กระบี่จงมา Sword of Coming – บทที่ 154.1 อาจารย์เฒ่านั่งลงถกปัญหา

บทที่ 154.1 อาจารย์เฒ่านั่งลงถกปัญหา

ตอนที่ซิ่วไฉเฒ่าเดินออกมาจากภาพวาดภูเขาและแม่น้ำอีกครั้งก็เห็นว่าเด็กหนุ่มชุยฉานยังคงแกล้งนอนตายอยู่บนพื้น จึงแค่นเสียงหยัน “ไม่ได้เรื่อง”

 

ชุยฉานจ้องเป๋งไปยังม่านฟ้า “มีชีวิตอยู่โดยไม่มีความหวัง ตายเสียยังดีกว่า”

 

ซิ่วไฉเฒ่าเดินเข้าไปใกล้และเตะหนึ่งที “เลิกแสร้งทำตัวน่าสงสารสักที ไม่อยากรู้หรือว่าทำไมเสี่ยวฉีแค่ทำให้ขอบเขตของเจ้าถดถอย ไม่ได้ถอนรากถอนโคนเพื่อความสะใจ?”

 

สายตาของชุยฉานเลื่อนลอย พูดพึมพำ “ตอนนั้นเจ้าถูกไล่ออกจากศาลเจ้าบุ๋น ฉีจิ้งชุนไม่เพียงแต่ไม่เดือดร้อนไปกับเจ้า ขอบเขตกลับยังเพิ่มขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง เดิมทีนี่ก็อธิบายให้เห็นถึงปัญหามากมาย เขาฉีจิ้งชุนมีคุณสมบัติจะก่อตั้งสำนักของตัวเองนานแล้ว แม้ภายนอกจะดูกลมเกลียวกับสายของเหวินเซิ่งอย่างเจ้า แต่ความจริงกลับไม่ใช่ ดังนั้นเขาจึงไม่มีคุณสมบัติให้สังหารข้า จึงหวังให้เจ้าเป็นคนมาจัดการข้าเอง”

 

ซิ่วไฉเฒ่าโมโหความไม่เอาไหนของอีกฝ่ายจึงเตะไปอีกที “ใช้จิตใจของคนถ่อยมาวัดใจวิญญูชน ประโยคนี้ก็พูดถึงคนอย่างเจ้านี่แหละ! ข้าจะนับถึงสาม หากยังไม่ลุกขึ้น เจ้าก็นอนรอความตายอยู่อย่างนี้ไปเถอะ อย่าได้คาดหวังกับมหามรรคาอีกเลย สาม! สอง! สอง สอง…”

 

ชุยฉานตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ลุกขึ้น

 

ทำเอาซิ่วไฉเฒ่าประดักประเดิดยิ่งนัก ได้แต่หันขยิบตาให้เฉินผิงอันมาช่วยคลี่คลายสถานการณ์

 

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ แล้วจึงรับกระบี่ไม้ไหวมาจากมือของหลี่เป่าผิง ก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า พอหยุดยืนอยู่ข้างกายชุยฉานแล้วก็พูดคำว่า “หนึ่ง” ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ครั้นจึงแทงกระบี่ลงไปที่ลำคอของเด็กหนุ่มชุดขาว

 

กำลังมือหนักหน่วง ปลายกระบี่พุ่งสู่เป้าหมายอย่างแม่นยำ แม้แต่ตัวเฉินผิงอันเองก็อาจสัมผัสไม่ได้ว่า หลังจากที่เข้าใจถึงหลักของจิตใจที่มั่นคงจากในม้วนภาพแล้ว ในที่สุดมือทั้งสองข้างก็ตามทันความคิดของเฉินผิงอัน ดังนั้นกระบี่นี้ของเขาจึงแทงได้อย่างเหนือสามัญ กลับยิ่งเฉียบคมเผ็ดร้อน เปี่ยมไปด้วยปราณสังหาร

 

ทำเอาชุยฉานตกใจจนรีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นมา

 

