบเล็กให้หลินโส่วอีต่อแล้ว
สีหน้าหลี่ไหวเลื่อนลอยเล็กน้อย เนิ่นนานก็ยังไม่คืนสติ
เฉินผิงอันในนาทีก่อนหน้านี้ทำให้เด็กชายรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก
หลี่ไหวไพล่นึกไปถึงเรื่องครั้งหนึ่งในอดีตขึ้นมา ดูเหมือนว่าแม่ของเขาที่มีความสามารถในการทะเลาะเบาะแว้งไร้ผู้ใดทัดเทียมจะถูกคนตบกลับมาจนหน้าลายพร้อย นางแผดเสียงด่าดิ้นเร่าๆ อยู่ในบ้าน พ่อของเขาที่ถูกชาวบ้านด่าว่าเป็นเศษสวะขี้ขลาดตาขาวเอาแต่นั่งยองเงียบเป็นเป่าสากอยู่ตรงธรณีประตู เขากับหลี่หลิ่วพี่สาวของเขาร้องไห้ตามแม่ไปด้วย สุดท้ายแม่ของเขาบอกว่าตัวเองตาบอดถึงได้เรื่องผู้ชายที่ไม่เอาไหนแบบนี้มาทำสามี เมียตัวเองถูกคนตบมาก็ยังไม่ทำแม้แต่ผายลม พ่อของหลี่ไหวก็ยังไม่เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว ทำเอาหลี่ไหวที่สนิทกับแม่มากกว่ามาตั้งแต่เล็กโมโหจนวิ่งไปเตะด้านหลังไอ้หมอนั่นแรงๆ สองที บอกว่าวันหน้าจะไม่นับเขาเป็นพ่ออีกแล้ว ตอนหลังแม่เขาร้องไห้เหนื่อยแล้ว หายโกรธแล้วจึงพาบุตรชายบุตรสาวไปเข้านอน ดึงหูผู้ชายตัวเองออกไปข้างนอก บอกว่าลงโทษให้คืนนี้เขานอนอยู่ในลาบ้าน ทว่าเพิ่งจะเปิดประตูดับไฟ นางก็ให้หลี่ไหวออกไปเปิดประตูเรียกพ่อเขากลับมานอนในห้อง หลี่ไหวไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่ก็ทนเสียงรบเร้าของแม่ไม่ได้ จึงต้องเปิดประตูออกไป เห็นพ่อของเขายังคงนั่งยองอยู่ในลานบ้านเหมือนเดิมก็ทำเอาหลี่ไหวโกรธนเกือบจะสะบัดหน้าเดินหนี
ทว่านาทีนั้นชายร่างเล็กเตี้ยแต่แข็งแรงกับลุกขึ้นยืนช้าๆ “ลูกชาย คืนนี้พ่อจะออกจากเขาไปสักรอบ บอกแม่เจ้าด้วยว่าพ่อไปแปบเดียวก็กลับมา”
ไม่พูดประโยคนี้ยังดี ต่อให้หลี่ไหวจะเหม็นขี้หน้าเขาแค่ไหนก็ยังหวังให้พ่อกลับเข้าไปนอนในห้องดีๆ แต่หลบหน้าแม่และพวกเขาพี่น้องแบบนี้ยังถือว่าเป็นผู้ชายได้อีกหรือ? พอได้ยินคำพูดไร้ความรับผิดชอบที่เจ้าผีขี้ขลาดตนนี้เพิ่งกล่าวออกมา หลี่ไหวก็โกรธจนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ร้องไห้เสียงดังลั่น “ลูกชายอะไรกัน ข้าคือพ่อของเจ้าหลี่เอ้อร์!”
บุรุษไม่โกรธแม้แต่นิดเดียว กลับยังก่นด่ากลั้วเสียงหัวเราะ “เจ้าเด็กตัวเหม็น ไม่เสียแรงที่เป็นลูกของข้าหลี่เอ้อร์!”
