ขยับเข้าใกล้ศาลเทพอภิบาลเมือง บนถนนส่วนใหญ่จึงชายหญิงผู้มีจิตศรัทธาที่จะมาจุดธูปกราบไหว้ สองฝากถนนมีร้านค้าแผงลอยหลากหลายสีสัน มีทั้งขายของกินขึ้นชื่อของเมืองและขายของเล่นสำหรับเด็ก เฉินผิงอันซื้อพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลให้หลี่เป่าผิงและหลี่ไหวคนละไม้ จากนั้นเด็กทั้งสองก็เริ่มแข่งกันว่าพุทราเชื่อมของใครลูกใหญ่กว่า และความเป็นจริงก็พิสูจน์ให้เห็นว่าหลี่ไหวดวงดีกว่าเล็กน้อย พุทราเชื่อมของเขามีลูกใหญ่ทั้งหมดหกลูก ชนะหลี่เป่าผิงไปสี่ครั้ง จากนั้นหลี่ไหวก็เริ่มกระโดดโลดเต้น ชูพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลไม้นั้นขึ้นสูงแล้วกระโดดวนไปรอบร่างเฉินผิงอันและหลินโส่วอีหนึ่งรอบ
หลี่เป่าผิงกินพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลของตัวเองเงียบๆ จากนั้นก็แอบยื่นขาออกไป หลี่ไหวไม่ทันระวังจึงสะดุดล้มหน้าทิ่ม พุทราเชื่อมในมือกลิ้งหลุนๆ ไปไกล โชคดีที่หีบหนังสือใบเล็กยังรัดไว้ค่อนข้างแน่นหนา หลี่ไหวนั่งลงบนพื้นแล้วแผดเสียงร้องไห้อย่างร้าวรานใจ
แม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงแสร้งยืดคอขึ้นมองซ้ายมองขวา เฉินผิงอันที่ทั้งโมโหทั้งขำฟาดนางแรงๆ หนึ่งที เดินไปประคองหลี่ไหวที่ดีดขาสองข้างชักดิ้นชักงอให้ลุกขึ้นยืน จากนั้นจึงซื้อพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลให้เด็กน้อยที่เสียใจใหม่อีกหนึ่งไม้ หลี่ไหวยิ้มทั้งน้ำมูกน้ำตานองหน้า รับพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลที่สะอาดเอี่ยมไม้ใหม่ไป แล้วจึงไปเป็นพุทราเชื่อมไม้ที่เปรอะเปื้อนดินขึ้นมาถือข้างละไม้ คราวนี้หลบห่างหลี่เป่าผิงไปค่อนข้างไกล แล้วส่ายพุทราเชื่อมในมือซ้ายขวาอย่างร่าเริง
หลี่เป่าผิงค้อนขวับ “บ้องตื้น!”
เป็นเรื่องประหลาดมาก ไม่ว่าหลี่ไหวจะถูกหลี่เป่าผิงรังแกอย่างไรก็ดูเหมือนว่าเขาจะไม่เคยเคียดแค้นแม่นางน้อยที่เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนคนนี้ ซ้ำยังไม่แม้แต่จะโกรธอีกฝ่าย อย่างมากสุดก็แค่น้อยใจ เสียใจอยู่กับตัวเองเท่านั้น
ข้อนี้ทั้งเฉินผิงอันและหลินโส่วอีต่างก็ไม่เข้าใจ หลินโส่วอีได้แต่อธิบายว่าเป็นเพราะวัตถุอย่างหนึ่งมักจะสยบวัตถุอีกอย่างหนึ่งได้เสมอ หลี่ไหวจึงจำเป็นต้องให้หลี่เป่าผิงจัดการ