เฉินผิงอันเก็บกระบี่ พยักหน้าให้ซิ่วไฉเฒ่า ความหมายก็คือไฟลนขนคิ้วของท่านผู้เฒ่าดับลงแล้ว

 

ซิ่วไฉเฒ่าถอนหายใจ มองเฉินผิงอันและสตรีชุดขาวที่อยู่ห่างไปไม่ไกล “หาสถานที่เหมาะๆ มาพูดคุยกันหน่อย”

 

จากนั้นซิ่วไฉเฒ่าก็หันไปถลึงตาใส่ชุยฉาน “ตามมา! เกี่ยวข้องกับโอกาสบนมหามรรคาของเจ้า หากยังแสร้งทำเป็นไขสือจะให้เฉินผิงอันใช้กระบี่ฟันเจ้าให้ตายไปเสีย”

 

คนทั้งกลุ่มเดินเข้าไปในลานบ้าน ซิ่วไฉเฒ่าหันมองรอบด้าน ปรายตามอง “ม่านฟ้าเล็ก” ที่กางออกจากใบบัวสีขาวหิมะใบนั้นแวบหนึ่ง ใช้นิ้วทำมุทรา ลังเลอยู่ชั่วครู่ “เข้าไปคุยกันในห้องดีกว่า เฉินผิงอัน มีสถานที่เหมาะๆ บ้างไหม เอาแค่พูดคุยกันได้ก็พอ จะมีหรือไม่มีโต๊ะเก้าอี้ก็ไม่เป็นไร”

 

เฉินผิงอันมองไปยังห้องหลังของหลินโส่วอีที่ดับไฟลงแล้ว อาจเพราะหลินโส่วอีฝึกตนอยู่ในศาลามานานเกินไป ร่างกายเหน็ดเหนื่อยเมื่อยเหนื่อยล้าจึงพักผ่อนแล้ว เขาจึงต้องยอมถอดใจไม่ใช้ห้องใหญ่ที่สุดห้องนี้ หันไปพยักหน้าให้ผู้เฒ่า “ไปที่ห้องของข้าก็แล้วกัน มีแค่หลี่ไหวคนเดียวที่นอนหลับ หากเสียงดังจนเขาตื่นก็ไม่มีปัญหา หลินโส่วอีเป็นผู้ฝึกตนน่าจะมีข้อห้ามมากกว่า พวกเราอย่าไปรบกวนเขาเลย”

 

วิญญาณกระบี่นั่งลงบนเก้าอี้หินในลาน เอ่ยยิ้มๆ “พวกเจ้าคุยกันเถอะ ข้าไม่ชอบฟังเรื่องพวกนี้”

 

สุดท้ายซิ่วไฉเฒ่า เฉินผิงอัน เด็กหนุ่มชุยฉาน หลี่เป่าผิงก็แยกกันนั่งบนม้านั่งสี่ตัวล้อมโต๊ะตัวหนึ่ง หลี่ไหวนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง เขาเป็นเด็กที่นอนได้ไม่นิ่งนัก ตอนนี้จึงนอนพาดเตียงแนวขวาง หัวห้อยออกมานอนขอบเตียง แต่ก็ยังหลับสนิทดี

 

เฉินผิงอันช่วยจัดร่างเขานอนตรงๆ อย่างคนคุ้นชิน เขาสอดเท้าของหลี่ไหวไว้ในผ้าห่ม เหน็บชายผ้าห่มฝั่งแขนซ้ายขวาและปลายเท้าเบาๆ เพื่อไม่ให้ไอร้อนไหลหายไปจากในผืนผ้า สุดท้ายหลี่ไหวจึงเหมือนบ๊ะจ่างที่ถูกห่อ

 

เฉินผิงอันทำเรื่องที่สมเหตุสมผลเหล่านี้เสร็จก็กลับมานั่งบนโต๊ะ หลี่เป่าผิงถามเขาเบาๆ “อาจารย์อาน้อย ทุกคืนท่านต้องช่วยห่มผ้าให้ข้าแบบนี้เหมือนกันใช่ไหม?”