นาทีนั้นหลี่ไหวอึ้งค้างไปเล็กน้อย บิดาในความทรงจำของเขาไม่เคยพูดแบบนี้กับใคร ดูเหมือนว่าเขาจะยอมก้มหัวให้คนอื่นตลอดกาล ยกเว้นเวลานอนที่กรนเสียงดังสนั่นดุจฟ้าผ่าแล้วก็คือน้ำเต้าตัน (เปรียบถึงคนที่เงียบขรึม ไม่ช่างพูด) ที่ไม่เอาถ่าน ต่อให้อยู่กับเขาและหลี่หลิ่วพี่สาวของเขาก็ไม่เคยวางท่าผู้นำของบ้านให้เห็น คือคนขี้ขลาดตาขาวที่กลัวฟ้า กลัวดิน กลัวผี กลัวคน ไม่ว่าอะไรก็กลัวไปหมดอย่างแท้จริง
ทว่าคืนนั้นตอนที่บุรุษเดินออกไป เขาก้าวใหญ่ ก้าวอย่างรวดเร็วดุจลมพัดดุจฟ้าแลบ ท่วงท่าคล้ายนายท่านผู้ร่ำรวยสูงศักดิ์บนถนนฝูลวี่หรือไม่ก็ในตรอกเถาเย่
ตอนนั้นหลี่ไหวไม่ได้คิดอะไรมาก เพียงแต่รู้สึกดีใจว่าบางทีพ่ออาจจะไปช่วยแม่ด่าคนกลางดึก
แต่วันที่สองหลี่ไหวกลับต้องผิดหวังอย่างมาก ครอบครัวที่ตบหน้าแม่เขาจนลายพร้อยเห็นพวกเขาสามคนแม่ลูกก็ยังคงเย่อหยิ่งจองหองดังเดิม หลังจากนั้นพ่อของเขาก็ไม่ปรากฏตัวอีกเป็นเวลานาน น่าจะขึ้นเขาไปเผาฟืนเพื่อหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว คำว่า “ออกจากเขา” หลี่ไหวคิดว่าพ่อเขาน่าจะพูดผิดเสียมากกว่า
แต่ตอนที่กลับมาอีกครั้ง บุรุษคล้ายจะฉลาดเฉลียวมากขึ้น เขาหิ้วไก่ตุ๋นตัวอ้วนกลับมาบ้าน ไม่เพียงแต่ซื้อชาดประทินโฉมมาให้แม่ของเขาหนึ่งตลับ ยังเอาของขวัญมาให้เขากับหลี่หลิ่วพี่สาวของเขาด้วย แม่ของเขามือหนึ่งเท้าเอว มือหนึ่งชี้หน้าพ่อเขาบอกว่าไอ้ที่ไม่ดีก็ส่วนไม่ดี แต่ถือว่าเจ้าหลี่เอ้อร์ยังมีน้ำใจอยู่บ้าง หลังจากนั้นมาหลี่เอ้อร์ที่พ่อแม่ของเขาตั้งชื่ออย่างสุกเอาเผากินยิ่งกว่าใครก็กลับมานิสัยย่ำแย่อย่าง “เจ้ามาด่าข้าเหรอ ข้าด่าคืนหนึ่งคำถือว่าเจ้าเก่งแล้ว เจ้ามาตีข้าเหรอ ตีข้าจนตายก็ถือว่าเจ้ามีความสามารถเช่นกัน” เหมือนเดิม
แต่ไม่รู้ว่าทำไม เมื่อหลี่ไหวค่อยๆ เติบโตขึ้น ภาพเหตุการณ์ตอนอยู่ในลานบ้านคืนนั้น ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้มก่อนที่พ่อของเขาบอกว่าจะ “ออกจากภูเขา” น้ำเสียงที่ใช้พูดหรือท่วงท่าการเดิน ไม่เพียงแต่ไม่พร่าเลือนไปตามกาลเวลา กลับยิ่งแจ่มชัดมากขึ้นทุกที