เด็กหนุ่มชุยฉานเดินออกจากกลุ่มไปนานแล้ว เขาไปหยุดเท้าอยู่เบื้องหน้าร้านขายของจิปาถะแห่งหนึ่งแล้วก็ไม่เดินต่ออีก อวี๋ลู่คิดจะจอดรถม้ารออีกฝ่าย แต่เด็กหนุ่มชุดขาวกลับไม่รับน้ำใจ เพียงโบกมือให้อวี๋ลู่ตามพวกเฉินผิงอันไปโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้ามองอีกฝ่าย เขามองซ้ายมองขวากวาดตาดูนั่นนี่ด้วยความรังเกียจเล็กน้อย แล้วก็ทำท่าจะจากไป ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียวตั้งแต่ต้นจนจบ
เจ้าของร้านคือชายหนุ่มสีหน้าเกียจคร้านคนหนึ่ง เดิมทีมีลูกค้าที่เดินทางมากราบไหว้ศาลแวะเข้ามาถามราคาสินค้าในร้าน เขาไม่สนใจจะตอบ กิจการจึงยิ่งซบเซา พอเห็นราศีคนมีเงินของเด็กหนุ่มชุดขาวคล้ายเป็นลูกหลานชนชั้นสูงของในเมือง โดยเฉพาะเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มไม่มีท่าทีจะสนใจสินค้าในร้าน เขาก็พลันหน้าเปลี่ยนสี รีบลุกขึ้นยืนอย่างลนลาน ค้อมตัวสาธยายว่าวัตถุเก่าแก่หลายสิบชิ้นพวกนี้ล้วนเป็นสมบัติที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของทางร้าน อย่างน้อยมีอายุนานถึงสองสามร้อยปีแล้ว เพียงแต่ว่าตอนนี้ตระกูลพบเจอกับความยากลำบากครั้งใหญ่ ร้อนเงินอย่างมาก หาไม่แล้วตีให้ตายเขาก็ไม่มีทางเอาออกมาขาย
แค่มองดูก็รู้ว่าร่างกายของชายหนุ่มผู้นี้ทรุดโทรมด้วยสุรานารี เมื่อเห็นว่าไม่ว่าตนจะพูดชักจูงอย่างไรเด็กหนุ่มคนนั้นก็ไม่ยอมอ้าปากพูด ชายหนุ่มจึงนั่งแปะกลับไปบนม้านั่งดังเดิม เขาหรือจะกล้าบังคับให้อีกฝ่ายซื้อ นายท่านนายน้อยที่เกิดในตระกูลสูงศักดิ์ของเมือง มีคนใดบ้างที่ไม่ใช่แค่ถ่มน้ำลายก็ทำให้พวกเขาจมน้ำลายตายได้แล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่เขายังได้ยินมาด้วยว่าในจวนของคนเหล่านี้ แต่ละปีล้วนต้องมีเซียนบนภูเขาเดินเข้าออก ทุกครั้งต้องเปิดประตูใหญ่ต้อนรับอย่างอลังการ ดูเกินจริงยิ่งกว่าเวลาฉลองเทศกาลปีใหม่เสียอีก อีกทั้งยังจุดประทัดดังสนั่นไปยันชั้นฟ้า คงอยากจะให้คนทั้งเมืองรับรู้กันถ้วนทั่วว่าตระกูลพวกเขาได้ต้อนรับแขกสูงศักดิ์อย่างเทพเซียนเข้าประตูบ้าน
จู่ๆ เด็กหนุ่มชุยฉานก็ถามขึ้นว่า “ของบนโต๊ะนี้ทั้งหมด สิบตำลึงเงินพอหรือไม่?”
ชายหนุ่มส่ายหน้าอย่างแรง กล่าวด้วยสีหน้าห่อเหี่ยวว่า “คุณชายท่านนี้ ไม่ใช่ว่าข้าน้อยโลภมากคิดขูดรีดท่าน สมบัติจากบรรพบุรุษเหล่านี้ล้วนเป็นของดีที่สืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่นของตระกูลข้าน้อยจริงๆ ในทำเนียบตระกูลของข้าบันทึกไว้อย่างชัดเจนว่าบรรพบุรุษเคยเป็นพระอาจารย์น้อยของรัชทายาทราชวงศ์จี๋ชิ่งแคว้นโฮ่วสู่ด้วย ของที่บรรพบุรุษที่เป็นเช่นนี้ทิ้งเอาไว้ ต่อให้ขายชิ้นล่ะเจ็ดสิบแปดสิบตำลึงเงินก็ไม่มากเกินไปกระมัง?”
