ภูเขาเหิงซานมีวัดขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่ไม่มีกรอบป้ายตัวอักษรทองแขวนไว้แม้แต่ป้ายเดียว นอกวัดมีต้นไป่โบราณสูงเสียดฟ้าหนึ่งต้น พุ่มใบดกหนา แผ่กลิ่นอายของความเก่าแก่เข้มข้น
ทั้งในและนอกวัดเล็กสว่างไสวไปด้วยแสงไฟจากโคมหลายดวงที่แขวนไว้ นอกวัดมีชายหญิงลักษณะเหมือนข้ารับใช้หลายสิบคนยืนจับกลุ่มกันกลุ่มละสองสามคน ต่างก็กำลังกระซิบกระซาบพูดคุยกันเบาๆ
ในวัดมีชายห้าหกคนกำลังร่ำสุรา อายุตั้งแต่ยี่สิบไปจนถึงสี่สิบปี พวกเขาดื่มเหล้าจนหน้าแดงก่ำ หัวเราะเสียงดังครื้นเครง ไหสุราที่ถูกเปิดฝาวางกองระเกะระกะหลายใบ ผู้ชายเหล่านี้น่าจะมีชาติกำเนิดเป็นชนชั้นสูงที่แท้จริง หัวข้อที่พูดคุยกันไม่ธรรมดา วิจารณ์สังคมและการเมือง ระหว่างนั้นมีชายคนหนึ่งที่ดื่มสุราเสียเต็มคราบ ถึงขนาดถลกเสื้อเปิดอกเผยหน้าท้อง ชูแก้วเหล้าขึ้นสูง หันตัวไปทางรูปปั้นดินของเจ้าแม่ชิงที่วางอยู่บนแท่นบูชา กล่าวพลางหัวเราะเสียงดัง “เจ้าเป็นเทพเซียนก็ดี เป็นภูตผีก็ช่าง ข้าล้วนไม่กลัว ขอแค่เจ้ากล้าเผยร่างจริง ข้าก็กล้าเชิญเจ้ามาดื่มเหล้าร่วมแก้ว! ฮ่าๆ เจ้าแม่ชิง หากวันนี้เจ้ายินดีเดินลงมาจากแท่นบูชาจริงๆ วันหน้าต้องกลายไปเป็นเรื่องเล่างดงามที่ผู้คนให้ความสนใจแน่ๆ ควันธูปก็มีแต่จะลุกขโมงไม่ขาดสาย ข้าดื่มคารวะก่อนเลยแล้วกัน!”
ชายที่ทั้งเนื้อทั้งตัวคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นสุราเรอดังเอิ้ก แล้วก็เงยหน้ากรอกสุราเข้าปากเอนไปเอนมา สุราเกินครึ่งจึงหกรดกายและบนพื้น
เพื่อนสนิทรอบกายหัวเราะแซวไม่หยุด ยิ่งมีคนเมาแล้วใจกล้ากล่าวว่าจะอุ้มเทวรูปเจ้าแม่ชิงนี้ลงมา คืนนี้จะนอนกอด ร่วมอภิรมย์สมรักกับเทพเซียนสักคืน นี่ต่างหากถึงจะเป็นเรื่องเล่าที่คนให้ความสนใจอย่างแท้จริง ถ้อยคำไร้ความเคารพยำเกรงนี้ยิ่งชักนำให้เกิดเสียงหัวเราะสนุกสนานครื้นเครง
ในวัดมีเสียงถอนหายใจเบาจนแทบไม่ได้ยินดังขึ้นหนึ่งที