หลี่ไหวพลันกล่าวว่า “เฉินผิงอัน วันหน้าเมื่อพวกเรากลับไปที่เมืองเล็ก ข้าจะเชิญเจ้าไปเป็นแขกที่บ้านข้า”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างสงสัย “พ่อแม่และพี่สาวของเจ้าต่างก็ออกไปจากเมืองเล็กแล้วไม่ใช่หรือ? ก่อนหน้านี้เจ้าเคยบอกว่าพวกเขาจะไม่กลับมาอีกแล้ว”
หลี่ไหวที่เพิ่งนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้พลันตาแดงก่ำ ริมฝีปากสั่นระริกเตรียมจะเบะปากร้องไห้
เฉินผิงอันจึงได้แต่ปลอบใจ “ไม่ร้องๆ เจ้าเองก็บอกแล้วไม่ใช่หรือว่า พ่อเจ้ารับปากไว้ว่าขอแค่เจ้ากลายเป็นบัณฑิตอย่างแท้จริง เขาจะไปเยี่ยมเจ้าน่ะ”
หลี่ไหวพูดน้อยใจ “แต่ข้าทั้งชอบเล่นสนุก ทั้งทนความลำบากไม่ได้ พออ่านหนังสือเมื่อไหร่ก็ชอบง่วงนอนอยากแต่จะแอบอู้ แย่กว่าหลี่เป่าผิงกับหลินโส่วอีมากนัก ข้ากลัวว่าถ้าเป็นบัณฑิตไม่ได้ พ่อแม่ข้าจะไม่ต้องการข้าอีกแล้ว”
หากพูดถึงอายุของหลินโส่วอีและหลี่เป่าผิงก็พอจะนับว่าเป็นเด็กหนุ่มเด็กสาวได้แล้ว อีกทั้งยังเกิดมาในตระกูลใหญ่มีเงินทอง ทว่าหลี่ไหวกลับเป็นแค่เด็กชายคนหนึ่ง เกิดมายากจนเหมือนกับเฉินผิงอัน จะขี้ขลาดไปสักหน่อยก็เป็นเรื่องที่ปกติมาก ดังนั้นตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้เฉินผิงอันจึงถือว่าเป็นคนที่มีน้ำอดน้ำทนกับหลี่ไหวมากที่สุด ต่อให้เมื่อครั้งที่อยู่บนภูเขาฉีตุนแล้วหลี่ไหวกระทืบเท้าเหยียบย่ำโคลนด้วยความงอแง เฉินผิงอันที่โดนโคลนกระเด็นมาโดนเปรอะเปื้อนก็ยังไม่รู้สึกหงุดหงิดหรือรำคาญเขาแม้แต่นิดเดียว
เฉินผิงอันกล่าวยิ้มๆ “อย่าพูดเหลวไหล หากพ่อแม่ของเจ้าไม่รักเจ้า ยังจะต้องส่งเจ้าไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนหรือ? ไม่สู้ให้เจ้าช่วยทำไร่ทำนา ช่วยเขาวัวไปปล่อยไม่ยิ่งดีกว่าหรือไง?”
อารมณ์ของหลี่ไหวดีขึ้นเล็กน้อย เอามือเช็ดหน้าแล้วพูดหน้าม่อย “แต่บ้านข้าจน ซื้อวัวไม่ได้นี่นา”
เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ “ตอนนี้เจ้ายังจนอีกหรือ? ไม่พูดถึงความประหลาดในตำรา ‘หน้าผาใหญ่น้ำหยุด’ เล่มนั้น ตัวตำรานั้นเองก็มีมูลค่าถึงสิบตำลึงเงินเชียวนะ”
รอยยิ้มของหลี่ไหวเริ่มผลิบาน หันหน้าไปมองลาขาวก็ยิ่งยิ้มกว้างกว่าเดิม “ข้ายังมีลาอีกตัวหนึ่งด้วย!”
