รถม้าที่เกาเซวียนมอบให้คันนั้นยังไม่มาถึงเสียที สีสนธยาเข้มข้นมากแล้วเพิ่งจะตามมาทันเฉินผิงอัน สารถีคือผู้เฒ่าหน้าขาวไร้หนวดเคราคนนั้นซึ่งเคยติดตามองค์ชายต้าสุยเดินทางไปเยือนถ้ำสวรรค์หลีจู เคยได้พบกับเฉินผิงอันมาแล้วสองครั้ง เพียงแต่เมื่อเทียบกับความกระตือรือร้นของเกาเซวียนแล้ว ผู้เฒ่ากลับมีสีหน้าเย็นชา พอส่งมอบรถม้าเสร็จก็เดินเท้ากลับเมืองหลวงทันที ขันทีเฒ่าหันหน้ากลับมามองชุยฉานอยู่หลายครั้ง ชุยฉานมัวง่วนอยู่กับการมองประเมินความอุดมสมบูรณ์ของม้าตัวนั้นพลางจุ๊ปากชื่นชมไม่หยุด สัมผัสไม่ได้ถึงสายตาตรวจสอบของผู้เฒ่าเลยแม้แต่น้อย
ชุยฉานกระโดดขึ้นรถม้า เป็นฝ่ายรับผิดชอบหน้าที่สารถีเสียเอง หันไปกวักมือเรียกเฉินผิงอัน “อาจารย์ ไม่มีใครเล่นตุกติกกับรถม้ามาก่อน พวกเราใช้มันเดินทางขึ้นถนนได้อย่างสบายใจ”
ชุยฉานตบบ้องหูตัวเอง “เดินทางขึ้นถนนอะไรกัน (上路คำนี้สามารถแปลได้ว่าเดินทางทั่วไป และยังหมายถึงการเดินทางบนถนนที่นำไปสู่ปรโลกของคนตายได้ด้วย) อัปมงคลเกินไปแล้ว รีบเดินทางๆ”
เฉินผิงอันกวาดตามองรอบด้าน สีท้องฟ้ามืดมากแล้ว เนื่องจากในเมืองหลวงห้ามเข้าออกยามวิกาล ทางหลวงที่ตอนกลางวันมีผู้คนสัญจรขวักไขว่ไม่ขาดสายจึงว่างเปล่าเงียบสงัดอย่างเห็นได้ชัด
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าจะฝึกเดินนิ่ง เจ้าขับรถไปเถอะ แค่อย่าเร็วเกินก็พอ ข้าจะได้ตามทัน”
ชุยฉานรู้สนิสัยดึงดันของเฉินผิงอัน จึงไม่เปลืองน้ำลายอีก ค่อยๆ ขับเคลื่อนรถม้าไปเบื้องหน้า เขาดื่มเหล้าแล้วตะโกนขึ้นมาเสียงดัง “ร้อยเรื่องยุ่งพันเรื่องกลุ้ม สุดท้ายแล้วหมื่นเรื่องล้วนหยุดนิ่ง อากาศเย็นแล้ว เป็นฤดูใบไม้ร่วงที่ดี ฤดูใบไม้ร่วงที่ดี!”
เฉินผิงอันเดินตามมาด้านหลังรถม้าเงียบๆ ฝึกท่าเดินนิ่งหกเก้าของตำราหมัดเขย่าขุนเขาซ้ำไปซ้ำมา เดินนิ่งและยืนนิ่งสองอย่างนี้ เขาฝึกคล่องจนขึ้นใจมานานแล้ว
พอถึงกลางดึกชุยฉานก็พูดจ้อเลื่อนเปื้อนไม่หยุด คัมภีร์ลัทธิขงจื๊อก็อ่าน กาพย์กลอนก็ท่อง ปนกันมั่วซั่วหลากหลาย ปากก็ไม่เคยได้หยุดเฉย
สุดท้ายแม้แต่ประโยคว่า “ข้ามีลาแก่ตัวหนึ่งที่ไม่เคยขี่” ก็ยังท่องออกมา ฟังมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันที่ยืนหยัดมาได้เกือบหนึ่งชั่วยามพ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาหนึ่งครั้ง หยุดการเดินนิ่ง เอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะขึ้นไปพักบนรถสักครู่”
ขึ้นรถมา วางตะกร้าไม้ไผ่ไว้ในห้องโดยสาร เฉินผิงอันถึงได้ค้นพบว่าตรงมุมหนึ่งวางขวดและไหกองกันเป็นภูเขาลูกย่อม เพียงแต่ว่ารอบด้านมืดมิดจึงมองเห็นไม่ชัดว่าเป็นวัตถุชนิดใด ชุยฉานที่ขับรถม้าเอ่ยยิ้มๆ ว่า “มีสุราดีอยู่หลายไห มีโอสถที่ใช้รักษาอาการบาดเจ็บของผู้ฝึกลมปราณลัทธิเต๋า แม้แต่ผงประทินโฉมก็มี เกาเซวียนผู้นี้ก็น่าสนใจไม่น้อย บอกตามตรงว่าหากไม่นับว่าเป็นศัตรูอยู่คนละฝ่ายกัน เมื่อเทียบกับน้องชายแท้ๆ ของซ่งจี๋ซินสหายเจ้า หรือก็คือลูกศิษย์ของข้าในอดีต เกาเซวียนผู้นี้ถือว่า…นับถือกับนักปราชณ์ราชบัณฑิตมากกว่า?”