ลมโชยเอื่อยๆ พัดผ่านมาระลอกหนึ่ง ทุกคนกำลังดื่มเหล้ากันอย่างเปรมปรีดิ์จึงไม่รู้สึกถึงความผิดปกติใดๆ
……
กึ่งกลางภูเขา เฉินผิงอันที่กำลังฝึกท่าเจี้ยนหลูใจกระตุก ก้มหน้าลงมองก็เห็นว่าบนพื้นที่มีคนหนึ่งถือกิ่งไม้เดินตรงมาเอื่อยเชื่อย ก็คือผู้ลี้ภัยสกุลหลูนามว่าเซี่ยเซี่ย
เฉินผิงอันจึงเตรียมจะลงจากกิ่งไม้ แต่เด็กสาวกลับเงยหน้าส่งยิ้มกว้าง แกว่งกิ่งไม้ในมือ เอ่ยเสียงอ่อนหวานตามธรรมชาติ “เจ้าไม่ต้องลงมา พวกเราคุยกันข้างบนได้”
เห็นเพียงว่าเด็กสาวเริ่มวิ่งเหยาะๆ แตะปลายเท้าหนึ่งครั้ง กระโดดขึ้นสูง พอเหยียบลงบนลำต้นไม้ขนาดใหญ่ นางก็ดีดตัวไปด้านหลัง กระโดดขึ้นไปบนต้นไม้ต้นอื่น ทำแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมา เพิ่มระดับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง กระโดดอยู่หลายครั้งจนกระทั่งมาหยุดอยู่บนกิ่งไม้ใกล้ๆ กับต้นที่เฉินผิงอันอยู่ แค่มองก็รู้แล้วว่าต้องเป็นผู้ฝึกตน
เซี่ยเซี่ยเบี่ยงตัวนั่งลงบนกิ่งไม้ แกว่งขาสองข้าง พูดพร้อมยิ้มน้อยๆ “เจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ข้าเป็นผู้ฝึกลมปราณ พวกเราไม่ค่อยเหมือนกัน ในสายตาของพวกผู้ฝึกลมปราณที่หยิ่งยโสแล้ว คนที่ฝึกการต่อสู้ ซึ่งก็คือพวกคนที่ไม่มีพรสวรรค์ในการฝึกบำเพ็ญตบะน่ะ ที่พวกเขาฝึกวรยุทธ์เป็นการเลือกอย่างจำใจเพราะไม่อาจเลือกในสิ่งที่ดีที่สุดได้ เนื่องจากวิถีการต่อสู้ของพวกเจ้าแบ่งออกเป็นเก้าขอบเขต จึงถูกหัวเราะเยาะว่าเป็นเก้าสาขาล่าง (คือกลุ่มอาชีพที่ถูกมองว่าเป็นชนชั้นล่างของสังคมได้แก่อาชีพหมอผี หญิงคณิกา ม้าทรง ยาม ช่างตัดผม นักดนตรี นักแสดงปาหี่ ขอทานและคนขายน้ำตาลเป่า) คล้ายคลึงกับที่นักพรตเห็นตัวเองว่าขุนนางน้ำดี แต่มองว่าชาวบู๊เป็นพวกขุนนางชั้นต่ำ มาถึงท้ายที่สุดทั้งสองฝ่ายต่างก็ชิงชังกัน แค่เห็นหน้าก็รู้สึกขัดหูขัดตา”
เฉินผิงอันถาม “แม่นางเซี่ย เจ้าพูดเรื่องพวกนี้กับข้าทำไม?”