สีหน้าของหลินโส่วอีพลันเครียดขรึม กดเสียงต่ำพูดกับเฉินผิงอัน “เทพหยินที่อยู่ใต้น้ำบอกกับข้าว่ามีคนมา ต้องการจะพบพวกเรา แต่คนผู้นั้นบอกว่ารู้จักกับอาเหลียง ยังบอกด้วยว่าที่อาเหลียงเข้าเมืองก่อนกำหนดก็เพราะอยากจะถามคำถามบางอย่างจากเขา เทพหยินจึงถามพวกเราว่าจะจัดการอย่างไร จะยอมให้พวกเขาขึ้นเรือหรือไม่? เทพหยินยังบอกด้วยว่าข้างกายคนผู้นั้นมีเทพแม่น้ำองค์หนึ่งติดตามมาด้วย หากไม่ผิดไปจากที่คาดก็น่าจะเป็นองค์เทพจากแม่น้ำซิ่วฮวาสายนี้ที่ได้เสวยสุขจากควันธูปที่ชาวบ้านกราบไหว้บูชา”
เฉินผิงอันรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย สุดท้ายเอ่ยเสียงหนัก “บอกให้ท่านผู้อาวุโสเทพหยินปกป้องอยู่ข้างกายพวกเราก็พอ อันที่จริงจะให้เขาขึ้นเรือมาหรือไม่ก็ไม่ต่างกันเท่าใดนัก หลังจากนี้พวกเจ้าเองก็ระวังตัวไว้หน่อย ยังคงทำตามกฎเดิมที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ ทุกอย่างให้ข้าเป็นคนรับมือก่อน หากไม่ได้จริงๆ หลินโส่วอีเจ้าค่อยใช้ยันต์กระดาษสีเหลืองพวกนั้น”
หลินโส่วอีพยักหน้ารับ “ตกลง”
จิตของหลินโส่วอีขยับเล็กน้อย แล้วพึมพำเสียงแผ่ว
ครู่หนึ่งต่อมาบนเรือลำใหญ่ที่ขับเคลื่อนอยู่บนผิวน้ำของแม่น้ำซิ่วฮวาก็สั่นสะเทือนเล็กน้อย หากไม่เป็นเพราะเฉินผิงอันสี่คนรู้เรื่องมาก่อนแล้ว คนทั่วไปก็ไม่มีทางสัมผัสได้ถึงความลี้ลับที่ซุกซ่อนอยู่นี้
แม้ว่าพวกเขาจะมองเทพหยินไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่ก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าบนเรือลำนี้มีไอเย็นอึมครึมเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน
จากนั้นเฉินผิงอันก็ค้นพบว่าห่างจากหัวเรือไปไม่ไกลมีผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่นั่งขัดสมาธิเพิ่มมาคนหนึ่ง กระบี่เล่มยาวพาดไว้ด้านหลังเอว ตรงหน้าอกโอบวัตถุลักษณยาวที่อยู่ในห่อผ้าแพรคล้ายดาบหรือไม่ก็กระบี่เล่มหนึ่ง
พอลุกขึ้นยืนเขาก็เดินมาหาเฉินผิงอัน หันไปคลี่ยิ้มบางๆ ให้กับเทพหยินที่อำพรางร่างไม่ให้ใครเห็น ไม่เดินไปข้างหน้าต่อ พูดเข้าประเด็นทันทีว่า “ข้าเอาหนังสือผ่านด่านมาให้พวกเจ้าสี่คน มีตราประทับของกรมครัวเรือนจากที่ว่าการอำเภอหลงเฉวียนต้าหลีประทับไว้เรียบร้อยแล้ว รวมไปถึงหนังสืออนุญาตให้พวกเจ้าออกจากเขตแดนท่องเที่ยวไปไกลในครั้งนี้ ส่วนเรื่องที่ว่าข้าเป็นใคร ไม่สำคัญ สรุปก็คือข้ารู้จักอาเหลียง ดังนั้นจึงไม่มีทางเป็นศัตรูของพวกเจ้าแน่นอน ส่วนเรื่องความขัดแย้งที่เกิดบนเรือก่อนหน้านี้ พวกเจ้าก็ไม่ต้องเป็นกังวล นายอำเภอหว่านผิงคนนั้นจะไม่มีทางถ่วงรั้งเส้นทางการศึกษาต่อของทุกท่านแน่นอน”
สุดท้ายผู้ฝึกกระบี่หนุ่มใช้สองมือประคองของที่อยู่ในมือส่งมาให้ มองไปทางแม่นางน้อยสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงที่สะพายหีบหนังสือใบเล็ก กล่าวยิ้มๆ “เจ้าก็แค่แม่นางเป่าผิงกระมัง? ดาบเล่มนี้อาเหลียงมอบให้กับต้าหลีของพวกเรา บอกให้พวกเราต้องคืนเจ้าในสภาพเดิม”
แม้ว่าหลี่เป่าผิงจะตื่นเต้น แต่ก็ไม่ยอมขยับเขยื้อน
เฉินผิงอันเดินขึ้นหน้าเพียงลำพัง รับดาบยันต์มงคลเล่มนั้นมาจากมือของผู้ฝึกกระบี่หนุ่มแล้วกล่าวว่า “รบกวนท่านผู้อาวุโสแล้ว”
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มยิ้มกว้าง “พวกเจ้าต่างก็เป็นสหายของอาเหลียง ข้าไม่กล้าเรียกตัวเองว่าผู้อาวุโสหรอก”
เฉินผิงอันถาม “อาเหลียงสบายดีไหม?”
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มพยักหน้ารับด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลง “วางใจเถอะ เขาสบายดีมา”
ดาบเล่มนี้อ๋องเจ้าแคว้นซ่งจ่างจิ้งสั่งให้คนสนิทนำออกมาจากเมืองหลวงด้วยตัวเอง สุดท้ายตกมาอยู่ที่มือของตน เมื่อคืนดาบให้เจ้าของแล้ว ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มก็รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก “ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปทักทายคนที่ชั้นสองสักหน่อย ทุกท่านโปรดเดินทางท่องเที่ยวให้สบายใจ เส้นทางหลังจากนี้ไปจนถึงชายแดนด่านเหย่ฟูขอแค่เกี่ยวพันกับราชสำนักและสถานที่ว่าราชการล้วนสามารถผ่านไปได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรค แต่นอกเหนือจากนี้แล้ว ต้าหลีของพวกเราจะไม่ก้าวก่ายเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น แน่นอนว่าหากมีปัญหาหรือเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นจริงๆ ขอแค่พวกเจ้าบอกกับทหารชายแดนหรือที่ว่าการท้องถิ่น ราชสำนักก็จะยินดีช่วยเหลืออย่างเต็มกำลัง”
เฉินผิงอันมองตรงไปที่ดวงตาของคนผู้นี้แล้วพยักหน้ารับ “พวกเราทราบแล้ว”
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มหยิบเอกสารผ่านด่านสี่ฉบับออกมามอบให้กับเด็กหนุ่มรองเท้าแตะ สุดท้ายกลืนคำพูดที่มารออยู่ตรงริมฝีปากกลับลงท้องไปอีกครั้ง เปลี่ยนมาเป็นกุมมือคารวะพูดจาตามมารยาท “ถ้าอย่างนั้นก็ลากันตรงนี้ ข้าคุยกับคนบนชั้นสองเสร็จก็จะกลับเลย”
เฉินผิงอันกุมมือคารวะกลับไปด้วยท่าทางขัดเขินเล็กน้อย
ห้องรับรองชั้นเยี่ยมห้องหนึ่งที่จัดวางเครื่องเคลือบงดงามประดับตกแต่ง ผู้เฒ่ากับผู้ฝึกกระบี่ชุดขาวต่างก็มีหน้าเคร่งเครียด นายอำเภอหว่านผิงที่กำลังจะรับตำแหน่งและภรรยากับบุตรชายเขาต่างก็ตัวสั่นงันงก ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ทุกคนล้วนยืนอยู่
มีเพียงแขกที่ไม่ได้รับเชิญท่านหนึ่งที่นั่งดื่มสุราอยู่กับตัวเองตรงนั้น ร่างกายของเขาสูงใหญ่กำยำ บนชายแขนเสื้อมีรูปงูดำนอนขดตัว ไม่ว่าจะหายใจเข้าหรือหายใจออกล้วนพ่นควันสีขาวลอยอบอวล ทั่วร่างของบุรุษเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา ดูแล้วต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน
หลังจากที่บุรุษเห็นผู้ฝึกกระบี่ที่ “อายุยังน้อย” ก็รีบลุกขึ้นยืนแล้วค้อมตัวคารวะ ไม่เอ่ยอะไรสักคำ แต่ท่าทีกลับเคารพนอบน้อมอย่างยิ่ง
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มโบกมือ ไม่แม้แต่จะปรายตามองผู้เฒ่าและผู้ฝึกกระบี่ที่มีชื่อเสียงในทางตอนใต้ของต้าหลี เพียงพูดกับนายอำเภอหว่านผิงคนนั้นว่า “เมื่อไปถึงเขตการปกครองของหว่านผิง จงทำหน้าที่ขุนนางบิดรมารดาของเจ้าให้ดี เรื่องในวันนี้อย่าได้ปากมาก ให้มันจบลงเพียงเท่านี้ ราชสำนักสามารถทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ถ้าหากมีความเคลื่อนไหวใดๆ แม้เพียงลมพัดใบไม้ปลิว ข้าอาจจะไม่มาหาเจ้าด้วยตัวเอง แต่ใต้เท้าเทพวารีแห่งแม่น้ำซิ่วฮวาผู้นี้สามารถเด็ดหัวเจ้าได้ง่ายๆ”
คนหนุ่มไม่อยากจะพูดอะไรให้มากความ กล่าวจบก็หันไปยิ้มให้เทพแม่น้ำซิ่วฮวาที่ไม่กล้านั่งผู้นั้น “เจ้าช่วยดูให้หน่อย ข้าจะกลับไปก่อน”
เทพแม่น้ำซิ่วฮวาเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “ถ้าอย่างนั้นข้าน้อยไม่ส่งใต้เท้าแล้ว”
หลังออกมาจากห้องรับรอง ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มก็เดินมาที่ระเบียงด้านนอก มองน้ำในแม่น้ำ นึกถึงคำพูดประโยคนั้นของเด็กหนุ่มรองเท้าแตะก็ให้รู้สึกสะท้อนใจ
และในการสุดร่างของเขาก็ขยับวูบหายไป
ที่ผู้ฝึกวรยุทธ์ต่ำกว่าผู้ฝึกลมปราณระดับหนึ่งก็เพราะว่า ในฐานะที่เป็นต้นทุนแห่งการตั้งตัว ไม่ว่าจะเป็นวิชาหมัดของการฝึกหมัดก็ดี เวทกระบี่ของการฝึกกระบี่ก็ช่าง อาวุธและเคล็ดวิชาหลากหลายของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวส่วนใหญ่ที่อยู่ด้านล่างภูเขาล้วนถูกเรียกรวมว่าเป็นวิชายุทธ์และศิลปะการต่อสู้ทั้งหมด ซึ่งในสายตาของผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาแล้วมันไม่เกี่ยวข้องกับคำว่า “มรรคา” เลยแม้แต่นิดเดียว
หากเรียนวรยุทธ์แล้วไม่สามารถเลื่อนสู่ระดับสูงของวิถีการต่อสู้ได้ สุดท้ายแล้วก็ยังเป็นแค่การดิ้นรนเถลือกไถลอยู่ในบ่อโคลนเละเทะเท่านั้น
เกรงว่าแม้แต่ตัวของเด็กหนุ่มผู้ยากจนเองก็คงไม่รู้ว่า ถ้อยคำที่มาจากใจประโยคนั้นของเขาเกี่ยวข้องกับว่าเขาสามารถตระหนักแจ้งถึงการออกหมัดได้มากแค่ไหน
นี่คือปัญหาที่เดิมทีอย่างน้อยต้องเป็นปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ขอบเขตหกขึ้นไปถึงจะใคร่ครวญ ถามไถ่ตัวเองอย่างลึกซึ้ง และก็ต้องหาคำตอบให้ได้ด้วยตัวเอง
……
บนภูเขาฉีตุนมีสตรีแต่งงานแล้วหน้าตาธรรมดาคนหนึ่งที่ได้รับคำสั่งอย่างลับๆ จากใต้เท้าของตนเองกำลังพาเด็กสาวหน้าตางดงามที่มีชาติกำเนิดเป็นตระกูลบนเรือเริ่มเดินเท้าปีนขึ้นเขา มุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ
นี่เป็นครั้งแรกที่เด็กสาวออกจากบ้านเดินทางไกล ดังนั้นตลอดทางนางจึงหันกลับไปมองด้านหลังอย่างต่อเนื่องด้วยความอาลัยอาวรณ์