 

เฉินผิงอันตอบยิ้ม “เจ้าไม่ต้อง เจ้านอนได้นิ่งกว่าหลี่ไหวเยอะเลย หัวถึงหมอนก็หลับ พอหลับแล้วก็สามารถนอนอยู่ท่าเดิมไม่กระดุกกระดิกได้ถึงเช้า”

 

หลี่เป่าผิงทอดถอนใจ ใช้กำปั้นทุบฝ่ามือ กล่าวน้ำเสียงเสียดาย “หากรู้แต่แรกตอนเด็กๆ คงไม่ฝึกนอนดี ต้องโทษพี่ชายใหญ่ของข้านั่นแหละที่โกหกข้าว่าถ้านอนนิ่งจะฝันดี”

 

เฉินผิงอันยิ้ม “วันหน้าหากกลับไปถึงบ้านเกิดแล้วข้าต้องขอบคุณพี่ชายใหญ่ของเจ้าสักหน่อยแล้ว”

 

ตลอดทางมานี้ คนในครอบครัวที่หลี่เป่าผิงพูดถึงบ่อยที่สุดก็คือพี่ชายใหญ่คนนี้ ดังนั้นเฉินผิงอันจึงมีความประทับใจที่ดีมากต่อบัณฑิตซึ่งชอบซ่อนตัวอยู่ในห้องหนังสือผู้นี้

 

ซิ่วไฉเฒ่ามองแม่นางน้อย ยิ้มถาม “พี่ชายใหญ่ของเจ้าใช่หลี่ซีเซิ่งที่อยู่บนถนนฝูลวี่หรือไม่?”

 

หลี่เป่าผิงพยักหน้ารับ ถามอย่างกังขา “ทำไมหรือ?”

 

ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะเฮอๆ “ชื่อนี้ตั้งได้ยิ่งใหญ่ไปหน่อย”

 

ตอนที่ฟังมาถึงตรงนี้ ชุยฉานอดกลอกตามองสูงไม่ได้

 

หลี่เป่าผิงค่อนข้างเป็นกังวล “ชื่อมีความหมายยิ่งใหญ่เกินไปเลยไม่ดีงั้นหรือ?”

 

ซิ่วไฉเฒ่ายิ่งอารมณ์ดี ส่ายหน้าตอบ “ตั้งไว้ยิ่งใหญ่ ขอแค่สยบไว้ได้ ย่อมเป็นเรื่องดี”

 

หลี่เป่าผิงคือแม่นางน้อยที่ชอบเสียเวลาครุ่นคิดถึงปัญหาที่ไม่มีความหมายมากที่สุด “ท่านผู้เฒ่า แล้วแบบไหนถึงจะเรียกว่าสยบไว้ได้ล่ะ?”

 

ชุยฉานกลอกตาอีกรอบ จบเห่แล้ว คราวนี้ก็สมใจเขาพอดี ตาเฒ่าที่เป็นถึงอาจารย์ต้องเริ่มถ่ายทอดความรู้ ไขข้อข้องใจให้อีกฝ่ายเป็นแน่

 

แล้วก็จริงดังคาด ผู้เฒ่ากวาดตามองรอบด้าน เมื่อไม่เห็นของขบเคี้ยวที่กินเล่นได้ก็เสียดายเล็กน้อย ก่อนพูดเนิบนาบ “สันดานบริสุทธิ์เมตตา ความรู้ลึกล้ำ คุณธรรมสูงส่ง เดินทางหมื่นลี้ก็คือสยบไว้ได้”

 

แม่นางน้อยวางตราประทับลงบนโต๊ะก่อน ขยับตัวดุกดิกสลัดรองเท้าสานคู่น้อย ยกขานั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้ สองแขนกอดอก พูดหน้านิ่วคิ้วขมวด “แต่พี่ชายใหญ่ของข้าไม่ได้ร้ายกาจอย่างที่ท่านผู้เฒ่าพูดถึงนี่นา ไม่อย่างนั้นข้าควรจะส่งจดหมายกลับบ้านแล้วบอกให้เขาเปลี่ยนชื่อดีไหม?”

