กระบี่จงมา Sword of Coming – บทที่ 142

บทที่ 142

ทำลายบรรยากาศอย่างรุนแรง

 

การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเด็กหนุ่มชุดขาวช่างไม่ถูกกาลเทศะซะจริง

 

แขกเต็มห้องโถงล้วนเป็นพวกสายตาเฉียบแหลม แต่ละคนมองเห็นสีหน้าไม่น่ามองของชายชุดดำได้อย่างรวดเร็ว ในใจพลันกระจ่างแจ้ง พอหันกลับไปเห็นสีหน้าของเด็กหนุ่มผู้นั้นอีกครั้ง แต่ละคนก็พลันรู้สึกสนใจเต็มเปี่ยม

 

ในเขตพื้นที่ทางทิศเหนือของแคว้นหวงถิง แม่น้ำและภูเขายากที่จะแบ่งแยก ใครบ้างที่ไม่คิดจะให้หน้ากรอบป้ายอักษรทองของจวนมหาวารีแห่งนี้? แต่นี่กลับมีคนกล้ามาทำลายงานเลี้ยงของเทพแม่น้ำหันสือ อีกทั้งยังเดินอาดๆ บุกเข้ามาในจวนมหาวารีอันเป็นถิ่นของเขา ไม่อยากมีชีวิตอยู่จริงๆ แล้วหรือไง?

 

ชายผู้มีท่วงท่าสุภาพนุ่มนวลที่ร่างเดิมคืองูน้ำซึ่งนั่งอยู่บนตำแหน่งแรกของปัญญาชน ตวัดนิ้วเป็นดรรชนีกล้วยไม้ (ท่านิ้วมือที่นิ้วโป้งกับนิ้วกลางแตะกัน) ค่อยๆ ยกจอกเหล้าขึ้นมา เมื่อเผชิญหน้ากับแขกที่ไม่ได้รับเชิญ สายตาของบุรุษร้อนแรง เด็กชายเด็กหญิงที่มีหน้าตางดงามคือความชื่นชอบของเขามาโดยตลอด เพียงแต่อดจะเสียดายไม่ได้ เพราะมีความเป็นไปได้มากว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ต้องตาย เขาไม่กล้าเอาตัวคนที่หักหน้านายท่านผู้เฒ่าเทพวารีกลับจวนไปเสพสุขโดยพลการ หวังแค่ว่าจะเอาศพกลับไปเป็นอาหารมื้อดึกคืนนี้ได้ บุรุษยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหลมเล็ก “เหล้าที่อยู่ในจอกนี้คือเหล้าหยกทองที่มีเฉพาะในจวนมหาวารีแม่น้ำหันสือของพวกเราเท่านั้น หากนักพรตได้ดื่มหนึ่งจอกก็เท่ากับฝึกตนอย่างยากลำบากอยู่ในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลอย่างยากลำบากสิบวัน หากคนธรรมดาดื่มเข้าไป หวังให้โรคภัยหายสิ้นก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยแม้แต่น้อย ยังเหลืออีกครึ่งแก้ว เจ้าอยากจะลองชิมดูหรือไม่?”

 

เด็กหนุ่มชุดขาวผู้นั้นเดินข้ามธรณีประตูเข้ามาแล้วก็ไม่เดินหน้าตา เขาที่ยืนอยู่ที่เดิมทำเพียงกวาดตามองไปรอบด้าน ไม่แยแสภูตน้ำที่มีชื่อเสียงด้านความเหี้ยมโหดฉาวโฉ่ผู้นี้เลยแม้แต่น้อย

 

บุรุษท่าทางสุภาพอ่อนโยนโกรธสุดขีดจนกลายเป็นตลก เขาแลบลิ้นที่ยาวมากออกมาเลียมุมปากของตัวเอง สุดท้ายหัวเราะหึหึ “สุราคารวะไม่ดื่มจะดื่มสุราทำโทษ ตายซะเถอะ!”