สตรีแต่งงานแล้วก็ไม่พูดอะไรมาก ความรู้สึกปกติของมนุษย์ ไม่จำเป็นต้องตำหนิ
แล้วนับประสาอะไรกับที่สายตำหนักฉางชุนของนางค่อนข้างจะแปลกประหลาด ปลูกฝังขัดเกลาจิตใจและให้ความสำคัญกับเรื่องความรู้สึก ผู้ฝึกลมปราณทั่วไปมองว่าเป็นตัวถ่วง เป็นภาระ เป็นข้อต้องห้าม แต่กลับเป็นบันไดที่พาดไปสู่การพิสูจน์มหามรรคาของสายนาง ดังนั้นเพียงแค่จากบ้านมาเด็กสาวก็เกิดความคิดถึงบ้านแล้ว จึงกลับกลายเป็นว่าเป็นเรื่องดี
แต่ทำไมถึงต้องพาเด็กสาวเดินเท้าผ่านภูเขาฉีตุน ใต้เท้าผู้นั้นไม่ได้อธิบายอย่างชัดเจน และนางเองก็ไม่สะดวกที่จะซักไซ้ถามให้ถึงที่สุด
เดินขึ้นเขาลงห้วยไปตลอดทาง ทัศนียภาพงดงามชวนสบายตา
เด็กสาวมีนิสัยร่าเริงไร้เดียงสา แม้ว่าจะเหนื่อยล้าบ้างเล็กน้อย แต่สีหน้ากลับสดใส เดินไปเดินมาก็ยื่นมือไปเด็ดกิ่งดอกไม้มากิ่งหนึ่งแล้วแกว่งเบาๆ คลอบทเพลงพื้นบ้านที่สืบทอดกันมาหลายรุ่นอยู่ในลำคอเบาๆ
สตรีแตงงานแล้วจากตำหนักฉางชุนขมวดคิ้ว แต่ก็ยังไม่เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว
ห่างออกไปไกลมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาไม่ธรรมดาคนหนึ่งที่เหมือนภูตผีบนภูเขากำลังเดินหน้ามาอย่างเนิบช้า สายตาของเขาจับจ้องหญิงสาวทีอ่ยู่ข้างกายหญิงแต่งงานแล้วตลอดเวลา
เสียงของเด็กสาวใสกังวานอบอุ่น ต่อให้เนื้อเพลงของบทเพลงพื้นบ้านนี้จะน่าเศร้าอย่างมาก แต่เมื่อฮัมออกมาจากปากของนางกลับมีท่วงทำนองที่แปลกไป เศร้าแต่ไม่เจ็บปวด
ชายหนุ่มเองก็ฮัมเพลงตามเด็กสาวไปเบาๆ ท่วงทำนองไม่เหมือนกัน เพลงของเขาคล้ายจะถูกต้องกว่า เศร้าอาดูรยิ่งกว่า
เด็กสาวเหมือนนกขมิ้นที่บินลอดทะลวงไปตามต้นหญ้าฤดูใบไม้ผลิ ส่วนชายหนุ่มเหมือนอีกาแก่ที่ยืนเดียวดายอยู่บนหลุมศพ หนึ่งส่งเสียงร้องอย่างร่าเริง อีกหนึ่งส่งเสียงครวญสะอื้นทุ้มต่ำ
สุดท้ายมาถึงทางเดินม้าเงียบเหงาที่ก่อจากแผ่นหินสีเขียวบนสันเขา
เด็กสาวพลันเงยหน้าขึ้น ค้นพบว่าห่างออกไปไกลมีคุณชายหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งกำลังเดินตรงมา หน้าตาหล่อเหลาอย่างถึงที่สุดจนไม่อาจหล่อเหลาไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว
คนทั้งสองพบหน้ากันบนทางเดินม้าที่เล็กแคบ ชายหนุ่มกลับก้มหน้าลงต่ำ ไม่พูดอะไร แล้วเดินสวนไหล่ผ่านไปอย่างเงียบเชียบเช่นนี้
เด็กสาวอดไม่ไหวหันหน้ากลับไปมอง
คนพบว่าคนผู้นั้นยืนอยู่ห่างออกไป ไม่เดินต่อแต่ก็ไม่หันกลับมา หันหลังให้กับนาง
เด็กสาวแปลกใจเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้า หันหน้ากลับแล้วเดินหน้าต่อไป