 

ชุยฉานจำต้องออกเสียงเอ่ยเตือน “ตาเฒ่า พวกเรามาคุยเรื่องเป็นการเป็นงานกันดีไหม? มหามรรคา มหามรรคา!”

 

หลี่เป่าผิงหยิบตราประทับขึ้นมาเงียบๆ หันตัวอักษรสี่คำที่อยู่ตรงก้นตราประทับเข้าหาตัวแล้วเป่าลมใส่ลงไป

 

ชุยฉานหุบปากฉับทันใด

 

ต่อให้ตบะของผู้เฒ่าจะสูงส่งเทียมฟ้า แต่ก็เป็นคนชอบอธิบายหลักการเหตุผล หน้าด้านหน้าทนก็ทำได้ดี

 

ทว่าเด็กสองคนที่ฉีจิ้งชุนหมายตาอย่างเฉินผิงอันและหลี่เป่าผิงนี้ คนหนึ่งคือเด็กบ้านนอกที่ไม่เคยเรียนหนังสือมาก่อน อีกคนเรียนหนังสือแต่ก็ออกนอกลู่นอกทางไปไกลสิบหมื่นแปดพันลี้ ตอนนี้เขาชุยฉานคือมังกรเกยน้ำตื่นที่ถูกมองเป็นปลา สำหรับหนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่คู่นี้ ต่อให้เขาชุยฉานจะเก่งกล้าห้าวหาญแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ นอกจากจะถูกทุบตีและได้รับความอัปยศแล้วก็ไม่มีผลลัพธ์อย่างอื่นอีก ยิ่งแข็งขืนก็ยิ่งถูกเล่นงานมากเท่านั้น

 

ซิ่วไฉเฒ่าเสกเหล้ามากาหนึ่ง เงยหน้าจิบคำเล็กๆ ปรายตามองตราประทับที่แม่นางน้อยวางกลับลงไปบนโต๊ะอีกครั้งด้วยความรู้สึกเศร้าใจ

 

อันที่จริงคืนนี้ชุยฉานก็รู้สึกแปลกใจมาก แม้ว่าเมื่อก่อนตาเฒ่าจะมีช่วงเวลาที่เปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริงอยู่บ้าง แต่เวลาส่วนใหญ่ก็มักจะวางตัวเป็นคนแก่คร่ำครึเข้มงวด นั่งอยู่ตรงไหนก็เหมือนเทวรูปร่างทองที่ตั้งอยู่บนแท่นบูชา โดยเฉพาะช่วงเวลาที่ความรู้ของเขาได้รับความเลื่อมใสจากผู้คนในราชสำนักมากที่สุด ทุกครั้งที่ตาเฒ่าเริ่มถ่ายทอดความรู้ ไขข้อข้องใจ “นักเรียน” ที่นั่งอยู่เบื้องหลัง เงี่ยหูตั้งใจฟัง เคยมีน้อยกว่าพันคนหรือ? จักรพรรดิ อัครเสนาบดี เทพเซียนบนภูเขา นักปราชญ์ วิญญูชน ผู้คนมากมายหลากหลายฐานะ แม้แต่ชุยฉานที่ทรยศต่ออาจารย์ก็ยังไม่อาจปฏิเสธได้ว่าตาเฒ่าในเวลานั้นเจิดจรัสสะดุดตา ดั่งดวงตะวันจันทราที่ลอยอยู่กลางนภา ส่องประกายแสงสว่างจ้าไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน สยบให้ทางช้างเผือกทั้งเส้นหม่นหมองได้อย่างแท้จริง

 

ทว่าตอนนี้กลับเตะเขาสองครั้ง พอพูดว่าจะเอ่ยถึงมหามรรคากลับยังดื่มเหล้าด้วย?

 

ดูเหมือนชุยฉานไม่สนใจ แต่อารมณ์กลับหนักอึ้ง

 

จะว่าไปแล้วความรู้สึกที่ชุยฉานมีต่อตาเฒ่าที่นั่งอยู่ข้างกายนั้นซับซ้อนอย่างยิ่ง ทั้งเลื่อมใจทั้งเคียดแค้น ทั้งหวาดกลัวทั้งรำลึกถึง เขาชุยฉานที่ในอดีตเป็นลูกศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่ง ไหนเลยจะไม่เคยรู้สึกโมโหที่อีกฝ่ายไม่เอาไหน ไม่เสียใจกับความโชคร้ายที่อาจารย์ของตนต้องเผชิญ?

 

บนเตียง หลี่ไหวงึมงำละเมอ “อาเหลียง อาเหลียง ข้าจะกินเนื้อ! อาเหลียงผีขี้งก ให้ข้าดื่มเหล้าในน้ำเต้าน้อยสักอึกสิ…”

 

หลี่เป่าผิงดวงตาเป็นประกาย เรื่องน่าอายนี้ของหลี่ไหวสามารถเอามาเป็นหัวข้อพูดคุยหลังมื้ออาหารได้หลายวันเลยทีเดียว

 

ชุยฉานที่ได้ยินชื่ออาเหลียงก็ปรายตามองผู้เฒ่าแวบหนึ่ง

 

ซิ่วไฉเฒ่ากระแอมไอ กวาดตามองคนทั้งสามที่นั่งอยู่ “เอาล่ะ เข้าเรื่องกันได้แล้ว เฉินผิงอัน หลี่เป่าผิง พวกเจ้าน่าจะรู้แล้วว่าข้าก็คืออาจารย์ของฉีจิ้งชุน ส่วนชุยฉานก็เคยเป็นศิษย์คนแรกของข้า ศิษย์พี่ใหญ่ของฉีจิ้งชุน ตอนนั้นเพราะข้ามัวแต่รวบรวมความรู้ ดังนั้นการเล่าเรียน การเล่นหมากล้อม ฯลฯ ของฉีจิ้งชุนก็ล้วนเป็นชุยฉานลูกศิษย์คนแรกที่ช่วยสั่งสอนถ่ายทอดแทนอาจารย์อย่างข้า สุดท้ายชุยฉานทรยศต่อสำนัก ทำเรื่องราวมากมายที่เป็นการหลอกลวงลบล้างบรรพจารย์ เป็นเหตุให้ฉีจิ้งชุนต้องตายอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู ชุยฉานถือเป็นคนเล่นหมากล้อมที่คำนวณสถานการณ์บนกระดานหมากไว้เรียบร้อยแล้ว หากจะบอกว่าเขาชุยฉานคือฆาตกรที่สังหารฉีจิ้งชุนศิษย์น้องของเขาก็ไม่เกินจริงแม้แต่น้อย หม่าจานในฐานะหนึ่งในลูกศิษย์ที่ข้าจำชื่อได้ก็เป็นเช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าหม่าจานไม่ใช่คนที่เล่นหมากล้อม แต่เขาคือนักเล่นธรรมดาที่สำคัญมากในกระดานหมากของผู้บงการเบื้องหลัง ก่อนหน้าที่ข้าจะไปถึงเมืองเล็กอันเป็นบ้านเกิดของพวกเจ้า เรือนกายนี้เป็นเพียงแค่สถานที่ที่ชุยฉานฝากจิตให้พักพิงเท่านั้น ชุยฉานที่แท้จริงคือราชครูของราชวงศ์ต้าหลีพวกเจ้า คือตาแก่คนหนึ่งที่มองดูแล้วอายุแทบไม่ต่างจากข้า”

 

ใบหน้าของหลี่เป่าผิงเต็มไปด้วยความเจ็บแค้น โกรธจนตาแดงก่ำ จ้องชุยฉานเขม็ง

 

กลับเป็นเฉินผิงอันที่ทำให้ชุยฉานหวาดผวายิ่งกว่า เพราะเขาหลุบสายตาลงต่ำ มองเห็นสีหน้าไม่ชัด

 

หมาที่กัดคนมักจะไม่เห่า

 