 

เขาสะบัดข้อมือ สุราสีทองอร่ามที่เหลืออีกครึ่งแก้วก็สาดออกมา ของเหลวสีสันสะดุดตาพลันหยุดค้างอยู่กลางอากาศก่อน จากนั้นถึงแยกตัวออกเป็นหยดๆ จากนั้นของเหลวหลายสิบหยดก็พากันพุ่งแหวกความว่างเปล่ากระโจนเข้าหาเด็กหนุ่มชุดขาว ความเร็วนั้นเหนือกว่าลูกศรจากธนูทรงพลังที่พุ่งฉิวไปในระยะร้อยก้าว ก่อให้เกิดเสียงแหวกอากาศดังอื้ออึง พลังอำนาจน่ากริ่งเกรงอย่างยิ่ง

 

หากหลบไม่ทัน ร่างของเด็กหนุ่มชุดขาวผู้นั้นจะต้องเป็นรูพรุนแน่นอน

 

ลำพังเพียงแค่วิชาอภินิหารที่สามารถควบคุมน้ำได้ด้วยฝ่ามือเดียวนี้ก็ทำให้ผู้ฝึกลมปราณหนุ่มบางส่วนที่นั่งอยู่ในห้องโถงตื่นตะลึงจากใจจริง

 

แทบทุกคนล้วนรู้สึกว่าสถานการณ์แน่นอนไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้ว

 

ผู้เฒ่าผมขาวโพลนผู้นั้นก็เป็นหนึ่งในคนที่คิดเช่นนี้ ตอนแรกที่เขามองเห็นเด็กหนุ่มชุดขาว แววตายังเผยความประหลาดใจอยู่บ้าง แต่เพียงไม่นานก็ส่ายหน้าเบาๆ ลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือ ทว่าบ่อมังกรถ้ำพยัคฆ์อย่างจวนมหาวารีแห่งนี้ ไหนเลยจะใช่สถานที่ที่เจ้าคิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไป น่าเสียดายเหลือเกินที่เอาเรือนกายซึ่งทั้งรูปงามและมีบุคลิกเป็นเลิศนี้มาทิ้งให้เสียเปล่า

 

แถบทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีปล้วนรู้ว่าการทดสอบเลือกผู้มีความสามารถของฮ่องเต้สกุลหงในราชสำนักเล็กๆ อย่างแคว้นหวงถิงแห่งนี้ จะต้องดูก่อนว่าเขียนตัวอักษรสวยหรือไม่ จากนั้นค่อยดูว่าเนื้อหาที่เขียนดีหรือไม่ดี ทั้งสองสิ่งล้วนขาดไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นกุญแจสำคัญที่สุดก็ปรากฎขึ้นแล้ว ฝ่าบาทจะดูว่าในบรรดาผู้เข้าสอบหน้าพระที่นั่งนี้ ใครที่มีรูปโฉมซื่อสัตย์เที่ยงตรง หล่อเหลาสง่างามมากที่สุด!

 

ตอนที่อยู่บนถนนของเมือง ผู้เฒ่าก็เคยเห็นกลุ่มของเด็กหนุ่มชุดขาวมาแล้ว ผู้เฒ่าพอจะใช้คาถามองคนเป็นอยู่บ้าง เมื่อมองรูปลักษณ์กลิ่นอายของเด็กหนุ่มชุดขาวจึงคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะมีแค่เนื้อหนังมังสาที่ยอดเยี่ยมเท่านั้น เทียบกับอีกคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างกายเด็กหนุ่มผู้สะพายตะกร้าไม้ไผ่ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เด็กหนุ่มชุดเขียวที่สีหน้าสุขุมเย็นชาผู้นั้นต่างหากที่เป็นหยกงามสำหรับวิถีของการฝึกตนอย่างแท้จริง

 

ผู้เฒ่าไม่คิดจะมองเด็กหนุ่มที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องมีจุดจบน่าสังเวชอีก เขาหันหน้ามองไปยังนักพรตหนุ่มคนหนึ่งฝั่งที่รู้ไส้รู้พุงกันดีซึ่งนั่งอยู่ตรงข้าม สายตาผู้เฒ่าเต็มไปด้วยพยับเมฆอึมครึม

 

ฝ่ายหลังสัมผัสได้ถึงสายตาของผู้อาวุโสในสำนักเฉียบไวจึงขยับถอยไปด้านหลังเล็กน้อย เพียงแต่ไม่นานก็คิดได้ว่าตนหาที่พึ่งที่แท้จริงได้แล้ว วันนี้ไม่เหมือนในอดีตอีกแล้วจึงยืดเอวขึ้นตรง คลี่ยิ้มอย่างตรงไปตรงมาแล้วชูจอกเหล้าขึ้น ผู้เฒ่ายิ้มเสแสร้งแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น