ใบหน้าของชายหนุ่มแดงงปลั่ง หยิบรูปปั้นคนที่ทำจากแก้วยาวประมาณครึ่งชุ่นขึ้นมาชิ้นหนึ่ง เสียดายก็แต่สีสันของมันหม่นหมอง รูปลักษณ์ภายนอกไม่ถือว่าสวยงามนัก ชายหนุ่มโน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อยแล้วยื่นมันส่งให้กับเด็กหนุ่มชุดขาวอย่างระมัดระวัง “คุณชาย ท่านลองดูสาวงามกระจกแก้วชิ้นดีๆ นี้ หากสายตาดีหน่อยจะมองเห็นชัดเจนแม้แต่ขนคิ้วของมัน รวมไปถึงรอยยับย่นบนสาบเสื้อ เรียกได้ว่าละเอียดอ่อนอย่างเห็นได้ชัด ถอยไปพูดหมื่นก้าว วัตถุกระจกแก้วที่หายากระดับนี้ ต่อให้คุณภาพของแก้วจะไม่ได้สูงมาก แต่สาวงามร่างแก้วชิ้นใหญ่ขนาดนี้ ขายสามสี่ตำลึงก็ไม่ถือว่าไร้คุณธรรมหรอกกระมัง? บวกกับสมบัติน้อยใหญ่ชิ้นอื่นๆ ราคาสิบตำลึงที่คุณชายเสนอมาจึงน้อยเกินไปจริงๆ คุณชายท่านโปรดเห็นใจเพิ่มราคาให้อีกสักหน่อยจะได้ไหม?”
เด็กหนุ่มชุยฉานนิ่งคิดหน้าเคร่งอยู่ชั่วครู่ “ถ้าอย่างนั้นก็สิบเอ็ดตำลึง?”
ชายหนุ่มเกือบจะสำลักลมหายใจตาย เขายืนอึ้งไปไก่ไม้ มองเด็กหนุ่มชุดขาวที่ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายเทพเซียนด้วยสายตาเลื่อนลอย สุดท้ายจึงถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “คุณชายท่านอย่าได้ล้อข้าเล่นอีกเลย”
เด็กหนุ่มชุยฉานหัวเราะร่าเสียงดัง “รู้จักเงินลายเกล็ดหิมะหรือไม่?”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับอย่างมึนงง ยิ้มจืดเจื่อน “ย่อมต้องรู้จักอยู่แล้ว ยุคของบิดาข้าน้อยตระกูลพวกเราก็ถือว่าเป็นตระกูลที่ร่ำรวยรุ่งเริง ถนนที่อยู่ติดกับถนนใหญ่ของศาลเทพอภิบาลเมืองก็มีร้านหลายสิบร้านที่เคยเป็นกิจการของครอบครัวข้าน้อย”
ชุยฉานหยิบเงินก้อนหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ตบลงบนโต๊ะ “เงินทางการต้าหลียี่สิบตำลึง เมื่อเอามาคิดเป็นเงินชั้นเลวของแคว้นหวงถิงพวกเจ้า จะอย่างไรก็น่าจะได้ถึงยี่สิบห้าตำลึง แถมยังเหลือด้วยซ้ำ แค่นี้พอจะซื้อของผุๆ พังๆ บนโต๊ะนี่ทั้งหมดได้หรือยัง?”
ชายหนุ่มที่ขโมยสมบัติเหล่านี้ของตระกูลออกมาขายตั้งราคาต้นทุนในใจไว้ประมาณยี่สิบตำลึงเงิน พอเห็นเงินจำนวนนี้จึงยิ้มหน้าบาน รีบหยิบเงินก้อนนั้นมากำไว้ในมือแน่น ลองชั่งน้ำหนักเงียบๆ จากนั้นชายเล็บกรีดลงไปเบาๆ ไม่ผิดแน่ เป็นเงินทองคำขาวคุณภาพเยี่ยมอย่างแท้จริง ด้วยกลัวว่าเด็กหนุ่มจะเปลี่ยนใจ หลังจากเก็บซ่อนเงินก้อนอย่างดีแล้ว สองมือก็รีบยื่นไปจับชายผ้าที่ห้อยอยู่ตรงขอบโต๊ะ ตลบขึ้นมาห่อสองสามทีก็กลายเป็นห่อผ้าหนึ่งใบ ของด้านในกระทบกันดังเคร้งคร้าง หลังจากมัดเป็นปมแน่นแล้วก็ผลักไปด้านหน้าเด็กหนุ่ม ยิ้มกว้างจนหุบปากไม่ลง “คุณชายท่านนี้ ทั้งหมดเป็นของท่านแล้ว”
เด็กหนุ่มชุยฉานหิ้วห่อผ้าขึ้นมา เอ่ยหยอกเย้า “หากขายของปลอมให้ข้า ข้าจะกลับมาเล่นงานเจ้า เอาให้เจ้าต้องกินมันลงท้องจนครบทุกชิ้นเลยทีเดียว”
ชายหนุ่มยิ้มประจบ “ข้าน้อยคือคนซื่อสัตย์ที่ขึ้นชื่อของเมืองเรา ทำการค้าไม่เคยรังแกหลอกลวงลูกค้า คุณชายวางใจได้เต็มร้อย รับรองว่าการซื้อขายครั้งนี้คุณชายมีแต่กำไร ไม่มีขาดทุน”
เด็กหนุ่มชุยฉานหิ้วห่อผ้าไว้ในมือข้างหนึ่ง สาวเท้าเร็วๆ ไล่ตามพวกเฉินผิงอันที่มุ่งหน้าไปทางศาลเทพอภิบาลเมือง พอขยับเข้ามาใกล้รถม้าก็โยนห่อผ้าให้เซี่ยเซี่ยอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นจึงมาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ชี้ไปยังหลังคาสะดุดตาของศาลเทพอภิบาลเมืองที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลพลางเอ่ยแนะนำ “เล่าลือกันว่าในช่วงปลายรัชสมัยของแคว้นซีสู่ ศาลเทพอภิบาลเมืองที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นหวงถิงแห่งนี้ได้ปกครองเทพอภิบาลเมืองของหลายทวีป ดังนั้นกระเบื้องแก้วสีเขียวที่นำมาทำเป็นหลังคาจึงมีมาตรฐานสูงมาก ศาลเทพอภิบาลเมืองทั่วไปไม่มีทางกล้าใช้กระเบื้องที่มีราคาแพงขนาดนี้ ที่ตั้งเดิมไม่ใช่ที่นี่ แต่พอเปลี่ยนราชวงศ์ใหม่ สกุลหงเป็นผู้ปกครองประเทศถึงได้ย้ายมาสร้างตรงสถานที่ปัจจุบันนี้ อันที่จริงที่ตั้งเดิมของศาลเทพอภิบาลเมืองก็ไม่เลว มีบ่อน้ำเก่าอยู่แห่งหนึ่ง เป็นบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ ตอนนี้ถูกสำนักบนภูเขาแห่งหนึ่งของแคว้นหวงถิงเปลี่ยนมาเป็นโรงเตี๊ยมที่ไว้ใช้รับรองผู้ฝึกตนและคนจากตระกูลสูงศักดิ์ในราชสำนักโดยเฉพาะ ปราณวิญญาณที่ลอยออกมาจากบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ช่วยในการฝึกตน สถานที่เช่นนี้เมื่ออยู่ในโลกมนุษย์ด้านล่างภูเขาก็ได้แต่ปรารถนา แต่ไม่อาจได้มาครอบครอง”
เฉินผิงอันถาม “แพงหรือไม่?”
ชุยฉานคิดแล้วก็ตอบว่า “สำหรับเจ้าแล้วแพงหูฉี่เลยล่ะ”
เฉินผิงอันปรายตามองหลินโส่วอีที่กำลังจ้องนิ่งไปยังรูปปั้นสัตว์ตรงชายคาที่โค้งงอนของศาลเทพอภิบาลเมือง ถามเบาๆ “แพงแค่ไหน?”
ชุยฉานตอบยิ้มๆ “หนึ่งคนหนึ่งคืน อย่างน้อยก็ต้องร้อยตำลึงเงินกระมัง ห้องที่อยู่ติดกับลานกว้างซึ่งใกล้บ่อน้ำนั่นมากที่สุด คาดว่าน่าจะราคาพุ่งสูงอีกเกินเท่าตัว”
ในฐานะที่เป็นราชครูต้าหลี สายลับส่วนหนึ่งแห่งราชวงศ์ที่ชุยฉานได้ครอบครองในอดีตมีไว้เพื่อใช้กับกองกำลังบนภูเขาที่อยู่ในต้าหลีและแคว้นรอบๆ โดยเฉพาะ อย่างเรื่องภายในไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ หรือประวัติศาสตร์การวิวัฒนาการของศาลเทพอภิบาลเมืองของเมืองในแคว้นหวงถิงแห่งนี้ถือเป็นหนึ่งในเนื้อหาของรายลับที่จำเป็นต้องอ่าน ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมเขาถึงรู้รายละเอียดของราคาโรงเตี๊ยมอันเป็นสถานที่ตั้งเดิมของศาลเทพอภิบาลเมืองนั้น ก็เพียงแค่เพราะราชครูชุยฉานใช้อำนาจของตัวเองสืบหาเพื่อฆ่าเวลาว่างที่น่าเบื่อหน่ายเท่านั้น อีกทั้งไม่แน่ว่าเวลาเข้าเฝ้าฮ่องเต้ในวังหลวงก็อาจจะนำไปเป็นหัวข้อสนทนาที่น่าสนใจระหว่างกษัตริย์และขุนนางก็ยังได้
เฉินผิงอันกดเสียงต่ำถาม “หากข้ามีเหรียญแก่นทองอยู่หนึ่งเหรียญ หากเอาไปแลกเป็นเงินจะได้กี่ตำลึง?”