เฉินผิงอันที่นั่งเบี่ยงตัวห้อยขาสองข้างออกนอกรถอยู่ด้านหลังชุยฉานส่ายหน้า “ซ่งจี๋ซินไม่เคยเป็นเพื่อนของข้า”
ชุยฉานขัดคอ “ถ้าอย่างนั้นซ่งจี๋ซินที่ตอนนี้เปลี่ยนชื่อเป็นซ่งมู่คงต้องเสียใจแย่ ก่อนหน้าที่เขาจะออกมาจากตรอกหนีผิง ฉีจิ้งชุนมอบตราประทับ ‘ใต้หล้ารับวสันต์’ ให้กับจ้าวเหยา มอบหนังสือให้ซ่งจี๋ซินหกเล่ม หนังสือเบ็ดเตล็ดสามเล่มได้แก่ วิชาคำนวณ ‘จิงเวย’ ศาสตร์หมากล้อม ‘เถาหลี่’ รวมบทความ ‘ซานไห่เช่อ’ หนังสือชั้นประถมวัยสามเล่มที่ฉีจิ้งชุนเลือกมาด้วยตัวเองอย่าง ‘เสี่ยวเซวี๋ย’ ‘หลี่เยว่’ และ ‘กวานจื่อ’ ซ่งจี๋ซินนั้นมีความรู้สึกที่ซับซ้อนต่ออาจารย์อย่างท่านอย่างมาก แล้วก็น่าจะเพราะอยากทำให้ตัวเองสบายใจ ตอนที่จากมาถึงได้ทิ้งหนังสือสามเล่มหลังไว้บนโต๊ะในห้อง เจตนาเดิมก็เพื่อมอบให้เจ้าเฉินผิงอัน แต่ความซับซ้อนในหัวใจคนก็อยู่ที่ อันที่จริงซ่งจี๋ซินก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่า ต่อให้ท่านอาจารย์ได้กุญแจบ้านที่เขาทิ้งไว้ในลานบ้านของท่านไป ท่านก็ไม่มีทางเข้าไปหยิบตำราเหล่านั้นมาโดยพลการเด็ดขาด ทว่ากลับทำให้เขามโนธรรมในใจของเขาซ่งจี๋ซินข้ามผ่านอุปสรรคเล็กๆ ไปได้ อาจารย์ เจ้าหมอนี่ฉลาดมากเลยใช่ไหมล่ะ”
ชุยฉานเล่าความลับที่ไม่มีใครรู้ แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เขาไม่ได้เอ่ยออกมา
เรื่องหนังสือที่เขาเดาได้นั้น แท้จริงแล้วฉีจิ้งชุนคาดการณ์มาได้ตั้งนานแล้วว่าซ่งจี๋ซินจะไม่เห็นค่าของหนังสือประถมวัยสามเล่มนั้น และจะเลือกทิ้งมันไว้ให้กับเฉินผิงอัน
หมากล้อม การวางแผน การคาดเดาใจคน เมื่อก่อนชุยฉานนึกว่าตัวเองเก่งกาจเหนือกว่าฉีจิ้งชุน ตอนนี้ลองมาย้อนนึกดู แน่นอนว่าเป็นความคิดที่ผิดมหันต์
เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ “ซ่งจี๋ซินฉลาดมากมาโดยตลอด”
ชุยฉานถามด้วยความสงสัย “ความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับเขาแข็งค้างขนาดนั้น เป็นเพราะเขาหลอกให้อาจารย์ต้องผิดคำสาบานรึ?”