 

ผู้เฒ่าได้รับการอบรมบ่มเพาะมาเป็นอย่างดี แต่พอคนหนุ่มสองคนข้างกายเขาเห็นภาพนี้แล้วกลับแค้นเคืองสุดขีดจึงถลึงตามองศิษย์ทรยศของสำนักที่หลงลำพองตัวอย่างเดือดดาล

 

นักพรตพรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเพียงลำพังก็คือตัวการของคลื่นมรสุมก่อนหน้านี้ ช่วงสุดท้ายของการก่อคดีโหดเหี้ยมสังหารคนทั้งตระกูล ผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่งที่ผ่านทางมาเจอเขาเข้าพอดี เขาคือลูกศิษย์ฝ่ายในของพรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์ พรสวรรค์ธรรมดา ยิ่งไม่ถนัดการเข่นฆ่าสังหาร จึงไม่เหลือกำลังให้ต่อต้านผู้ฝึกตนอิสระที่เชี่ยวชาญด้านการไล่ล่าและฆ่าผู้คน จึงเผ่นหนีกลับเข้ามาในเมืองอย่างว่องไว สุดท้ายที่ยังมีอารมณ์ไปพักผ่อนหย่อนใจอยู่ในโรงเตี๊ยมชิวหลูแห่งนั้น คาดว่าคงหวังจะใช้โรงเตี๊ยมชิวหลูและหลิวฮูหยินเป็นยันต์คุ้มกันกาย

 

พอค้นพบร่องรอยของเขา ผู้ฝึกตนอิสระผู้ผดุงความยุติธรรมที่แม้จะรู้ว่าอาจเสี่ยงโดนโรงเตี๊ยมชิวหลูมองเป็นศัตรู ก็ยังดึงดันจะบุกเข้าไป ครั้นจึงลงมือต่อสู้กับนักพรตพรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์ที่มีภูมิหลังสูงส่งอย่างดุเดือดอีกครั้ง

 

ผลกลับกลายเป็นว่าไม่เพียงแต่ทำให้ผนังบังตารูปพระจันทร์พังภินท์ ยังถูกนักพรตของพรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์ล่อเข้าไปในตรอกที่อยู่ใกล้เคียง ฝ่ายหลังใช้สมบัติอาคมและเวทคาถามั่วซั่วไปหมด จึงทำให้ชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวถูกลูกหลงบาดเจ็บไปอีกยี่สิบกว่าคน นั่นจึงเป็นสาเหตุให้ตระกูลชนชั้นสูงของเมืองใช้เป็นข้ออ้างกล่าวโทษไปฟ้องที่ว่าการ ผู้ฝึกตนอิสระจึงถูกตัดสินว่าเป็นฝ่ายกระทำความผิดก่อน สังหารแล้วค่อยว่ากัน ส่วนเรื่องราวที่ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังเป็นอย่างไร คนก็ตายไปแล้ว ไม่มีใครพูดถึงอีก ต่อให้มีข่าวลือเล็กๆ น้อยๆ ก็เป็นเพียงข่าวโคมลอยเท่านั้น

 

พวกผู้ฝึกตนอิสระที่ไม่ต้องการถูกทางการลงชื่อไว้ในสมุดบันทึกมักจะไม่ได้รับการปฏิบัติที่ดีจากแคว้นต่างๆ คนของทางการอาจไม่ถึงขั้นกล้าไล่ทุบตีพวกเขาดั่งหนูสกปรก แต่ก็หวังว่าจะให้พวกเขาอยู่ห่างๆ อย่าได้มาก่อความวุ่นวายในเขตพื้นที่การรับผิดชอบของตัวเองดีที่สุด เพราะเมื่อใดที่จอกแหนไร้รากเหล่านี้เกิดขัดแย้งกับงูเจ้าที่ขึ้นมา ขอแค่ไม่ใช่มังกรข้ามนทีที่มีวิชาค้ำฟ้าเก่งกาจ ที่ว่าการของราชสำนักและกองกำลังในยุทธภพก็ย่อมต้องเลือกฝั่งคนคุ้นเคยของตัวเองอยู่แล้ว

 

