เฉินผิงอันเดินออกไปนอกประตูเมืองแล้วยืนพักอยู่ข้างถนนทางหลวงที่มีคนเดินเท้าสัญจรไม่ขาดสาย ห่างออกไปไม่ไกลมีร้านน้ำชาอยู่ร้านหนึ่ง
เฉินผิงอันลังเลอยู่ชั่วครู่ก็เดินไปซื้อน้ำชาหนึ่งถ้วยแล้วนั่งลงดื่ม
เด็กหนุ่มที่แทบจะไม่เคยเสียใจกับเรื่องใดเริ่มรู้สึกเสียใจภายหลังที่ตัวเองออกมาจากเมืองหลวงต้าสุยเร็วเกินไป
ก็เหมือนอย่างที่ชุยฉานพูด หากพวกเป่าผิงถูกคนรังแก แล้วเขาไม่ได้อยู่ข้างกาย พวกเขาจะทำอย่างไร?
โลกทัศน์ของเฉินผิงอันไม่กว้างไกลนัก แต่สำหรับความดีเลวของใจคน ใช่ว่าเขาจะมองไม่ออก เพราะนับตั้งแต่เด็กก็มีชีวิตที่ยากแค้น ในอดีตเขาก็แค่คิดอยากจะมีชีวิตอยู่อย่างเดียวเท่านั้นจริงๆ อายุน้อยๆ ก็มีกลยุทธ์เอาตัวรอดมากมาย ดังนั้นเฉินผิงอันจึงเข้าใจหลักการที่ว่าชีวิตคนไม่อาจสมปรารถนาไปได้ทุกเรื่อง รวมไปถึงด้านอัปลักษณ์ในใจคนได้ดียิ่งกว่าพวกหลี่เป่าผิง หลี่ไหวและหลินโส่วอีสามคน
โดยเฉพาะครั้งนี้ที่ได้เดินทางร่วมกับชุยฉาน อาศัยการพูดคุยเรื่อยเปื่อยกับนักเรียนที่ได้มาเปล่าๆ คนนี้ เฉินผิงอันก็ยิ่งเข้าใจเรื่องหนึ่ง ไม่ใช่ว่ายิ่งหมวกขุนนางใหญ่ คนก็ยิ่งฉลาด แล้วก็ไม่ใช่ว่าความรู้มาก คนก็จะยิ่งนิสัยดี
เฉินผิงอันดื่มชา มองไปทางกำแพงเมืองแล้วตัดสินใจกับตัวเองเงียบๆ
……
ภูเขาตงหัว สำนักศึกษาซานหยา ในห้องโถงขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่แขวนป้ายคำว่า “ซงเทา” คนในโลกมนุษย์มักจะชอบเรียกว่าเรือนพักนักปราชญ์หรือบ้านพักอาจารย์
ใต้เท้าเจ้ากรมพิธีการต้าสุยที่เป็นเจ้าขุนเขาในนามคนปัจจุบันกำลังดื่มชา นานๆ จะได้อู้งานสักที สีหน้าของเขาจึงผ่อนคลาย ในบรรดาอาจารย์สอนหนังสือของสำนักศึกษาเจ็ดแปดคนที่นั่งอยู่ อายุของแต่ละคนต่างก็ไม่น้อยแล้ว รองเจ้าขุนเขาทั้งสามท่านต่างก็อยู่กันครบ ผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อที่ใบหน้าเป็นรูปสี่เหลี่ยมคนหนึ่งในนั้นทนมานาน ในที่สุดก็เปิดปากบ่นอย่างอดไม่ไหว “เด็กๆ พวกนี้เหลวไหลกันเกินไปแล้ว!”
ราวกับคำวิจารณ์ว่าเหลวไหลหลุดออกจากปากมาแล้ว อาจารย์ผู้เฒ่ายังคงไม่หายโมโห จึงไปอีกหนึ่งประโยคว่า “ดื้อรั้นเกเร!”
ต้องรู้ว่ารองเจ้าขุนเขาท่านนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้มากความรู้ที่รับผิดชอบบรรยายในการประชุมครั้งใหญ่ของสำนักศึกษาแห่งใหม่ อีกทั้งยังมีสถานะเป็น “วิญญูชน” ที่แท้จริง นามของผู้เฒ่าถูกบันทึกไว้ในโรงเรียนแห่งหนึ่งของลัทธิขงจื๊อนานแล้ว ดังคำนั้นคำพูดที่เขาเอ่ยออกมาจึงมีน้ำหนักมากกว่าผู้มีชื่อเสียงในวงการวรรณกรรม หรือเจ้าสำนักซื่อหลิน (ในสมัยโบราณหมายถึงวงการวิทยาการ วงการแห่งความรู้) มากนัก
เจ้ากรมพิธีการคือผู้เฒ่าหน้าตาใจดีคนหนึ่งที่เรือนกายเล็กเตี้ย รูปโฉมไม่สะดุดตา หากไม่เป็นเพราะสวมใส่ชุดขุนนางที่ไม่ทันมีเวลาถอด ก็ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่านี่คือขุนนางระดับสูงขั้นสองชั้นเอกอันเป็นแกนกลางของราชสำนัก อีกทั้งยังเป็นขุนนางผู้ดูแลด้านภาษาและวัฒนธรรมของต้าสุย เมื่อเทียบกับต้าหลีที่ยกตำแหน่งขุนนางฝ่ายโหราศาสตร์ให้เป็นตำแหน่งของเจ้ากรมขุนนางแล้ว ต้าสุยกลับยกให้แก่กรมพิธีการ
ผู้เฒ่าไม่รู้สึกว่าคำพูดของรองเจ้าขุนเขาทำให้เสียอารมณ์ ยังคงหัวเราะเฮอๆ “ไหนลองว่ามาสิ ว่าเกเรอย่างไร”
รองเจ้าขุนเขาพูดด้วยน้ำเสียงโมโหโทโส “หลินโส่วอีพรสวรรค์ดีเยี่ยม พื้นฐานความรู้ด้านคัมภีร์ก็ไม่เลว ปูมาได้แน่นหนา ทว่านิสัยนั้นของเขา เฮ้อ มักจะชอบหนีเรียนไปหาหนังสือเบ็ดเตล็ดอ่านที่หอหนังสือ อ่านไปอ่านมากลับไม่เคยพลิกเปิดคัมภีร์ขงจื๊อเลยแม้แต่ครึ่งเล่ม กลับกลายเป็นว่าอ่านคัมภีร์ลับลัทธิเต๋านอกรีตจำนวนมาก เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่วันนี้เขาก็อ่านไปมากถึงยี่สิบสามสิบเล่มแล้ว มีอย่างที่ไหนกัน ยังไม่ทันใช่ศิษย์ลัทธิขงจื๊อก็อ่านตำราลัทธิเต๋าซะแล้ว เพียงแต่ว่าอายุยังน้อยแค่นี้ ไหนเลยจะมีคุณสมบัติให้พูดถึงเรื่องการได้ข้อคิดจากเหตุการณ์ประเภทเดียวกัน หากเดินไปทางผิด เราจะมีหน้าไปพบ…อดีตเจ้าขุนเขาได้อย่างไร?”
ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยพยักหน้ารับเบาๆ ความเร็วในการดื่มชาช้าลงอย่างเห็นได้ชัด
ยิ่งพูดรองเจ้าขุนเขายิ่งพูดก็ยิ่งหงุดหงิด “ยังมีนังหนูหลี่เป่าผิงนั่นที่ยิ่งไร้ระเบียบไม่เกรงกลัวสวรรค์ ตอนเรียนนางมักจะนั่งเหม่อลอย ไม่รู้จักให้ความเคารพต่อครูบาอาจารย์เลยแม้แต่น้อย หากไม่เอาแต่อ่านบันทึกท่องเที่ยวภูเขาแม่น้ำก็วาดคนตัวน้อยลงบนหนังสือ หึ ดียิ่งนัก รูปนั่นยังเป็นคนฝึกยุทธ์ที่ทำท่าป่าเถื่อนด้วย!”
ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยข่มกลั้นเสียงหัวเราะ ไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ เพียงก้มหน้าดื่มชาเงียบๆ
รองเจ้าขุนเขายังพูดต่อไป “หลี่ไหวที่อายุน้อยสุด…กลับว่าง่ายไม่น้อย ไม่โดดเรียน ไม่ก่อเรื่อง การบ้านที่อาจารย์มอบให้เขาก็ทำส่งทุกครั้ง แต่ทำไมถึงได้รู้สึกว่าสติปัญญาของเขานั้น…กลับเหมือนตะปมไม้แข็งทื่อที่ไม่ความฉลาดเฉลียวเอาซะเลย? เวลาเรียนมักจะสัปหงก เลอะๆ เลือนๆ บนโต๊ะเต็มไปด้วยคราบน้ำลาย ไหนเลยจะมีบุคลิกของลูกศิษย์ผู้สืบทอดของอดีตเจ้าขุนเขา เฮ้อ สร้างความกลัดกลุ้มให้ข้าผู้อาวุโสยิ่งนัก”
รองเจ้าขุนเขาท่านหนึ่งที่อายุค่อนข้างน้อยกล่าวเย้า “ใต้เท้าเจ้ากรม เจ้าขุนเขาหลิวของพวกเรากลัดกลุ้มจนหนวดร่วงไปหลายเส้นเลยนะ”
ผู้เฒ่าหน้าสี่เหลี่ยมโต้กลับด้วยสีหน้าจริงจัง “แค่รองเจ้าขุนเขา!”
ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยหัวเราะเสียงดังกังวาน เบี่ยงตัววางถ้วยชาลงแล้วถามว่า “ไม่มีข่าวดีบ้างเลยหรือ? หากยังเป็นอย่างนี้ต่อไป ครั้งหน้าข้าคงไม่กล้ามาแล้ว”
ผู้เฒ่าหน้าเหลี่ยมอารมณ์ดีขึ้นมาเล็กน้อย พยักหน้ารับ “มี แปลกจริงๆ กลับเป็นเด็กหนุ่มเด็กสาวอย่างอวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยต่างหากที่โดดเด่นอย่างมาก เหมือนกับเมล็ดพันธ์บัณฑิตของลัทธิขงจื๊อเสียยิ่งกว่า พฤติกรรมทุกอย่างล้วนปกติ เวลาปกติก็นับว่าให้ความเคารพครูบาอาจารย์ โดยเฉพาะเด็กหนุ่มอวี๋ลู่ที่อ่อนโยนและประหยัดมัธยัสถ์ และดูเหมือนว่าจะมีค่าแก่การอบรมปลูกฝังยิ่งกว่าลูกหลานที่มีความสามารถของตระกูลใหญ่โตอันดับต้นๆ ของต้าสุยเราเสียอีก”
ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยยังคงไม่รีบร้อนด่วนสรุป ยิ้มตาหยีมองไปยังผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่คนหนึ่งแอบงีบหลับอยู่ตลอดเวลา “เหมาเหล่า เจ้าว่าอย่างไร?”
ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ที่ตรงเอวห้อยไม้บรรทัดยาวสีแดงที่มีเอกลักษณ์ หลังจากถูกเรียกชื่อ เขาก็สะดุ้งโหยง ลืมตาขึ้นพูดอย่างมึนงง “อะไร? ใต้เท้าเจ้ากรมจะไปแล้วรึ? ไม่อยู่ต่ออีกหน่อยเล่า?”
เจ้ากรมพิธีการยังคงยิ้มตาหยี “ในเมื่อเหมาเหล่าอุตส่าห์รั้งไว้อย่างกระตือรือร้น ต้องการให้ข้าอยู่ต่ออีกสัก งั้นข้าก็จะอยู่ต่อ?”
ในเรือนพักของอาจารย์พลันเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ
ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยเล่าคำบ่นเมื่อครู่นี้ของรองเจ้าขุนเขาง่ายๆ อีกรอบอย่างอดทน ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่แซ่เหมาฟังจบแล้วก็ทำสีหน้ากระจ่างแจ้ง “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง ถ้าอย่างนั้นข้าก็มีเรื่องให้ต้องพูดอยู่บ้างเหมือนกัน”
ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยหยอกเย้า “ข้าล้างหูรอฟังแล้ว”
ผู้เฒ่าตัวสูงใหญ่ยืดตัวนั่งตรง เอ่ยถามว่า “ความรู้ของฉีจิ้งชุนมีมาก หรือความรู้ของทุกท่านที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้ที่มากกว่า?”
เงียบกริบไร้เสียงตอบรับ
นี่มันคำพูดไร้สาระอันใด?
ผู้เฒ่าสูงใหญ่ถามอีก “ถ้าอย่างนั้นเป็นฉีจิ้งชุนที่สายตาดี หรือเป็นพวกท่านที่สายตาดี?”
นั่นไง ยังเป็นคำพูดไร้สาระอยู่ดี
รองเจ้าขุนเขาใบหน้ารูปสี่เหลี่ยมนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ก็ไม่ได้โต้กลับในทันที แต่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่แผ่วต่ำลงจากเดิม “เหมาเหล่า ถ้ำสวรรค์หลีจูซึ่งอยู่ในอำเภอหลงเฉวียนของต้าหลีมีขนาดใหญ่แค่นั้น ว่ากันว่ามีคนอยู่ทั้งหมดแค่ห้าหกพันคน เด็กนักเรียนที่เหมาะให้เรียนชั้นประถมย่อมมีไม่มาก อยู่ที่นั่นอาจารย์ฉีจึงไม่มีโอกาสให้เลือกหรือเปล่า?”
ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ก็คือเหมาเสี่ยวคงแห่งสำนักศึกษา เมื่อครั้งที่สำนักศึกษาซานหยาเพิ่งเริ่มก่อสร้างที่ต้าหลีก็เป็นคนผู้นี้ที่คอยให้ความช่วยเหลือฉีจิ้งชุนทีละเล็กทีละน้อย ไม่ว่าจะเป็นตบะ วัยวุฒิหรือความรู้ก็ล้วนสมกับเป็นอันดับหนึ่งของสำนักศึกษา ดังนั้นไม่ว่าใครก็ตาม ซึ่งรวมถึงตัวเจ้ากรมพิธีการเองด้วยก็ยังยินดีเรียกเขาอย่างให้เกียรติว่าเหมาเหล่า (เหล่าแปลว่าแก่ ชรา ในที่นี้จึงแทนความหมายว่าผู้อาวุโส)
เหมาเสี่ยวตงได้ยินคำถามของรองเจ้าขุนเขาแล้วก็เอ่ยยิ้มๆ “แน่นอนว่าอาจจะเป็นไปได้ อีกทั้งยังไม่ใช่แค่คำว่า ‘อาจ’ เท่านั้น เพราะมันคือเรื่องจริงแท้แน่นอน!”
ทุกคนอึ้งตะลึงกันไปหมด
เหมาเสี่ยวตงกวาดตามองไปรอบด้าน “เป็นต้าสุยของพวกเจ้าที่ต้องการเด็กเหล่านี้ ทางที่ดีที่สุดคือให้พวกเขาทุกคนเป็นอัจฉริยะบุคคล ปลดปล่อยรัศมีเจิดจำรัส และเมื่อพวกเขาเติบใหญ่ขึ้นก็จะพยายามทำให้พวกเขาเป็นฝ่ายเลือกที่จะอยู่ในราชสำนักของต้าสุย จะได้ถือโอกาสช่วยพวกเจ้าตบหน้าต้าหลี แต่ข้ากลับไม่มีความคิดที่น่าเบื่อหน่ายเหล่านี้…”
เจ้ากรมพิธีการรีบกระแอมเบาๆ สองที จากนั้นจึงถือโอกาสยกถ้วยชาขึ้นมา แล้วก้มหน้าจิบแก้เก้อ
ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ยังคงพูดต่อไปอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด “หากเปลี่ยนมาเป็นข้า จะปล่อยให้พวกเด็กน้อยที่ฉีจิ้งชุนสอนมาเองกับมือเหล่านั้นกินในสิ่งที่ควรกิน ดื่มในสิ่งที่ต้องดื่ม พวกเขาเต็มใจอยากเรียนก็เรียน อยากจะแอบขี้เกียจก็ขี้เกียจไป วันหน้าพวกเขาจะประสบความสำเร็จหรือไม่ ข้าคร้านจะสนใจ ในฐานะที่ข้าเป็นรองเจ้าขุนเขาผู้ดูแลกิจธุระในสำนักศึกษา มีลูกศิษย์ที่ต้องดูแลมากมาย ภายหน้าก็มีแต่จะเพิ่มมากขึ้นในแต่ละปี ไหนเลยจะมีเวลาและเรี่ยวแรงให้มาฟังพวกเจ้าบ่นเรื่องเด็กๆ พวกนี้ปีนต้นไม้ โดดเรียน วาดภาพคนตัวจิ๋ว?”
ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงหันมามองหน้ากัน
ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยที่นั่งอยู่บนตำแหน่งประธานยังคงดื่มชาอย่างสำรวม ซึ่งในความเป็นจริงชาในถ้วยหมดเกลี้ยงไปแล้ว
ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นยืนยิ้มๆ “ข้าจะไปดูงานพิมพ์หนังสือที่หอฉงเหวินสักหน่อย นี่เป็นเรื่องใหญ่เทียมฟ้า ต้องจับตามองให้ดี คงไม่อยู่ดื่มชาเป็นเพื่อนใต้เท้าเจ้ากรมแล้ว”
ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยถือโอกาสลุกขึ้นด้วย เขากล่าวด้วยสีหน้าอ่อนโยน “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่รบกวนเวลาสอนหนังสือของอาจารย์ทุกท่านแล้ว”
เหมาเสี่ยวตงบ่น “ใต้เท้าเจ้ากรม ดื่มชาให้หมดก่อนค่อยไปก็ยังไม่สาย…”
ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่เขย่งปลายเท้าเล็กน้อย ตาเหลือบมองไปยังถ้วยชา “อั๊ยหยา ดื่มหมดแล้วนี่นา ใต้เท้าท่านนี่ก็จริงๆ แล้ว ดื่มอีกสักถ้วยๆ ให้หน้าสำนักศึกษาของพวกเราหน่อย ได้หรือไม่? หากลือออกไปข้างนอกจะนึกว่าพวกเราไม่ตั้งใจรับรองใต้เท้า แบบนั้นคงไม่ดีแน่ หากกรมการคลังคิดทวงความยุติธรรมแทนใต้เท้า จงใจหักเงินที่ต้องใช้ในการพิมพ์หนังสือของหอฉงเหวินสำนักศึกษาเรา แล้วข้าจะไปขอความเป็นธรรมได้จากใคร?”
ใต้เท้าเจ้ากรมพิธีการที่เตี้ยกว่าเหมาเสี่ยวตงเกือบหนึ่งช่วงศีรษะกุมมือคารวะสีหน้าจืดเจื่อน “เหมาเหล่า ปล่อยข้าไปเถอะ คิดซะว่าเจ้าคือเจ้าขุนเขา ส่วนข้าคือรองเจ้าขุนเขา ได้หรือไม่?”
“ไม่ได้!” เหมาเสี่ยวตงหมุนกายจากไปพร้อมหัวเราะดังลั่น
รอจนผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่จากไปแล้ว ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยจึงทำสีหน้าหน่ายใจ แข้นเสียงขุ่น “เดิมทีกะจะมาหาที่สงบพักผ่อน ทีนี้ดีนักนะ กลับกลายเป็นว่าต้องมาโดนสั่งสอน แถมยังเป็นคนกันเองอีก วันหน้าคงไม่กล้ามาอีกแล้ว”
เสียงหัวเราะดังครืนอยู่ในห้องโถง แม้แต่รองเจ้าขุนเขาหน้าเหลี่ยมก็ยังหลุดหัวเราะอย่างอดไม่ได้
บรรยากาศพลันผ่อนคลาย
—–