เฉินผิงอันไม่พูดอะไร
ชุยฉานเอ่ยยิ้มๆ “อย่าโทษว่าข้าปากมาก แล้วก็ไม่ใช่ว่าจงใจพูดแก้ตัวให้กับซ่งจี๋ซิน ข้าแค่จะบอกความจริงให้ท่านรู้ ไม่ว่าถูกหรือผิด แต่อันที่จริงแล้วซ่งจี๋ซินทำเช่นนั้นก็เพราะมีเหตุผล และเหตุผลนั้นก็ง่ายมาก ซ่งจี๋ซินอยู่ดีกินดี ไม่ว่าเรื่องไหนก็ล้วนเหนือกว่าท่านอาจารย์ ภายหลังมีสาวใช้อยู่ร่วมบ้านคอยให้การปรนนิบัติ ไม่ว่าจะด้านการเรียน หมากล้อมหรือการเขียนพู่กันก็ล้วนเชี่ยวชาญ แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ ปมในใจบางปมของเขากลับยิ่งขยายใหญ่มากขึ้น”
ในที่สุดเฉินผิงอันก็ยอมเปิดปาก “ตอนนั้นเขาถูกเข้าใจผิดว่าเป็นบุตรนอกสมรสของขุนนางงานตรวจเตาเผา จึงถูกเพื่อนบ้านนินทาลับหลังมาตั้งแต่เด็ก คำพูดคำด่าเหล่านั้นหยาบคายระหายหูอย่างมาก”
ชุยฉานพยักหน้ารับ “เพราะฉะนั้นทุกวันที่ซ่งจี๋ซินเห็นท่านอาจารย์จึงมักจะคิดว่า ‘อาศัยอะไรเจ้าเฉินผิงอันคนที่ยากแค้นจนเกือบหิวตายถึงมีพ่อมีแม่กับเขา แต่ข้าซ่งจี๋ซินกลับไม่มี? ถึงขั้นที่ไม่รู้แม้แต่ชื่อแซ่ของแม่ตัวเอง?’”
ชุยฉานโคลงศีรษะ “เรื่องที่ทำให้ซ่งจี๋ซินรับไม่ได้มากที่สุดก็คืออาจารย์ท่านมีชาติกำเนิดน่าเวทนาถึงเพียงนี้ แต่ในสายตาของเพื่อนบ้านอย่างซ่งจี๋ซินแล้วกลับเหมือนว่าจะมีชีวิตที่มีความสุขยิ่งกว่าเขา กินอิ่มแล้วหัวถึงหมอนก็หลับได้ทันที นอนอิ่มแล้วก็ลุกขึ้นมาทำงาน นี่ทำให้ซ่งจี๋ซินรู้สึกคันในหัวใจยิบๆ ครั่นเนื้อครั่นตัวไม่เป็นสุข ในเมื่อเขาไม่เป็นสุข จึงไม่อยากให้ท่านมีความสุข เขารู้ดีว่าสิ่งที่ท่านให้ความสำคัญที่สุดคืออะไร จึงต้องการให้ท่านสูญเสียสิ่งนั้นไป”
เฉินผิงอันนึกถึงคืนนั้นที่ฝนตกแรงในตรอกหนีผิง นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาอยากฆ่าคน ตอนนั้นซ่งจี๋ซินเกือบจะถูกเขาบีบคอตายอยู่ตรงผนังของตรอก
หลินเสี้ยนหยางที่แอบหนีออกมาจากโรงเตาเผาพร้อมกับเขาอาจจะหลบอยู่ไกลๆ แล้วเห็นภาพเหตุการณ์นี้เข้า ดังนั้นหนึ่งเดือนต่อมา หลิวเสี้ยนหยางถึงไม่ค่อยกล้าพูดกับเขา ทำเอาเฉินผิงอันกลัดกลุ้มอยู่เป็นนาน
ชุยฉานทอดถอนใจปลงอนิจจังกับตัวเองต่อไป “เรื่องบางเรื่องที่เชื่อมโยงกับนิสัยของเด็กบางคน ทั้งน่ากลัวและน่าขัน แล้วก็ทั้งน่ารังเกียจและน่าสงสาร เพราะไม่ใช่แค่เด็กเท่านั้นที่มีนิสัยของเด็ก บุคคลยิ่งใหญ่ที่กุมอำนาจอยู่ในตำแหน่งสูงหลายคนก็สามารถทำตัวปัญญานิ่มกับเรื่องใหญ่บางเรื่องโดยไม่สนเหตุสนผลใดๆ ได้เช่นกัน”
มือทั้งสองข้างของเฉินผิงอันทำท่าเจี้ยนหลู ไม่ได้ฝึกฝน แต่เป็นการกระทำที่เกิดจากธรรมชาติของความเคยชินเท่านั้น เขากล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ “เรื่องนี้ทำให้ข้าเกลียดแค้นซ่งจี๋ซินก็จริง แต่เรื่องที่ทำให้ข้าไม่ชอบซ่งจี๋ซินจริงๆ กลับไม่ใช่เรื่องนี้”
ชุยฉานใคร่รู้อย่างยิ่ง ถึงกับหันหน้ามาถามอย่างอดไม่ไหว “แล้วเรื่องอะไรล่ะ?”
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “ครั้งที่หลิวเสี้ยนหยางเกือบจะถูกคนซ้อมจนตาย ซ่งจี๋ซินกลับนั่งยองอยู่บนกำแพง คอยพัดลมกระพือไฟ ราวกับอยากจะให้หลิวเสี้ยนหยางถูกคนต่อยตีจนตายไปทั้งเป็น คนแบบนี้ น่ากลัว…มาก”
ชุยฉานเงียบงัน
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้น สายตาทอดมองไปยังทิศไกล “บ้านเกิดของพวกเรามีประโยคของท้องถิ่นอยู่คำหนึ่งบอกว่า มองคนแบกหาบนั้นไม่เหนื่อย ข้ารู้สึกว่าไม่มีอะไร แต่หากเพียงแค่เพราะรู้สึกว่าเป็นเรื่องสนุกแล้วทำตัวเลวร้ายถึงขนาดใส่หินลงไปในคานหาบของคนอื่น คนแบบนี้ จะรับเป็นเพื่อนได้อย่างไร?”
ชุยฉานเอ่ยเย้า “ซ่งจี๋ซินไม่ได้ใส่หินลงไปในตะกร้าหาบที่ท่านหาบอยู่สักหน่อย และในความเป็นจริงแล้ว ลึกๆ ในใจของซ่งจี๋ซินก็หวังอย่างยิ่งว่าจะได้เป็นเพื่อนของท่าน เพราะเขาฉลาดมากพอ กระจ่างอยู่แก่ใจตัวเองอย่างถึงที่สุดว่าควรจะเป็นเพื่อนกับคนแบบไหน ยกตัวอย่างเช่นเขาดูแคลนจ้าวเหยาที่ฉลาดสู้ตัวเองไม่ได้ แต่ก็ยังเลือกที่จะกระชับความสัมพันธ์ พยายามตีสนิทกับอีกฝ่าย”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าไม่ชอบคนแบบนี้”
อยู่ดีๆ ชุยฉานก็เอ่ยคำพูดที่มาจากใจจริง ถ้อยคำหวังดี “คนอย่างท่าน วันหน้าจะต้องมีคนอีกมากที่ไม่ชอบ”
เฉินผิงอันยิ้ม “ข้าจะต้องการให้คนมากมายชื่นชอบไปทำไม คนหนึ่งกินอิ่ม ทั้งครอบครัวไม่ทุกข์ร้อน อีกอย่างข้าก็ไม่ได้ต้องการอะไรจากคนอื่น”
ชุยฉานหันไปยกนิ้วโป้งให้เฉินผิงอัน “อาจารย์ อย่างท่านนี่เรียกว่าหน้าผาสูงชะโงกเงื้อมพันจั้ง ไม่โลภมาก ใจย่อมแข็งแกร่ง! ศิษย์อย่างข้านับถือ นับถือ!”
เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ “ข้ารู้ว่าเจ้าหลอกถามข้า อยากตรวจสอบในเรื่องบางอย่างที่ข้าไม่รู้ แต่ไม่เป็นไร ได้พูดเรื่องพวกนี้ ในใจข้ารู้สึกดีขึ้นมาก”
ชุยฉานหัวเราะหึหึ “อาจารย์ท่านช่างทรงปัญญาแต่แสร้งโง่ แต่ศิษย์อย่างข้าคือบรมโง่แต่อวดฉลาด พวกเราต่างก็เรียนรู้ขัดเกลากันและกัน วันหน้าเมื่อร่วมมือกัน ย่อมไม่พ่ายแพ้ให้แก่ผู้ใดในใต้หล้า”
เฉินผิงอันถามขึ้นอย่างกะทันหัน “เจ้ารู้จักอาเหลียงใช่ไหม? เพลงท่อนที่บอกว่าลาเฒ่านั่น เมื่อก่อนอาเหลียงก็เคยร้อง”
ชุยฉานหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย อืมรับหนึ่งที “รู้จักมาเมื่อนานมากแล้ว รู้จักเขาก่อนฉีจิ้งชุนเล็กน้อย แล้วก็ยิ่งรู้จักก่อนหน้าพวกหม่าจาน เหมาเสี่ยวตงเป็นนาน ตอนที่ข้าดื่มเหล้าร่วมกับตาแก่นี่ พวกเขาอาจจะยังมัวเล่นดินโคลนอยู่ที่ไหนกันก็ได้”
—–