เด็กหนุ่มชุดขาวยื่นนิ้วชี้ไปยังศาลเทพอภิบาลเมืองที่ขยับเข้ามาใกล้ทุกที ไม่เอ่ยอะไร
เฉินผิงอันไม่เข้าใจ “หมายความว่าอย่างไร?”
ชุยฉานเอ่ยยิ้มๆ “ความหมายของข้าก็คือมีค่ามากเท่ากับภูเขาเงินลูกนี้”
เฉินผิงอันอ้าปากค้าง มองศาลเทพอภิบาลเมืองที่เป็นสิ่งปลูกสร้างทอดยาวกินอาณาบริเวณกว้างขวางแล้วแอบยื่นมือไปจับประคองตะกร้าไม้ไผ่ด้านหลังตัวเอง
เมื่อเด็กหนุ่มรองเท้าแตะค้นพบว่าตัวเองแบกภูเขาเงินไว้ลูกหนึ่ง เขาก็พลันรู้สึกหนักขึ้นมาเล็กน้อย
ชุยฉานเห็นรายละเอียดเล็กน้อยนี้อยู่ในสายตา แต่กลับไม่กระโตกกระตาก
เฉินผิงอันลังเลอยู่พักใหญ่ ขณะที่กำลังจะเดินเข้าไปในศาลเทพอภิบาลเมืองก็หยุดเท้าแล้วเอ่ยว่า “ชุยตงซาน ข้าขอยืมเงินเจ้าหน่อยได้ไหม?”
ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มชุดขาวจะรอประโยคนี้ของเฉินผิงอันอยู่นานแล้ว เขาสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ พยักหน้ารับยิ้มตาหยี “ได้แน่นอนอยู่แล้ว เจ้าจะมองข้าเป็นกุมารร้อยสมบัติเลยก็ได้ ต้องการเงินก็มีเงิน ต้องการสมบัติอาคมก็มีสมบัติอาคม มีเพียงสิ่งที่เจ้าคิดไม่ได้ ไม่มีสิ่งใดที่เจ้าต้องการแล้วไม่ได้ครอบครอง”
เฉินผิงอันตัดสินใจเด็ดขาด พูดช้าๆ ว่า “ถ้าอย่างนั้นคืนนี้พวกเราไปนอนที่โรงเตี๊ยมแห่งนั้น ไม่ว่าต้องอยู่นานเท่าไหร่ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้เจ้าเป็นคนออกก่อนชั่วคราว หลังจบเรื่องเจ้าก็บอกจำนวนเงินกับข้า ดอกเบี้ยเจ้าคิดมาได้เลย วันหน้าเมื่อกลับไปถึงอำเภอหลงเฉวียน ข้าจะคืนให้เจ้าครบทั้งต้นทั้งดอก ตกลงไหม?”
ชุยฉานยื่นมือข้างหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อแล้วยกขึ้นโบก “ดอกเบี้ยก็ช่างเถอะ ถึงเวลานั้นเจ้าคืนแค่เงินต้นให้ข้าก็พอ ให้ความสะดวกคนอื่น ตัวเองก็สะดวกสบายไปด้วยอย่างไรล่ะ”
และเวลานี้เอง หลี่ไหวที่พุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลในมือเหลืออยู่ครึ่งไม้ก็พลันย่อตัวลงนั่งยอง เบิกตากว้างจ้องมองไปยังรองเท้าหุ้มเข่าของเด็กหนุ่มชุดขาว