เมื่อนักพรตหนุ่มที่เท่ากับเป็นคนทรยศของสำนักเห็นว่าผู้อาวุโสในสำนักที่เดิมทีตนให้ความเคารพเลื่อมใสอย่างถึงที่สุดไม่รับน้ำใจของตน นักพรตหนุ่มก็ยิ้มบางๆ แหงนหน้าดื่มเหล้าที่เหลือเกินครึ่งจอกรวดเดียวหมด หลังจากเช็ดมุมปากแล้วก้มหน้า กล่าวกลั้วหัวเราะอย่างสำราญใจ “ต่อให้ข้าผู้อาวุโสฝึกตนอย่างยากลำบากอยู่ในพรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์ก็ยังไม่มีหวังว่าจะเลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลาง ตอนนี้เมื่อได้รับความโปรดปรานจากนายท่านผู้เฒ่าเทพวารี มหามรรคาจึงมีหวัง ดังนั้นตั้งแต่ครั้งแรกที่ข้าผู้อาวุโสเห็นหน้าแม่ทัพผู้นั้นก็ตั้งใจแล้วว่าจะก่อตั้งสำนักเป็นของตัวเอง โอกาสที่พันปียากจะพานพบ ได้แต่ปรารถนาไม่อาจได้มาครอบครอง! ยังจะต้องสนใจชื่อเสียงของสำนักที่ไร้ประโยชน์ไปเพื่ออะไร? กินอิ่มแทนข้าวได้หรือ!? ต่อให้กินแทนข้าวได้ แล้วจะอย่างไร? ข้าผู้อาวุโสไม่เคยได้กินอย่างเต็มคราบ ได้แต่รอให้พวกเจ้าทำทานมาให้เท่านั้น”

 

นักพรตหนุ่มผู้นี้เรอเสียงดังแล้วหัวเราะอยู่กับตัวเอง ไม่มีใครมองเห็นความจนใจในเบื้องลึกของดวงตาคนผู้นี้ เขาค่อยๆ คีบเนื้อปลาสดใหม่ชิ้นหนึ่งขึ้นมา ปลายหางตาเหลือบไปยังกุนซือสวมชุดปัญญาชนลัทธิขงจื๊อของจวนมหาวารีเล็กน้อยแล้วพึมพำกับตัวเอง “คนไม่ทำเพื่อตัวเอง ฟ้าดินย่อมไม่มีที่ให้ยืน แล้วนับประสาอะไรกับที่โอกาสครั้งใหญ่ถึงเพียงนี้มาวางอยู่ตรงหน้าข้า ข้าเป็นแค่นักพรตห้าขอบเขตล่างตัวเล็กๆ มีสักกี่ชีวิตให้ไปปฏิเสธความเมตตาที่นายท่านผู้เฒ่าเทพวารีประทานให้?”

 

ผู้เฒ่าผมขาวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็คือผู้อาวุโสใหญ่ฝ่ายนอกของพรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์ พรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์แบ่งเป็นฝ่ายในและฝ่ายนอก ผู้เฒ่าเป็นผู้ดูแลฝ่ายนอก ทว่าอันที่จริงแล้วเรื่องราวมากมายในโลกมนุษย์ของฝ่ายในก็ยกให้คนผู้นี้รับผิดชอบด้วย การเข้าร่วมงานพิธีบวงสรวงเทพแม่น้ำหันสือในครั้งนี้ ผู้เฒ่าเป็นผู้นำพากลุ่มคนลงจากภูเขา หลักๆ แล้วก็เพื่อช่วยให้เหล่าลูกศิษย์ผู้สืบทอดทั้งหลายได้ขัดเกลาจิตใจ พยายามทำความเข้าใจกับขนบธรรมเนียมประเพณีของโลกมนุษย์ด้านล่างภูเขา รวมไปถึงอาศัยโอกาสนี้สัมผัสกับกองกำลังอื่นๆ หากสามารถผูกบุญสัมพันธ์กันได้ย่อมดีที่สุด

 

เด็กหนุ่มสองคนที่มาร่วมงานเลี้ยงพร้อมกับผู้เฒ่าในครั้งนี้ต่างก็เป็นบุคคลโดดเด่นในบรรดาคนหนุ่มสาวของพรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์ ด้านหลังของคนผู้หนึ่งก็คืองูยักษ์สีชาดยาวสองจั้งตัวนั้นซึ่งกำลังขดตัวเป็นก้อนกลม ส่วนอีกคนหนึ่งข้างกายมีเสือดำตัวใหญ่นอนหมอบอยู่บนพื้น

 

คนทั้งสองนั่งเคียงข้างกันจึงเกิดเป็นบรรยากาศของมังกรขดพยัคฆ์มอบที่ไม่ธรรมดา

 

แต่ในขณะที่ทุกคนต่างก็นึกว่าเด็กหนุ่มชุดขาวต้องตายอย่างแน่นอนนั้นเอง การแสดงออกของเขากลับทำให้ทุกคนตะลึงพรึงเพริด

 

เขายืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน ปล่อยให้ของเหลวสีทองอร่ามที่แตกตัวเป็นหยดเหล้าเหล่านั้นสาดยิงมาถึง

 

แต่พอหยดน้ำที่บุกมาด้วยพละกำลังดุดันกระทบลงบนอาภรณ์ของเด็กหนุ่มชุดขาวกลับเหมือนเกล็ดหิมะที่หล่นลงบนเตาไฟขนาดใหญ่ที่กองไฟกำลังลุกโชน เพียงพริบตาเดียวก็หายวับไปหมด

 

บุรุษชุดดำพยักหน้า พูดกับตัวเองว่า “อาคมวารีไม่อาจรุกราน น่าสนใจไม่น้อย มิน่าเล่าถึงกล้ามาก่อความวุ่นวาย”

 

ร่างของเขาโน้มมาด้านหน้าเล็กน้อย มองไปยังนักประพันธ์คนนั้นแล้วถามยิ้มๆ “เป็นเพราะชุดคลุมของเด็กหนุ่มมีความลี้ลับหรือว่าสาเหตุอย่างอื่น?”

 

นักประพันธ์สวมชุดขงจื๊อที่นั่งอยู่ด้านล่างถอนสายตากลับมาจากร่างของเด็กหนุ่ม หันหน้ามาตอบว่า “น่าจะไม่เกี่ยวกับเสื้อคลุม ข้าเดาเอาว่าบนร่างของคนผู้นี้มียันต์หลบน้ำชั้นเยี่ยมของลัทธิเต๋าซ่อนอยู่ อาคมวารีทั่วไปยากที่จะทำลายตราผนึกทางธรรมชาติของยันต์ชิ้นนั้นได้”

 

บุรุษชุดดำหลุดหัวเราะ “คงไม่เพราะคิดว่ามียันต์ชิ้นนี้ติดกาย ตุ๊กตาน้อยตัวนี้ก็จะมาทำตัวกำเริบเสิบสานอยู่ในจวนมหาวารีของข้าได้กระมัง?”

 

นักประพันธ์ชุดขงจื๊อยิ้มตอบ “น่าจะยังมีที่พึ่งอย่างอื่นอีก”

 

บุรุษชุดดำที่มีท่าทางเกียจคร้านเบื่อหน่ายมาโดยตลอดยืดตัวขึ้นตรง “มิน่าเล่า”

 

จากนั้นเขาก็หันไปสั่งภูตงูน้ำตนนั้นยิ้มๆ ในถ้อยคำไร้เจตนาตำหนิ “ขายหน้าแล้วไหมล่ะ อนุญาตให้เจ้าเป็นผู้สังหารได้ แต่ห้ามใช้คทาเหล็กชิ้นนั้นเด็ดขาด จะได้ไม่ต้องเห็นภาพคนหัวระเบิด เจ้าสะใจ แต่แขกจะสะอิดสะเอียนเอาได้ ห้ามเจ้าล่วงเกินทุกคน”

 

บุรุษท่าทางนุ่มนวลสุภาพยิ้มตาหยีพลางลุกขึ้นยืน “ขอบพระคุณนายท่านผู้เฒ่าที่มอบรางวัล”

 

เด็กหนุ่มชุดขาวถอยหลังไปหลายก้าว ที่แท้ก็คิดจะนั่งพักบนธรณีประตู พอนั่งลงเรียบร้อยแล้วก็โบกมือให้กับภูตงูน้ำที่ลุกเดินอ้อมโต๊ะมา “ไม่ต้องรีบร้อนๆ อย่าเพิ่งรีบร้อนเลย รอฟังข้าพูดให้จบก่อน”

 

นักประพันธ์และขุนนางยกกระบัตรที่นั่งอยู่ในห้องโถงหันมามองหน้ากัน

 

บุรุษชุดดำก็ยิ่งกุมท้องหัวเราะเสียงดัง ยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มอย่างอารมณ์ดี

 

ในบรรดาแขกทั้งหลายมีคนสองคนที่นั่งอยู่บนตำแหน่งแรกของศิษย์ทรยศของพรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์อย่างเปิดเผยโจ่งแจ้ง คนทั้งสองต่างก็อายุประมาณสามสิบปี เปี่ยมไปด้วยพละกำลังห้าวเหิม สาดประกายรัศมีคมกริบ

 

พอเห็นท่าทางเช่นนี้ของเด็กหนุ่มชุดขาว พวกเขาก็ยังคงไม่ยี่หระ

 

คนหนึ่งในนั้นที่ต่อให้จะกำลังดื่มเหล้าก็ยังคงสะพายกระบี่ยาวไว้ด้านหลัง อีกคนหนึ่งวางกระบี่พาดลงบนโต๊ะ มือขวาอยู่ห่างจากด้ามกระบี่ไกลสุดก็แค่ไม่กี่ฉื่อเท่านั้น

 

เห็นได้ชัดว่าคนทั้งสองต่างก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ที่มีชื่อเสียง แม้จะมองไม่ออกว่ากระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของพวกเขาถูกเลี้ยงบำรุงด้วยความอบอุ่นจนสำเร็จผลแล้วหรือไม่ แต่ผู้ฝึกกระบี่ได้รับการยอมรับจากทุกคนว่าเป็นผู้ที่มีพลังการทำลายล้างสูงสุด มีการสะสมตบะไว้ได้ลึกล้ำมากที่สุดในบรรดาผู้ฝึกตนทั้งหมด ต่อให้เป็นนักพรตห้าขอบเขตกลางก็ยังไม่กล้าดูถูกผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตล่างคนใด

 

เพราะทุกครั้งที่ผู้ฝึกกระบี่เลื่อนขอบเขตหนึ่งครั้ง พลานุภาพของกระบี่บินก็จะทับซ้อนเพิ่มพูน ตบะเพิ่มสูงจนเหนือกว่าผู้ฝึกลมปราณทั่วไป

 

โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในห้าขอบเขตล่าง หากกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่เปราะบางทำให้ผู้ฝึกกระบี่สามารถเลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลางได้สำเร็จก็จะได้พบเจอกับการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าพลิกดิน

 

ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนที่เลื่อนขั้นแล้วหรือมีหวังว่าจะเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบน โดยเฉพาะผู้ฝึกกระบี่ที่อายุยังน้อยล้วนถูกยกให้เป็นแขกผู้ทรงเกียรติของกองกำลังฝ่ายต่างๆ บนภูเขามีวลีหนึ่งที่ติดปากผู้คน กล่าวว่า “ในบรรดาห้าขอบเขตกลาง หกสิบปีฝึกลมปราณจนแก่ ร้อยปีฝึกกระบี่ยังเด็ก”

 

ความหมายก็คือเทพเซียนห้าขอบเขตกลางอายุหกสิบปีถือว่าไม่ใช่บุคคลที่มีพรสวรรค์อะไรแล้ว แต่ห้าเป็นผู้ฝึกกระบี่อายุร้อยปีกลับยังคงเป็นผู้ฝึกลมปราณที่มีพรสวรรค์ล้ำเลิศ!

 

ผู้ฝึกกระบี่สองคนนี้ที่พร้อมกันใจมาเยี่ยมเยือนจวนมหาวารี คนหนึ่งคือผู้ฝึกตนอิสระ เล่าลือกันว่าเป็นผู้สืบทอดที่แท้จริงของยอดฝีมือพเนจรท่านหนึ่ง ถือเป็นคนของสายลัทธิเต๋า ได้รับมอบอาวุธวิเศษที่ตัดเหล็กได้ราวกับตัดโคลน มีชื่อเรียกว่า ‘คมหัตถ์’

 

อีกผู้หนึ่งคือศิษย์คนสุดท้ายของเจินเหรินเจ้าประมุขศาลมังกรซุ่ม ระบบของศาลมุงกรซุ่มถือเป็นสายโอสถนอกของพรรคกระถางโอสถลัทธิเต๋า รวบรวมวัตถุวิเศษในฟ้าดิน สร้างเตาหลอมยา ดื่มยาน้ำกินยาเม็ด ช่วยในการฝึกตน

 

สมบัติสยบขุนเขาคือแท่นฝนหมกโบราณชิ้นหนึ่งที่มีนามว่าแท่นฝนหมึกเจียวเฒ่า เป็นหนึ่งในสิบแท่นฝนหมึกขนาดใหญ่ของแจกันสมบัติทวีป ขอบของแท่นฝนหมึกมีเจียวตัวผอมเล็กบางแต่อายุมากตัวหนึ่งนอนขดจำศีลส่งเสียงกรนเบาๆ

 

เล่าลือกันว่าแคว้นสู่ในสมัยโบราณเป็นสถานที่ที่มีเจียวและมังกรซุ่มซ่อนอยู่ทั่วสารทิศ คอยก่อเรื่องก่อราว แต่ละพื้นที่ต่างก็ต้องทิ้งเหล่าเซียนให้คอยสังหารมังกรปีศาจ เจียวชั่วร้าย

 

ว่ากันว่าเจียวเฒ่าตัวน้อยที่นอนหลับสนิทอยู่บนแท่นฝนหมึกโบราณชิ้นนี้ก็คือหนึ่งในสัตว์ดึกดำบรรพ์ที่หลบพ้นหายนะมาได้

 

ในฐานะที่เป็นลูกศิษย์ของเจ้าประมุขศาลมังกรซุ่ม ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่วางกระบี่พาดอยู่บนโต๊ะมาเยือนในครั้งนี้ก็เพื่อเป็นตัวแทนของสำนักมาลองปรึกษากับเทพวารีแม่น้ำหันสือที่มีสายอยู่ในราชสำนัก พยายามจะเลื่อน “ศาล” ของชื่อศาลมังกรซุ่มให้กลายเป็น “ตำหนัก”

 

สำนักเซียนลัทธิเต๋าที่หากคิดจะใช้คำว่า “ตำหนัก” ในชื่อของสำนักไม่ใช่เรื่องง่าย นี่ก็เหมือนการที่กษัตริย์ของแคว้นหนึ่งแต่งตั้งเจินจวินที่ต้องอยู่ในจำนวนที่แน่นอน ไม่อาจแต่งตั้งพร่ำเพื่อจนกลายเป็นหายนะ ไม่ใช่ว่ากษัตริย์ต้องการให้มีเจินจวินกี่คนก็มีได้มากเท่านั้น แล้วก็ไม่ใช่ว่าจะเลือกสุ่มเลือกนักพรตคนใดคนหนึ่งมาก็ได้ เพราะเมื่อได้รับการยอมรับจากกษัตริย์ก็จะได้รับยศตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้ สำนักของลัทธิเต๋าในแจกันสมบัติทวีปจะส่งคนมาตรวจสอบการพิจารณาและตัดสินใจว่าเจินเหรินคนไหนที่มีหรือไม่มีคุณสมบัติที่จะได้ชิงตำแหน่งเจินจวินของแคว้น

 

เด็กหนุ่มชุดขาวที่มีพฤติกรรมแปลกประหลาดมาตั้งแต่ต้นกระแอมหนึ่งที เขาที่นั่งอยู่บนธรณีประตูเอ่ยเสียงดังกังวาน “ข้ามาที่นี่ในวันนี้เพราะต้องการจะสอนพวกเจ้าว่าเป็นคนควรทำตัวอย่างไร อืม ถือโอกาสสอนพวกเจ้าทำตัวให้สมเป็นเทพเป็นผีไปด้วยเลยแล้วกัน เฮ้อ เหนื่อยเหมือนกันนะนี่”

 

เด็กหนุ่มเพิ่งจะพูดเกริ่นนำก็ทำสีหน้าท้อแท้เสียแล้ว เพียงแค่เริ่มต้นก็รู้สึกเบื่อ เป็นเหตุให้สามประโยคต่อมา น้ำเสียงของเขาฟังดูแล้วค่อนข้างจะมีแรงแต่ไร้กำลัง

 

“เป็นคน ต้องซื่อสัตย์เที่ยงธรรม สมกับคำว่าชายชาตรีสามารถค้ำฟ้ายันดิน”

 

“เป็นเทพ ในเมื่อต้องช่วงชิงก้านธูปก็ต้องประทานความเมตตาแก่สรรพชีวิต ต่อให้วิถีแห่งเทพจะแหลกสลายไปแล้ว ก็ต้องทำให้แน่ใจว่าควันธูปจะสืบเนื่องไม่ขาดสาย ไม่เดินอย่างเดียวดายอยู่บนเส้นทาง”

 

“เป็นผี ฟ้าดินไม่ต้องการให้ข้ามีชีวิต แต่ข้าจะพิสูจน์ให้เห็นถึงชีวิตอมตะท่ามกลางลมพายุและสายฟ้าวสันตฤดู”

 

พอคำพูดห้าวหาญสวยหรูที่เดิมทียังพอจะมีความนัยลึกซึ้งให้คนขบคิดอยู่บ้างออกมาจากปากของเด็กหนุ่มชุดขาวกลับเปลี่ยนอรรถรสไปอย่างสิ้นเชิง เห็นได้ชัดว่าเป็นคำโอดครวญที่ไร้ซึ่งความจริงใจ

 

เด็กหนุ่มชุดขาวถอนหายใจ เบ้ปาก พูดกับตัวเองว่า “พี่ใหญ่อาเหลียง คำพูดพวกนี้เจ้าพูดน่ะได้ แต่ข้าไม่ได้จริงๆ”

 

เด็กหนุ่มชุดขาวถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนจะลุกขึ้นยืนอีกครั้ง “ช่างเถอะ ไม่เล่นแล้วๆ มาทำธุระสำคัญของข้าดีกว่า”

 

จากนั้นเขาก็หันไปมองมุมหนึ่งที่ไม่มีคนแล้วพูดว่า “มีความสามารถนักหนาแค่ไหนกันเชียวถึงได้กล้าทำตัวผดุงคุณธรรมเลียนแบบคนอื่น? คิดว่าตัวเองคืออาเหลียงจริงๆ หรือ? คราวนี้ล่ะดีนัก จิตวิญญาณแหลกสลาย แสงไฟแกว่งไกว หากไม่เป็นเพราะมาเจอข้าที่เชี่ยวชาญเวทแห่งจิตวิญญาณแล้วล่ะก็ ตอนนี้เจ้าจะได้ไปเป็นผีเร่ร่อนอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ จะได้เห็นแสงอาทิตย์ตอนกลางวันหรือไม่ แล้วยังจะได้เห็นควันผุดออกจากหลุมศพบรรพบุรุษ (เป็นประโยคในทางฮวงจุ้ย ซึ่งถือเป็นลางดี ลางมหามงคล) ของเจ้าหรือไม่ก็ไม่มีทางรู้ได้ แล้วจะหาเรื่องให้ตัวเองลำบากไปทำไม?”

 

หลังจากเด็กหนุ่มชุดขาวยกก้นขึ้นจากธรณีประตูก็ชี้นิ้วกราดใส่ทุกคนที่อยู่เบื้องหน้า “บอกตามตรงนะ ในสายตาของข้า พวกเจ้าทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ก็เป็นแค่มดตัวหนึ่งเท่านั้น”

 

บรรยากาศเงียบสงัด

 

เด็กหนุ่มถาม “ไม่เชื่อหรือ?”

 

ครู่หนึ่งต่อมา จอกเหล้ากลางมือของชายชุดดำก็ระเบิดแตกดังปัง

 

คนทั่วทั้งจวนมหาวารีมีเพียงเทพแม่น้ำท่านนี้ที่เห็นว่าด้านหลังเด็กหนุ่มชุดขาวคล้ายจะมีเทวรูปอริยะสูงใหญ่หลายจั้งองค์หนึ่งยืนตระหง่าน พลังอำนาจแห่งความเที่ยงธรรมยิ่งใหญ่อัดแน่นอยู่ทั่วฟ้าดิน เทวรูปที่ตั้งอยู่เหนือแท่นบูชาอันกำลังหลุบตามองลงมายังสรรพชีวิตที่เป็นดั่งมดตัวเล็กใต้ฝ่าเท้า

 

ริมฝีปากของบุรุษชุดเขียวสั่นระริก กลืนน้ำลายลงคอ

 

ขอบเขตสิบเอ็ด?

 

หรือว่าขอบเขตสิบสอง?

กระบี่จงมา Sword of Coming

กระบี่จงมา Sword of Coming

Status: Ongoing
” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “
เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา
เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม
และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง
ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท