เฉาจวิ้นมองของเล่นมากมายซึ่งเป็นเหมือนพลทหารเกราะหนักบนสนามรบที่ตั้งแนวรบโอบล้อมแม่ทัพใหญ่อย่างหลี่ซีเซิ่งไว้อย่างแน่นหนา
เขาพอจะมองเบาะแสบางอย่างออกจึงเอ่ยอย่างนับถือ “เจ้าต้องเล่นหมากล้อมเก่งมากแน่ๆ แถมยังต้องเชี่ยวชาญวิชาการพยากรณ์ของนิกายหยินหยางด้วย”
เพราะด้วยตบะของผู้ฝึกลมปราณขอบเขตหกแล้ว เว้นเสียแต่ว่าบัณฑิตชุดเขียวจะเป็นเซียนกลับชาติมาเกิดในระดับของบุรพาจารย์ผู้บุกเบิกสำนักของสามลัทธิเท่านั้น ถึงจะสามารถควบคุมวัตถุมากมายขนาดนั้นได้พร้อมกันในรวดเดียว แต่เห็นได้ชัดว่าบัณฑิตที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ฉกฉวยโอกาสและใช้กลยุทธ์ช่วงชิงความได้เปรียบให้กับตัวเอง ทุกครั้งที่ป้องกันการแทงทะลุจากกระบี่บินปลาขาวก็จะสามารถคำนวณทิศทางการโคจรและช่องโหว่ของกระบี่บินได้ด้วย ดังนั้นนอกจากแค่รักษาไม่ให้ใบไม้ฤดูใบไม้ผลิ สายลมฤดูใบไม้ร่วง ฯลฯ ร่วงหล่นได้แล้ว อันที่จริงจุดที่จำเป็นต้องให้บัณฑิตกรอกปราณวิญญาณเข้าไปก็ไม่ถือว่ามากนัก
นี่ก็เหมือนศึกป้องกันและจู่โจมเมืองแห่งหนึ่ง ด้านเฉาจวิ้นมีพลังการต่อสู้เหี้ยมหาญ แต่กำลังทหารไม่มากพอ ได้แต่โจมตีกำแพงเมืองด้านเดียว ฝ่ายบัณฑิตมองดูเหมือนจัดวางกำลังทหารเฝ้าเมืองไว้เต็มกำแพงทั้งสี่ด้าน แต่ในความเป็นจริงแล้วสามด้านล้วนว่างเปล่า เขาแค่ต้องคำนวณทิศทางการโจมตีของเฉาจวิ้นในแต่ละครั้งให้ได้อย่างแม่นยำ เวลาที่ป้องกันจึงค่อนข้างผ่อนคลาย
เฉาจวิ้นพลันเกิดความคิดบางอย่าง กระบี่บินสีขาวหิมะจึงถอยออกมาจากสนามรบ กลับมาอยู่ตรงหน้าเจ้านาย เขาปรายตามองมันแวบหนึ่ง เห็นว่าปลายกระบี่และคมกระบี่ต่างก็มีความเสียหาย เสียหายมากกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก ยังดีที่ปณิธานกระบี่ซึ่งซุกซ่อนอยู่ในกระบี่สั้นปลาขาวที่เมื่อผ่านการปะทะขัดเกลามาหลายร้อยครั้งจึงมีการยกระดับเพิ่มสูงขึ้น จะว่าไปแล้วนับว่าเป็นการค้าที่ได้กำไร
ในใจเฉาจวิ้นรู้สึกสับสนเล็กน้อย ฮ่องเต้ต้าหลีอาจจะไม่กล้างัดข้อกับสามลัทธิซึ่งเป็นกองกำลังที่อยู่เบื้องหลังเพื่อฉีจิ้งชุนเพียงคนเดียว แต่เพื่อผู้ฝึกลมปราณฝ่ายตัวเองที่มีหวังว่าจะเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนแล้ว เขาน่าจะยอมฉีกหน้าแตกหักกับสกุลเฉาที่ตั้งรกรากอยู่ในทวีปอื่นมาเนิ่นนาน
เฉาจวิ้นเกิดความลังเลอย่างที่เป็นไม่บ่อยนัก เขาเก็บปลาขาวกลับเข้าฝักกระบี่ ขณะเดียวกันก็ยื่นมือไปกุมด้ามกระบี่ของกระบี่อีกเล่มหนึ่ง กระบี่เล่มนี้มีชื่อว่าโม่ชือ (ชือคือมังกรชนิดหนึ่งที่ไม่มีเขาในนิยายจีนโบราณ โม่แปลว่าหมึก โม่ชือจึงแปลว่าชือสีหมึกหรือชือสีดำ)
เขาจงใจทำหน้าโกรธแค้น “แน่จริงก็อย่าทำตัวเป็นเต่าหดหัวสิ!”
หลี่ซีเซิ่งถามกลับยิ้มๆ “เจ้าแน่จริงเลยเป็นเต่าหดหัว?”
เฉาจวิ้นสะอึกอึ้ง เขาเคยเป็นผู้ฝึกกระบี่มากพรสวรรค์ที่เซียนกระบี่ของทวีปหนึ่งฝากความหวังไว้ สิ่งที่เขาแสวงหาคือความคมและพลังสังหารอันไร้เทียมทานในใต้หล้า แน่นอนว่าเขาไม่มีความสามารถ แล้วก็ไม่มีความสนใจที่จะทำตัวเป็นเหมือนบัณฑิตชุดเขียวตรงหน้าที่โดนตีก็ไม่เอาคืน โดนด่าก็ไม่ตอบโต้ อาศัยของประหลาดผุๆ ผังๆ กองใหญ่มาใช้ในการเฝ้ากำแพงเมือง ยืนกรานว่าให้ตายก็ไม่ยอมเป็นฝ่ายลงมือก่อน
เคยมีคนบรรยายไว้ว่าตัวของผู้ฝึกกระบี่คือทหารม้าติดอาวุธเบาผู้ปราดเปรียว ไปมาดุจสายลม รวดเร็วดุจสายฟ้าแลบ ส่วนกระบี่บินนั้นเหมือนคันธนูที่หากเป็นการเข่นฆ่าระดับเล็กบนถนนคับแคบ โดยส่วนมากแล้วแค่เจอหน้ากัน ศัตรูก็ตายทันที ส่วนกระบี่บินของเซียนกระบี่พสุธาที่อยู่ในห้าขอบเขตบน พลังสังหารยามอยู่บนสนามรบก็เหมือนหน้าไม้ขนาดมหึมาอันหนึ่ง ต่อให้มันแค่วางไว้บนหัวกำแพงเฉยๆ แต่สำหรับศัตรูแล้วกลับมีพลานุภาพสยบที่ยิ่งใหญ่อย่างมาก
ส่วนนักพรตสำนักการทหารคือทหารม้าติดอาวุธหนัก หากพลังอำนาจและจิงชี่เสินของพวกเขาทะยานสู่จุดสูงสุดเมื่อไหร่ ก็เท่ากับว่าได้ปล่อยพลังของทหารม้าติดอาวุธหนักในแนวหน้าอย่างเต็มที่ ได้ทั้งรุกทั้งรับ ทำลายค่ายกลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ส่วนผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่คนบนภูเขามองว่าไม่มีหวังบนมหามรรคานั้นเป็นแค่ทหารเดินเท้าสวมเกราะเหล็กหนักอึ้งงุ่มง่ามซึ่งมีพลังการสังหารธรรมดา ต่อให้เป็นปรมาจารย์ขอบเขตแปดเดินทางไกลที่สามารถบังคับลมบินทะยาน หากระเบิดพลังในระยะใกล้แล้วยังไม่สามารถสังหารศัตรูได้สำเร็จ ถ้าเช่นนั้นหากถูกผู้ฝึกลมปราณทิ้งระยะห่างไปไกล แล้วตกอยู่ในการต่อสู้ที่ยาวนานก็ไม่มีทางเทียบเคียงกับผู้ฝึกลมปราณได้เลย
หลี่ซีเซิ่งเห็นว่าเฉาจวิ้นไม่พูดอะไรก็ยื่นมือออกปัดด้านหน้าเบาๆ หิมะน้อยและลมฤดูใบไม้ร่วงส่วนหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าขยับหลีกทางอย่างเชื่องช้า เป็นเหตุให้การมองเห็นของเขาเปิดกว้าง หลี่ซีเซิ่งเป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อน “เหตุผลที่กระบี่บินเล่มนี้ของเจ้าเอ่ยมาไม่ชัดเจนมากพอ”
ความหมายของเขาก็คือ เขาเต็มใจฟังเหตุผลจากโม่ชือเล่มนั้น
เฉาจวิ้นยกสองมือถูแก้มเบาๆ “เจ้านี่พูดจาไม่น่าฟังเอาเสียเลย แต่ข้ายอมรับว่าเจ้ามีคุณสมบัตินี้ ข้ามีคำแนะนำอย่างหนึ่ง เจ้าลองพิจารณาดูได้ พวกเรามาสู้แบบตัดสินเป็นตายกันไปเลย แล้วก็ยอมรับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกันเอาเอง ไม่เกี่ยวข้องกับแคว้น ดีไหม? เจ้ากล้าเดิมพันกับข้าหรือเปล่า?”
หลี่ซีเซิ่งส่ายหน้า “เจ้ามองออกแล้วว่าข้าไม่เชี่ยวชาญการโจมตี ดังนั้นเจ้าจึงอยู่ในสถานะมิพ่ายมาตั้งแต่ต้น”
เขาไม่ถือสาที่จะแบไต๋ของตัวเองออกมาจนหมดเปลือก
เฉาจวิ้นกล่าวอย่างจนใจ “เจ้าจริงใจหรือว่าไร้สมองกันแน่?”
เฉาจวิ้นมองบัณฑิตหนุ่มคนนั้นแล้วพลันไพล่นึกไปถึงบัณฑิตคนหนึ่งที่ร้ายกาจที่สุดของทักษินาตยทวีป ซึ่งเป็นประมุขรุ่นนี้ของสกุลเฉินสายผู้มากความรู้
เล่าลือกันว่าผู้เฒ่าสกุลเฉินที่เล่าเรียนจนประสบความสำเร็จมีความรู้ยิ่งใหญ่คนนั้น แขนเสื้อสองข้างซุกซ่อนลมเย็น (โดยทั่วไปเป็นคำเปรียบเปรยขุนนางที่มือสะอาด ไม่ละโมบโลภมาก นอกจากลมเย็นแล้วก็ไม่มีอะไรซุกซ่อนอยู่ในมืออีก) ไหล่ข้างหนึ่งแบกดวงจันทร์ส่องสว่าง อีกข้างหนึ่งแบกตะวันแดงฉาน
เฉาจวิ้นเก็บความคิดทั้งหมดลงไป หันหน้ากลับไปมองก็เห็นจิ้งจอกน้อยที่ทั้งร่างมีแต่สีแดงสด ยืนด้วยขาหลังสองข้างอยู่บนหลังคาบ้านเก่าหลังหนึ่งในตรอกหนีผิง มันเอ่ยกับเฉาจวิ้นว่า “ท่านบรรพบุรุษให้ข้ามาบอกเจ้าว่า ต้องหยุดเมื่อถึงเวลาสมควร หากเจ้าถูกหร่วนฉงตีตาย เขาก็จะฝังร่างเจ้าไว้ที่นี่ ดีชั่วก็ถือว่าใบไม้ร่วงกลับคืนสู่รากแล้ว”
เฉาจวิ้นทำสีหน้ารังเกียจ “อะไร? ไหนเจ้าลองพูดใหม่อีกครั้งสิ!”
จิ้งจอกน้อยกระแอมหนึ่งที เปลี่ยนจากท่าทีสุภาพนุ่มนวลมาเป็นดุร้ายในเสี้ยววินาที มันยกสองมือเท้าเอว ผรุสวาทเสียงดัง “เจ้าตะพาบเฒ่าเฉาซีให้บอกกับหลานเต่าอย่างเจ้าว่า รีบหยุดมือซะ หากทำให้ช่างเหล็กแซ่หร่วนโมโหจนถูกทุบตีเละเป็นเนื้อบด เขาจะไม่ช่วยแก้แค้นให้เจ้า เขามีลูกหลานสายตรงตั้งหลายร้อยคน ช่วยไม่ได้ทุกคนหรอก แถมยังบอกด้วยว่าเพราะสงสารเมียที่ยังไม่แต่งเข้าบ้านของเจ้า หาไม่แล้วเขาไม่มีทางสั่งให้ข้ามาเกลี้ยกล่อมเจ้าให้หยุดมือ ปล่อยให้เจ้าถูกคนตีตายนั่นแหละดีที่สุด เขาจะได้ถือโอกาสคาบไปกินเสียเอง”
เฉาจวิ้นพยักหน้ารับด้วยสีหน้าผ่อนคลาย “แบบนี้สิถึงจะถูก นี่แหละถึงจะเหมือนคำพูดของตาแก่ตะพาบเฒ่าผู้นั้น”
หลี่ซีเซิ่งไม่สนใจเรื่องพวกนี้ “หากไม่สู้แล้วก็ช่วยหลีกทางด้วย”
“ไม่สู้กันแล้วๆ ข้าตีเจ้าตายไม่ได้ เจ้าเองก็ตีข้าตายไม่ได้ น่าเบื่อ”
เฉาจวิ้นเอ่ยยิ้มๆ “ไปชื่นชมอริยะที่ร้านตีเหล็กสักหน่อยดีกว่า”
เฉาจวิ้นทะยานร่างขึ้นสู่ชั้นเมฆ จากนั้นก็ร่วงดิ่งลงสู่ร้านตีเหล็กอย่างรวดเร็ว
กฎระเบียบเฮงซวยของเขตการปกครองหลงเฉวียนที่บอกว่าห้ามบังคับลมทะยานกลางอากาศโดยพลการอะไรนั่น เฉาจวิ้นไม่เก็บมาใส่ใจจริงๆ
ผลก็คือเกิดเสียงกัมปนาทดังสะเทือนเลือนลั่น
เฉาจวิ้นเหมือนดาวตกที่ลอยวืดออกไป สุดท้ายรอจนเขาหยุดตัวเองได้อย่างยากลำบากก็กระเด็นออกมาไกลหลายร้อยลี้แล้ว และก่อนหน้านี้ก็กลิ้งตลบอยู่ในชั้นเมฆมานับครั้งไม่ถ้วน เวลานี้เขานั่งขัดสมาธิกลางอากาศ กระอักเลือดไม่หยุด สีหน้าเหมือนกระดาษทอง ไม่ได้อับอายจนพานโกรธหรือเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ กลับกันยังคลี่ยิ้มได้ตามความเคยชินด้วย “พวกคนที่ออกมาจากศาลลมหิมะนี่นิสัยไม่ค่อยดีจริงๆ ไม่รู้ว่าเว่ยจิ้นแห่งหอเทพเซียนจะน่าตะลึงมากหรือไม่?”
จิ้งจอกที่หนังเป็นสีแดงสดตัวนั้นเดินวนรอบกายเฉาจวิ้น กล่าวอย่างคนมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “เจ็บตัวเลยไหมล่ะ?”
เฉาจวิ้นเอ่ยยิ้มๆ “ไม่ได้ตายเสียหน่อย”
จิ้งจอกจุ๊ปากพูด “ความสามารถในการรังแกคนอ่อนแอ กลัวคนแข็งแกร่งของเจ้านี่เหมือนเฉาซีจริงๆ”
เฉาจวิ้นพูด “ไม่รังแกคนอ่อนแอ กลัวคนแข็งแกร่ง หรือจะให้รังแกคนแข็งแกร่ง กลัวคนอ่อนแอ? สมองเจ้ามีปัญหาหรือไง?”
จิ้งจอกไม่ถือสา มันยกกรงเล็บข้างหนึ่งเกาคาง เขย่งปลายเท้ามองไปทางเมืองเล็ก “แล้วตัวอ่อนกระบี่ประหลาดที่แย่งมาไม่ได้ก้อนนั้นล่ะ จะทำยังไง?”
เฉาจวิ้นหน้าดำ “เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีกรึ? หากไม่เป็นเพราะเจ้าเป่าหูให้ข้าฆ่าคนชิงทรัพย์ อย่างมากข้าก็แค่ซื้อขายกับเด็กหนุ่มคนนั้นอย่างเป็นธรรม”
จิ้งจอกสีแดงเพลิงตีหน้าเคร่งพูดสั่งสอน “การเป็นมนุษย์น่ะ ต้องยืนหยัดในเจตจำนงเดิม เจ้าอยู่ข้างนอกเป็นอย่างไร เข้าไปในเขตการปกครองหลงเฉวียนเล็กๆ ก็ควรจะรักษาความเป็นตัวของตัวเองเอาไว้ ก็แค่อริยะสำนักการทหารขอบเขตสิบเอ็ดคนหนึ่ง หลังก้นเจ้าก็ไม่ใช่ว่ามีบรรพบุรุษเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบเอ็ดอยู่คนหนึ่งหรอกหรือ? คนหนึ่งมีฟ้าอำนวยดินอวยพรคนสามัคคี อีกคนหนึ่งมีทหารเทพให้ใช้งานอย่างถนัดมือ ต่างก็เป็นบุคคลที่ไร้เหตุผลในกลุ่มผู้ฝึกลมปราณ ฝีมือสูสีกัน หากพวกเขาต่อสู้กันแล้วเจ้ามองดูอยู่ด้านข้าง ไม่แน่ว่าอาจจะยังเกิดการตระหนักรู้ แล้วทำไมต้องไม่เต็มใจทำเล่า?”
เฉาจวิ้นหัวเราะเสียงเย็น “ด้วยนิสัยของเฉาซี ข้าเล่นงานเขาหนึ่งชุ่น เขาก็เอากลับคืนได้หนึ่งฉื่อ”
จิ้งจอกสีแดงเพลิงเรื่องไหนไม่พูด ดันพูดเรื่องที่จี้ใจดำคนฟัง “อย่างมากวันหน้าก็ให้เขานอนกับเมียเจ้าสักสองสามที ยังต้องกลัวอะไรอีกเล่า?!”
เฉาจวิ้นไม่พูดไม่จา ยังคงรักษารอยยิ้มบางๆ จ้องนิ่งไปที่จิ้งจอกตัวนั้น รอยยิ้มของผู้ฝึกกระบี่หนุ่มไม่มีริ้วคลื่นใดๆ แม้แต่น้อย
จิ้งจอกแสร้งทำเป็นตกใจ “ว้าว โกรธจริงๆ แล้วหรือนี่ เฉาจวิ้นที่เสเพลมาหนึ่งร้อยปีก็มีเวลาเอาจริงเอาจังกับเขาด้วย?”
เฉาจวิ้นยิ้มน้อยๆ “เวลาว่างตียุง แต่จู่ๆ อารมณ์ไม่ดีก็เกิดใจสังหารยุง”
ปลาขาวออกจากฝัก ประกายแสงจ้าเปล่งวาบ
ศีรษะของจิ้งจอกแดงลอยลิ่วไปไกล แต่กลับไม่มีเลือดสดไหลออกมา
ศีรษะนั้นยังคงพูดได้ “โอ๊ะโอ ความเร็วในการชักกระบี่นี้ อืดอาดไม่ต่างจากเต่าย้ายบ้าน ยังจะบอกว่าเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่มีพรสวรรค์ ช่างน่าอายจริงๆ”
ร่างไร้หัวของมันบิดก้นเดินอาดๆ ไม่สนใจกระบี่บินปลาขาวที่แทงทะลุร่างตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าแม้แต่น้อย ศีรษะที่ลอยอยู่กลางอากาศยังคงพูดท้าทายต่อ “เข็มปักดอกไม้ของเจ้านี่ก็จั๊กจี้ดีจริง”
ท่ามกลางอากาศว่างเปล่า แสงกระบี่ระเบิดประกายเจิดจ้า แสงสีขาวพุ่งตัดสลับวน
อย่าว่าแต่เรือนกายที่ถูกฟันออกเป็นสิบเจ็ดสิบแปดชิ้นเลย แม้แต่ศีรษะนั้นก็ยังถูกแยกชิ้นส่วนเป็นแปดกลีบ แต่เมื่อกระบี่บินปลาขาวหยุดชะงักไปเสี้ยวนาทีหนึ่ง จิ้งจอกตัวนั้นก็กลับคืนสู่สภาพสมบูรณ์แบบทันที
วงจรนี้เกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมา
สุดท้ายเฉาจวิ้นถอนหายใจ เก็บกระบี่เข้าฝัก
จิ้งจอกบิดคอ เดินมานั่งลงข้างกายเฉาจวิ้น “คนหนุ่มมีความสามารถมากเท่าไหร่ ก็ต้องคุยโวให้มากเท่านั้น”
เฉาจวิ้นพยักหน้ารับ “มีเหตุผล ข้าเชื่อเจ้า”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ รอให้เมียเจ้าแต่งเข้าบ้านมาก็ให้ข้ายืมนอนด้วยสักคืนแล้วกัน? จะอย่างไรซะนางก็เป็นผู้หญิง ส่วนข้าก็เป็นตัวเมีย ใครจะได้เปรียบใครก็ยังบอกไม่ได้”
จิ้งจอกเริ่มออกฤทธิ์ พูดจาเสียดสีอีกครั้ง “ว้าว คนที่เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนมีสมญานามว่าตัวอ่อนเซียนกระบี่ในทักษินาตยทวีปของเรา ผู้ฝึกกระบี่ใหญ่ขอบเขตเก้าในปัจจุบันนี้ ทำไมจู่ๆ ถึงกลายเป็นคนเชื่อฟังขนาดนี้ได้นะ?”
ที่แท้เฉาจวิ้นที่ ‘ยังหนุ่ม’ ก็มีอายุมากถึงหนึ่งร้อยปีแล้ว เวลานี้เขาทอดสายตามองไปไกล เม้มริมฝีปาก แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดระคายหูของจิ้งจอกตัวนั้น
——————————