นางวางกิ่งไม้ที่อยู่ในมือพาดบนขาแนวขวาง กล่าวตรงไปตรงมาว่า “คาดว่าชุยตงซานคงอับจนหนทางแล้วจริงๆ แค่เจอศาลเจ้าก็ปักธูปไหว้มั่วซั่ว เขามาหาข้าเป็นการส่วนตัว บอกว่าขอแค่ช่วยพูดถึงเขาต่อหน้าเจ้าดีๆ สักสองสามคำ ต่อให้เจ้าจะยังไม่รับเขาเป็นลูกศิษย์ แต่ก็จะยังมอบสมบัติให้ข้าชิ้นหนึ่ง แน่นอนว่าข้าอยากได้กระบี่บินไร้เจ้าของเล่มนั้นของเขา ชุยตงซานไม่ยอม บอกแค่ว่าหากทำสำเร็จจะมอบขลุ่ยไผ่ให้ข้าเลาหนึ่ง เขาให้ข้าดูขลุ่ยเลานั้นแล้ว มันคือขลุ่ยไรน้ำที่มีชื่อเสียงเล่มหนึ่ง เคยถูกเก็บรักษาไว้ในวังหลวงของราชวงศ์สกุลหลูอย่างลับๆ เป็นหนึ่งในวัตถุทำสัญญาเป็นพันธมิตรที่พรรคบนเขาแห่งหนึ่งทำร่วมกับฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นของสกุลหลู ข้าเป็นผู้หญิง แน่นอนว่าต้องชอบของสวยงามน่ามองทั้งหมดบนโลก ก็เลยมาหาเจ้านี่ไงล่ะ”
มีคนมารบกวน เฉินผิงอันจึงไม่ฝึกยืนนิ่งอีกต่อไป เขาเองก็นั่งลงบนกิ่งไม้เหมือนกับนาง ท่านั่งตัวตรงผึ่งผาย หันมามองสบตานางตรงๆ “แม่นางเซี่ยเจ้าพูดต่อได้เลย ข้ากำลังฟังอยู่”
เซี่ยเซี่ยคลี่ยิ้ม “พูดจบแล้วไงล่ะ ก่อนหน้านี้ที่พูดถึงความแตกต่างของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวกับนักพรตบนภูเขาก็แค่กลัวว่าบรรยากาศจะเงียบงันเกินไป จึงคิดจะโยนอิฐล่อหยก บอกตามตรง เวลาที่เห็นชุยตงซานชนตอทุกครั้งที่พูดกับเจ้า แม้ข้าจะมองดูอยู่เฉยๆ แต่กลับรู้สึกสะใจอย่างมาก ทว่าพอมาถึงคราวที่ตัวเองต้องพูดกับเจ้าจริงๆ กลับปวดหัวไม่น้อย กลัวว่าเจ้าจะปฏิเสธข้าโดยไม่ฟังอะไรสักอย่าง ขลุ่ยไรน้ำที่กำลังจะมาถึงมือก็อาจติดปีกบินหนีข้าไป”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “หากชุยตงซานถามเรื่องนี้ ข้าจะช่วยยืนยันให้ว่าแม่นางเซี่ยเคยมาขอร้องแทนเขาก่อนแล้ว หากเป็นไปได้ แม่นางเซี่ยช่วยเล่าเรื่องเกี่ยวกับวิถีการต่อสู้อีกหน่อยได้หรือไม่?”
เด็กสาวหรี่ตามองประเมินใบหน้าของเด็กหนุ่มคล้ายต้องการจะมองให้ทะลุไปถึงแก่นแท้ของคนตรงหน้า แล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “เรื่องการฝึกยุทธ์ ข้าเองก็แค่เคยได้ยินคนอื่นพูดมาบ้างเท่านั้น ไม่มีอะไรที่พูดไม่ได้ และการที่ข้ารู้เรื่องผิวเผินพวกนี้ก็เพราะว่าห้าขอบเขตล่างของผู้ฝึกลมปราณอย่างการหล่อเลี้ยงลมปราณ หลอมลมปราณนั้น แท้จริงแล้วยังไม่หลุดพ้นจากขอบเขตของเนื้อหนังมังสา นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมถึงเรียก ‘ห้าขอบเขตล่าง’”
นางยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาแล้วชี้ไปตามจุดต่างๆ บนร่างของเฉินผิงอันผ่านความว่างเปล่า “ร่างกายมนุษย์มีช่องลมปราณสามร้อยกว่าช่องโพรง เชื่อมโยงถึงกันเหมือนเทือกเขาที่ทอดยาว ตัวอ่อนโคลนขอบเขตที่หนึ่งในการฝึกวิถีการต่อสู้ของพวกเจ้าก็คือการหาลมปราณนั้นให้เจอ จากนั้นก็ช่วยมันหาช่องโพรงที่เหมาะสมที่สุดในการพักพิงและบำรุงด้วยคามอบอุ่น และนี่ก็จะแสดงให้เห็นว่าใครมีพรสวรรค์สูงต่ำ เรื่องพวกนี้น่าจะเคยมีคนพูดให้เจ้าฟังมาก่อนกระมัง?”
เฉินผิงอันกำลังรวบรวมสมาธิรับฟังคำบรรยายจากสาวน้อย พอได้ยินนางถามก็ตอบว่า “ก่อนหน้านี้เคยมีคนเรื่องพวกนี้ให้ฟังคร่าวๆ บ้างแล้ว แต่ข้าไม่ถือสาหากจะต้องฟังอีกหลายๆ รอบ แม่นางเซี่ยเจ้าพูดต่อได้เลย ไม่ต้องสนใจว่าข้าเคยได้ยินมาหรือไม่”
เด็กสาวตบกิ่งไม้เบาๆ โดยไม่รู้ตัว เชิดคางขึ้นเล็กน้อย มองไปยังตำแหน่งที่อยู่สูงกว่าเฉินผิงอัน “คำว่าผู้มีพรสวรรค์ในการฝึกวรยุทธ์ก็คือ หนึ่งต้องหาปราณขุมนั้นเจอตั้งแต่อายุยังน้อย สองช่องโพรงลมปราณที่มันเลือกต้องไม่ได้อยู่ในตำแหน่งห่างไกล แต่เป็นช่องโพรงที่สำคัญบางช่องซึ่งจะยึดครองความได้เปรียบมาตั้งแต่เกิด ก็เหมือนกับที่มีคนได้ยึดครองเนินดินขนาดเล็กในป่ารกร้างหรือไม่ก็ได้ครอบครองสุสานไร้ญาติที่ไม่มีคนสนใจ ส่วนบางคนก็ได้ครอบครองเมืองหงจู๋ที่เป็นเมืองท่าสำคัญทางน้ำ และยังมีบางคนที่ได้ยึดครองเมืองหลวงต้าหลีโดยตรง สถานการณ์ของสามฝ่ายนี้ย่อมไม่เหมือนกัน ข้อสามก็คือความหนาบาง ความข้นจาง ความสั้นยาวของลมปราณขุมนี้ซึ่งต่างก็มีการแบ่งสูงต่ำ หาไม่แล้วต่อให้เจ้าได้ยึดครองเมืองหลวงต้าหลี แต่กลับไม่มีความสามารถในการขุดค้นก็ไม่มีความหมาย อธิบายอย่างนี้เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
เฉินผิงอันตอบ “พอจะเข้าใจ”
“กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่ชุยตงซานพูดถึงก่อนหน้านี้ก็คือกระบี่บินที่ฟูมฟักมาจากช่องโพรงลมปราณแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ที่เป็นหนึ่งในผู้ฝึกลมปราณอย่างพวกเรา ซึ่งได้ผสานรวมเป็นหนึ่งกับวิญญาณของผู้ฝึกกระบี่ เมื่อกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตบินออกจากช่องโพรงมาสังหารศัตรูก็จะกลายเป็นกระบี่ที่จับต้องได้จริง แต่พอกลับเข้าไปในช่องโพรงจะกลายเป็นวัตถุมายา มหัศจรรย์อย่างมาก อาจารย์ของข้าเคยบอกว่า อันที่จริงแล้วช่องโพรงลมปราณของมนุษย์เราสามารถมองเป็นถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคล เกิดมาก็มีการเชื่อมโยงทาง ‘จิตใจ’ ดังนั้นเมื่อผ่านการฝึกตนอย่างยากลำบากในภายหลัง เมื่อรอยต่อทั้งหมดถูกเปิดออก กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตก็ดี หรือสมบัติอาคมอื่นๆ ก็ช่าง ก็ล้วนสามารถบรรจุไว้ในเรือนกายที่เป็นดั่งเทือกเขาใหญ่ของเจ้าได้ทั้งหมด”
“ขอบเขตที่สองของวิถีการต่อสู้ของพวกเจ้ามีช่องโพรงแห่งชะตาชีวิตเป็นจุดเริ่มต้น จากนั้นก็เริ่มขยับขยายบุกเบิกเส้นทางออกไปรอบทิศ ทำให้เส้นชีพจรที่แต่เดิมเล็กแคบลาดชันเปลี่ยนมาเป็นดั่งถนนหลวงทางเดินม้าที่กว้างขวาง เหตุใดบนโลกถึงได้มีวิชาการต่อสู้หลายแขนง? นั่นก็เป็นเพราะวิธีการเปิดภูเขาบุกเบิกเส้นทางไม่เหมือนกัน เริ่มต้นที่ตำแหน่งไหน เดินไปบนเส้นทางใด เดินทางลัดเช่นไร แต่ละลัทธิล้วนมีวิชาลับที่ไม่แพร่งพรายเป็นของตัวเอง ยกตัวอย่างเช่นเส้นชีพจรที่ชาวบู๊ผู้ฝึกหมัดบุกเบิกจะไม่เหมือนกับคนที่ฝึกดาบฝึกทวน เฉินผิงอัน ข้ามองออกว่าตอนนี้เจ้ากำลังสร้างรากฐานให้กับขอบเขตที่สอง มิน่าเล่าถึงได้มานะฝึกท่าเดินนิ่ง ยืนนิ่ง ท่าหมัดทุกวัน ด้วยความเร็วของเจ้า ข้าเชื่อว่าอีกไม่นานก็ขยับไปยังขอบเขตที่สามได้ ใช่แล้ว ข้าถามได้หรือไม่ว่าช่องโพรงแห่งชะตาชีวิตของเจ้าอยู่ที่ไหน?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ได้”
เด็กสาวย่นจมูก พึมพำกับตัวเอง “ขี้เหนียว”
แต่เมื่อนึกถึงสภาพการณ์น่าสลดหดหู่ที่ชุยฉานราชครูหนุ่มแห่งต้าหลีต้องเผชิญ นางก็เข้าใจได้ทันทีว่าด้วยนิสัยอย่างเฉินผิงอัน ปฏิเสธตนถือเป็นเรื่องปกติ นิสัยอย่างเฉินผิงอันนี้ หากจะพูดให้ไม่น่าฟังสักหน่อยก็เรียกว่าก้อนหินในหลุมส้วม ทั้งเหม็นทั้งแข็ง อีกทั้งจิตใจยังเด็ดเดี่ยวหนักแน่น ต่อให้ฟ้าผ่าก็ไม่เคลื่อนคลอน
เฉินผิงอันพลันถามว่า “แม่นางเซี่ย ทำไมเจ้าถึงบอกว่าอีกไม่นานข้าก็จะถึงขอบเขตที่สามล่ะ?”
เซี่ยเซี่ยหลุดปากพูดว่า “คนฝึกวรยุทธ์อย่างพวกเจ้าอาศัยแค่ลมปราณเฮือกเดียว สืบสาวกันถึงแก่นแล้วก็คือใช้การบาดเจ็บของร่างกายและจิตวิญญาณมาแลกเปลี่ยนกับพลังในการสังหาร หากคิดจะมีอายุขัยยืนยาวก็ต้องเลื่อนไปถึงขอบเขตที่หกให้ได้ในเร็ววันถึงจะได้ ต้องบำรุงหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ หล่อเลี้ยงเรือนกายในทุกๆ วัน หากติดค้างอยู่ในขอบเขตที่สองหรือสามนานเกินไป ปราณแท้จริงที่มีมาตั้งแต่เกิดเฮือกนั้นก็จะค่อยๆ แห้งขอดลง ทุกครั้งที่ต่อสู้กับคนอื่น เมื่อได้รับบาดเจ็บก็เท่ากับพลังต้นกำเนิดทะลักทลายหายไปครั้งหนึ่ง ดังนั้นคนโง่บนโลกนี้ที่ฝึกวิชาหมัดจนตัวตายจึงมีมากมายจนนับไม่ถ้วน ต่อให้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในตระกูลเศรษฐีร่ำรวย สามารถแช่กายอยู่ในตัวยาราคาแพงเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ แต่ก็ยังเป็นการรักษาที่ปลายเหตุ ไม่ใช่ต้นเหตุ ไม่อาจบำรุงจิตวิญญาณของคนคนหนึ่งได้อย่างแท้จริง แม้จะบอกว่าฝึกวรยุทธ์ได้ไม่สูงพอก็ไม่อาจพิสูจน์มรรคาแห่งความเป็นอมตะ แต่หากเดินไปถึงจุดสูงสุดแห่งการฝึกวรยุทธ์ เลื่อนสู่ขอบเขตที่เก้าหรือแม้แต่ขอบเขตปลายทางที่แท้จริง ซึ่งก็คือขอบเขตที่สิบในตำนาน ถ้าเช่นนั้นหากคิดจะมีชีวิตอยู่สักหนึ่งร้อยสองร้อยปีก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย”
เฉินผิงอันโต้กลับ “พูดแบบนี้ก็ไม่ถูกทั้งหมด คนที่พรสวรรค์ดีสามารถฝึกได้อย่างรวดเร็ว แต่คนที่พรสวรรค์แย่อย่างข้า ยิ่งร้อนรนก็ยิ่งผิดพลาดได้ง่าย ไม่สู้เดินไปทีละก้าวอย่างไม่คง ไม่พลาดแม้แต่ก้าวเดียว ถ้าเช่นนั้นทุกก้าวย่อมมีประโยชน์ แล้วนับประสาอะไรกับที่ข้าฝึกวรยุทธ์ก็ไม่ใช่เพื่อแสวงหาขอบเขตที่สูงส่ง ก็แค่เพื่อ…บำรุงร่างกายและจิตใจให้แข็งแรงเท่านั้น”
คำพูดมารอตรงปากของเฉินผิงอันแล้ว แต่เขากลับเปลี่ยนไปพูดด้วยประโยคที่คลุมเครือแทน อันที่จริงหากจะพูดให้ถูกต้องก็คือ เฉินผิงอันฝึกวิชาหมัดเพื่อต่อชีวิตให้ตัวเอง
หลังจากถูกไช่จินเจี่ยนใช้วิธีการอำมหิตทุบทำลายสะพานแห่งความอมตะอย่างลับๆ นอกจากเส้นทางการฝึกตนจะถูกตัดขาดแล้ว เรือนกายของเฉินผิงอันก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่ ภายหลังเมื่อเดินทางไปถึงเขาฉีตุนยังเกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง อายุขัยเล็กน้อยที่กว่าจะเพิ่มเติมขึ้นมาได้ไม่ใช่ง่ายๆ หายเกลี้ยงในคราวเดียว ยังดีที่การเดินทางลงใต้หลังจากนั้น อาศัยการฝึกเดินนิ่งยืนนิ่งปริมาณมากในทุกๆ วัน เฉินผิงอันจึงสั่งสมพื้นฐานให้กับตัวเองได้บ้าง สามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าสุขภาพดีขึ้น ร่างกายที่เป็นเหมือนบ้านทรุดโทรมเต็มไปด้วยรูโหว่รอบด้านได้รับการปะชุนซ่อมแซม ทำให้ยังพอจะใช้งานได้
เด็กสาวกล่าวยิ้มๆ “การพัฒนาช้าหรือเร็วแตกต่างกันไปตามบุคคล เจ้ารู้สึกว่าการสร้างรากฐานอย่างมั่นคงนั้นดีกว่า ข้าก็ไม่เห็นว่าจะมีปัญหาอะไร”
ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกลมปราณ เดิมทีเซี่ยเซี่ยก็รู้เรื่องการฝึกวรยุทธ์แบบงูๆ ปลาๆ อยู่แล้ว หลายๆ ครั้งจึงมักจะติดเอาวิธีการฝึกตนมาใช้กับการฝึกยุทธ์ แม้ว่าโลกทัศน์ของนางจะกว้างไกลกว่าจูเหอ แต่รายละเอียดหลายอย่างย่อมเข้าใจไม่กระจ่างแจ้งเท่าจูเหอที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตที่ห้า แล้วนับประสาอะไรกับที่จูเหอยังถูกบรรพบุรุษสกุลหลี่บนถนนฝูลวี่ขนานนามให้เป็น “วิสุทธิ์อาจารย์” เป็นคำวิจารณ์ที่เหนือกว่าอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงทั่วไป มากพอจะพิสูจน์ให้เห็นถึงความร้ายกาจของจูเหอ แต่เนื่องด้วยได้รับขีดจำกัดจากรากฐานตระกูลหลี่ที่อยู่ในเมืองเล็กอันห่างไกล จูเหอจึงไม่เหมือนกับผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปในยุทธภพใต้ภูเขา เขาเชื่อว่าปรมาจารย์วิถีการต่อสู้ขอบเขตที่เก้าคือขอบเขตสุดท้ายแล้ว ดังนั้นถึงได้เรียกขอบเขตที่เก้าว่าขอบเขตปลายทาง
ทว่าในความเป็นจริงแล้วเหนือขอบเขตที่เก้าขึ้นไปยังมีขอบเขตที่สิบ ระหว่างขอบเขตที่เก้าและสิบมีช่องว่างต่างกันมาก มากยิ่งกว่าความห่างระหว่างขอบเขตที่หกกับขอบเขตที่เก้าเสียอีก
เรียนวรยุทธ์เรียนการต่อสู้ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับมหามรรคาเลย ต่อให้การหล่อหลอมเรือนกายจะแข็งแกร่งทนทานยิ่งกว่าร่างวัชระไม่พ่ายของลัทธิพุทธ แต่ก็ยังยากที่จะประสบความสำเร็จอย่างสูงได้ อย่างนั้นอายุขัยที่น้อยนิดก็คือคอขวดอันเป็นอุปสรรคใหญ่เทียมฟ้าอย่างแท้จริง คิดจะฝ่าไปให้ได้ก็เรียกว่าเป็นความฝันของคนปัญญาอ่อน แล้วก็ไม่มีใครเป็นข้อยกเว้น
แล้วก็ด้วยเหตุนี้ ในสายตาของผู้ฝึกลมปราณถึงได้มองว่าผู้ฝึกยุทธ์ล่างเขาต่ำต้อยกว่าพวกเขาอย่างมาก ตลอดชีวิตก็ได้แค่ต่อยตีอยู่ตรงตีนเขา หรืออย่างมากสุดมาเดินเที่ยวช่วงกึ่งกลางภูเขาของพวกเราก็คือปลายทางของพวกเขาแล้ว และชั่วชีวิตนี้จะเป็นใหญ่เป็นโตกับใครเขาได้? กลับมาดูที่ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบน มีใครบ้างที่ไม่มีอายุขัยยืนยาวไร้ขีดจำกัด มีหวังที่จะประสบความสำเร็จบนมหามรรคา?
เรียนวรยุทธ์เรียนการต่อสู้ หากไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับมหามรรค ต่อให้หล่อหลอมเรือนกายจนแข็งแกร่งทนทานยิ่งกว่าวัชระไม่พ่ายของลัทธิพุทธ ก็ยังยากที่จะได้ดิบได้ดี ต่อให้ร้อยปีแล้วยังไม่แก่หง่อม แต่มากสุดไม่เกินสองร้อยปีก็ยังต้องกลายมาเป็นเพียงโครงกระดูกที่ไม่มีค่าโครงหนึ่งอยู่ดี
เฉินผิงอันถามด้วยความสงสัย “แม่นางเซี่ยเซี่ย ผู้ฝึกตนอย่างพวกเจ้าที่เป็นเทพเซียนบนภูเขาผู้มีอิสระเสรีก็จำเป็นต้องหล่อหลอมเรือนกายเหมือนผู้ฝึกยุทธ์ด้วยหรือ?”
ตอนนั้นที่อยู่ในเมืองเล็ก หนิงเหยาเคยเตือนเขาไว้ต่อให้พวกไช่จินเจี่ยนแห่งเขาเมฆาเรือง ฝูหนันหัวแห่งนครมังกรเฒ่า ฯลฯ จะได้รับพันธนาการจากกฎเกณฑ์ห้ามใช้คาถาอาคมของเมืองเล็ก แต่ระดับความแข็งแกร่งของเรือนกายก็เหนือกว่าคนทั่วไป ต่อยเฉินผิงอันให้ตายด้วยหมัดเดียวเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก และหากเฉินผิงอันไม่โจมตีจุดอันตรายของพวกเขาก็ยากที่จะเล่นงานฝ่ายตรงข้ามได้สำเร็จ