ชุยฉานรู้นิสัยของเฉินผิงอันเป็นอย่างดี เพราะอย่างไรซะเขาก็คอยสังเกตประสบการณ์การเติบโตของเด็กหนุ่มตรอกหนีผิงมายาวนานกว่าหยางเหล่าโถว

 

ชุยฉานพยายามรักษาความสุขุมเยือกเย็น แต่ในใจกลับพร่ำพูดว่า ตายแน่ๆ ตาเฒ่าเจ้าช่างทำร้ายคนได้เจ็บแสบนัก

 

ซิ่วไฉเฒ่ามองไปยังเฉินผิงอัน เปลี่ยนเรื่องพูด “มีเรื่องหนึ่งที่ต้องบอกกับเจ้าไว้ก่อน หากเจ้ารับปากข้าแล้วค่อยทำ ข้าอยากดึงน้ำของสายธารแห่งกาลเวลาช่วงหนึ่งมาจากร่างของเจ้า วางใจเถอะ ไม่ใช่เรื่องที่เป็นส่วนตัวอะไร แค่จะเอามาเป็นตัวเปิดฉากในการพูดคุยคืนนี้ เจ้ายินยอมหรือไม่?”

 

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ได้”

 

ซิ่วไฉเฒ่ายื่นฝ่ามือข้างหนึ่งเข้าหาเฉินผิงอันที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม หมุนข้อมือม้วนชายแขนเสื้อ ไม่นานรอบกายเฉินผิงอันก็มีไอน้ำเป็นเส้นๆ ผุดขึ้นมาแล้วลอยเข้าหาฝ่ามือของผู้เฒ่า สุดท้ายกลายมาเป็นหยดน้ำสีเขียวเข้มโปร่งใสหยดหนึ่ง ผู้เฒ่าพลิกมือ หันฝ่ามือลงด้านล่าง ลูบเบาๆ ลงบนหยดน้ำ น้ำที่อยู่ด้านในจึงไหลลงบนโต๊ะที่อยู่เบื้องล่าง และภาพเหตุการณ์ที่มีชีวิตชีวาเสมือนจริงก็ปรากฏอยู่บนหน้าโต๊ะ

 

หลี่เป่าผิงเบิกตากว้าง สีหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง รีบฟุบคว่ำลงไปบนโต๊ะ “ว้าว อาจารย์อาน้อย นี่มันบนทางภูเขาที่พวกเราเจอผีสาวสวมชุดแต่งงานนี่นา มีข้าด้วยแหละ! ฮ่าๆ ยังคงเป็นหีบหนังสือของข้าที่สวยที่สุด สวยกว่าของหลินโส่วอีกับของหลี่ไหวจริงๆ ท่าทางพวกเขาตอนแบกหีบหนังสือดูทึ่มๆ โง่ๆ เนอะ…”

 

นับตั้งแต่ผีสาวสวมชุดแต่งงานถือร่มกระดาษน้ำมันปรากฎตัวบนทางดินโคลนเส้นเล็ก โคมไฟทยอยกันถูกจุดสว่างไสว ปรากฏเป็นภาพมังกรเพลิงที่ยิ่งใหญ่ตระการตาบนป่าเขา

 

มาจนถึงหลินโส่วอีร่ายใช้ยันต์แผ่นหนึ่งแต่ก็ยังถูกผีบังตา ไม่เพียงแต่ไม่สามารถออกจากขอบเขตของผีสาวได้ กลับยังถูกหลอกไปอยู่เบื้องหน้าจวนที่แขวนป้ายคำว่า “น้ำสวยลมเย็น”

 

สุดท้ายเว่ยจิ้นเซียนกระบี่แห่งศาลลมหิมะตวัดหนึ่งกระบี่ทำลายหมื่นอาคม เยื้องกรายมาถึงอย่างสง่างาม ทำลายสถานการณ์ที่ชะงักค้าง พาคนทั้งกลุ่มไปจากที่นั่นได้สำเร็จ

 

—–

กระบี่จงมา Sword of Coming

กระบี่จงมา Sword of Coming

Status: Ongoing
” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “
เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา
เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม
และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง
ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท