เด็กชายชุดเขียวเหมือนถูกฟ้าผ่าลงหัวกลางวันแสกๆ ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็กระโดดโหยง วิ่งมาคุกเข่าอยู่บนพื้นหน้าบุรุษวัยกลางคน โขกหัวดังปั่ก “นายท่านอริยะผู้อยู่เบื้องบน ได้โปรดรับสามโขกเก้าคำนับจากข้าน้อยด้วย!”
งูน้ำแห่งแม่น้ำอวี้เจียงตัวนี้โขกหัวดังปั่กๆๆ อย่างไม่ลังเล เพียงแต่ความคิดชั่วร้ายที่มีอยู่เต็มหัวทำให้เขานินทาในใจไม่หยุด เจ้าเป็นถึงอริยะสำนักการทหารที่สูงส่งเหนือผู้คน จะดีจะชั่วก็ช่วยมีมาดของอริยะสักหน่อยได้หรือไม่? เจ้าควรจะกินตะวันกลืนจันทราอยู่บนยอดเขา หรือไม่ก็ปล่อยหมัดฟ้าคำรณอยู่ริมแม่น้ำใหญ่สิถึงจะถูก? แต่นี่กลับกลายเป็นว่าเดินดุ่มๆ เข้ามานั่งบื้ออยู่ข้างกายข้าไม่ต่างจากไม้ท่อนหนึ่ง เล่นอะไรของเจ้า?
เป็นถึงผู้อาวุโสใหญ่ขอบเขตสิบเอ็ดแห่งศาลลมหิมะ อริยะสำนักการทหารผู้เฝ้าพิทักษ์ถ้ำสวรรค์หลีจู อาจารย์หลอมกระบี่ที่ชื่อเสียงเลื่องระบือไปทั่วบุรพแจกันสมบัติทวีป เจ้าไม่สลักคำว่าหร่วนฉงใหญ่ๆ ไว้บนหน้าผากก็แล้วไปเถอะ แต่ทำไมหน้าตาท่าทางถึงได้ธรรมดาขนาดนี้? หรือถอยไปพูดหนึ่งหมื่นก้าว เวลาเดินเจ้าก็ควรมีมาดดุจมังกรและพยัคฆ์เยื้องย่าง? นั่งก็ควรองอาจน่าเกรงขามดุจขุนเขาตั้งตระหง่านบ้างกระมัง?
เด็กชายชุดเขียวที่รู้สึกว่าตัวเองมีตาแต่ไม่มีแววยังไม่กล้าลุกขึ้น ราวกับเป็นคนที่จิตใจห้าวเหิมยอมตายเพื่อคุณธรรม เพียงแต่ว่าใบหน้าเขาหดเหลือแค่สองนิ้ว น้ำตาไหลพรากอาบแก้ม แอบเหลือบตามองนายท่านของตัวเอง หวังให้นายท่านช่วยพูดอะไรเพื่อแสดงความเป็นธรรมต่อตนสักหน่อย
ครั้งนี้เขาเกิดความคิดอยากกระโดดน้ำฆ่าตัวตายจริงๆ
แม้จะแปลกใจในท่าทางประหลาดของเด็กชายชุดเขียว แต่หร่วนซิ่วที่ไม่รู้ตนสายปลายเหตุก็ไม่คิดจะถามให้มากความ “ท่านพ่อ ข้าจะเข้าเมืองเล็กเป็นเพื่อนเฉินผิงอันสักหน่อย”
หร่วนฉงเงียบไปนาน สุดท้ายก็ยังพูดได้แค่ประโยคเดียว “รีบกลับมาตีเหล็กเร็วๆ ล่ะ”
หร่วนซิ่วถาม “ท่านพ่อ ยังไม่ถึงเวลาเปิดเตาหลอมกระบี่เลยนี่นา มีเรื่องอะไรหรือ?”
ชายฉกรรจ์ลุกขึ้นยืน “ข้าบอกยังไงก็ทำตามนั้น เจ้าไม่ต้องถามมาก”
หร่วนซิ่วร้องอ้อรับหนึ่งที
จนกระทั่งเงาร่างของหร่วนฉงหายไปจากการมองเห็น เด็กชายชุดเขียวถึงมีความกล้าพอจะลุกขึ้นยืน ร่างของเขาส่ายโงนเงน เช็ดน้ำตาที่อาบนองหน้าและเหงื่อเย็นๆ ที่ผุดเต็มหน้าผาก ในใจหวาดผวาไม่คลาย พูดในใจตัวเองว่า “รอดตายจากหายนะใหญ่ย่อมมีโชคดีรออยู่”
คนทั้งกลุ่มเดินออกจากร้านตีเหล็กที่ซุกซ่อนความลี้ลับมหัศจรรย์ เดินผ่านสะพานหินโค้งที่ทอดตัวข้ามลำคลองมานานนับพันปี เฉินผิงอันพลันเอ่ยขอบคุณแม่นางชุดเขียวที่อยู่ข้างกาย
หร่วนซิ่วหันหน้ามายิ้มให้ “เดี๋ยวนี้ขี้เกรงใจขนาดนี้แล้วหรือ”
เฉินผิงอันตอบด้วยน้ำเสียงจริงใจ “พอไปอยู่ข้างนอก ถึงได้รู้เรื่องบางเรื่อง ดังนั้นข้าไม่ได้เกรงใจเจ้าจริงๆ”
หร่วนซิ่วถามยิ้มๆ “งั้นก็กำลังชมข้าล่ะสิ?”
เฉินผิงอันยิ้มกว้าง “แน่นอนอยู่แล้ว!”
หร่วนซิ่วจ้องนิ่งไปบนใบหน้าของเด็กหนุ่ม หลังถอนสายตากลับมาก็มองไปยังเมืองเล็ก เอ่ยคำพูดหนึ่งที่ทำให้คนจับต้นชนปลายไม่ถูก “ไม่ได้เปลี่ยนไป ดีจริงๆ”
เกรงว่าคงมีเพียงอริยะหร่วนฉงเท่านั้นที่ถึงจะรู้น้ำหนักและความหมายอันลึกซึ้งของคำพูดประโยคนี้
บางทีอดีตอริยะอย่างฉีจิ้งชุนอาจรู้เรื่องราวทั้งหมด ผู้เฒ่าบางคนก็อาจจะพอมองสายสนกลในออก แต่ไม่มีใครคิดจะพูดอะไร
หร่วนซิ่วบุตรสาวของหร่วนฉงมีพรสวรรค์ล้ำเลิศมาตั้งแต่เด็ก คือบุคคลที่พันปีก็ยากจะพานพบอย่างแท้จริง ไม่ใช่คนที่อัจฉริยะด้านการฝึกตนทั่วไปจะทัดเทียมได้ เป็นเหตุให้หร่วนฉงจำเป็นต้องแยกตัวจากศาลลมหิมะ ออกมาตั้งสำนักของตัวเอง การที่เขามาลำบากอยู่ที่ถ้ำสวรรค์หลีจูก็เพื่อหวังอาศัยตราผนึกคาถาอาคมของฟ้าดินแห่งนี้มาอำพรางความโดดเด่นของหร่วนซิ่ว หรือควรจะพูดว่าพยายามยืดเวลาการเป็น ‘ไม้เด่นเกินไพร ยอดเขาสูงชะลูดเด่นเหนือเทือกเขา’ ของบุตรสาวออกไปให้ได้นานที่สุด
เด็กสาวชุดเขียวที่มีเจียวไฟจำแลงร่างเป็นกำไลรัดพันอยู่รอบข้อมือไม่ได้แค่มีร่างของเทพแห่งเพลิงอย่างเดียวเท่านั้น
เพราะในสายตาของเด็กสาว โลกและเรื่องราวที่นางมองเห็นแตกต่างไปจากทุกคน
นางสามารถมองตรงไปเห็นจิตใจดำมืดหรือขาวสะอาดของมนุษย์ มองเห็นผลกรรมดีเลวชัดเจน มองออกถึงความตื้นลึกแห่งโชคชะตา
ในสายตาของเด็กสาว โลกใบนี้เต็มไปด้วยสีสันสดใส
นี่หมายความว่าเส้นทางแห่งการพิสูจน์ตนเพื่อบรรลุมรรคาของหร่วนซิ่วจะยิ่งเต็มไปด้วยอุปสรรค ก้าวเดินได้อย่างยากลำบาก แน่นอนว่าหากนางทำได้ หร่วนซิ่วจะประสบความสำเร็จอย่างสูง ความกว้างใหญ่ของมหามรรคาเรียกได้ว่ามิอาจประเมินค่าได้
ดังนั้นครั้งแรกที่หร่วนซิ่วซึ่งนั่งอยู่บนหินหลังควายมองเห็นเด็กหนุ่มยืนอยู่บนฝั่งแล้วไม่ได้ถอยหลบอีกฝ่าย ก็เพราะนางมองเห็นความ ‘สะอาด’ ของเฉินผิงอัน
ถ้ำสวรรค์หลีจูที่กว้างใหญ่ บนโลกที่เต็มไปด้วยเรื่องราวหลากหลาย มีเพียงเฉินผิงอันคนเดียวที่ไม่เปรอะเปื้อนฝุ่นผง ประหนึ่งกระจกใหม่เอี่ยมบานหนึ่ง
ดังนั้นหร่วนซิ่วจึงชอบอยู่กับเขา ชอบแอบมองแรงกระเพื่อมเล็กๆ ในทะเลสาบหัวใจของเฉินผิงอัน สัมผัสกับอารมณ์สุขทุกข์เศร้าเหงาร่าเริงของเขาอยู่เงียบๆ
สำหรับแม่นางที่กินเก่งผู้นี้
เด็กหนุ่มก็เหมือน ‘ขนม’ จานหนึ่งที่นางชอบกินมากที่สุด เป็นขนมประเภทที่นางชอบมาก ชอบจนตัดใจกินไม่ลง
นางกังวลมากว่าเฉินผิงอันออกจากบ้านเดินทางไกลในครั้งนี้ จิตใจจะเปลี่ยนแปลงไป ทะเลสาบในหัวใจจะเปลี่ยนมาเป็นขุ่นมัว เส้นทางแห่งหัวใจเจิ่งนองไปด้วยดินโคลน ปนเปื้อนผลกรรมที่วุ่นวายและนิสัยที่ไม่ดีทั้งหลาย
ตอนนี้มาลองมองดู เฉินผิงอันเปลี่ยนไปบ้างจริงๆ แต่กลับยังดีมากเหมือนเดิม
หร่วนซิ่วโล่งอก ขณะเดียวกันก็ยิ่งชอบเฉินผิงอันมากขึ้น
เห็นไหมล่ะ ข้ารู้อยู่แล้วว่าเขาต้องไม่ทำให้คนผิดหวัง!
เดินกันไปจนถึงตรอกหนีผิง เข้าไปในตรอกที่มืดสลัวและเล็กแคบ ต่อให้เด็กชายชุดเขียวจะทำใจมาก่อนแล้วก็ยังมองตาค้างพูดไม่ออก นายท่านของตนเติบโตมาในตรอกเก่าโทรมแห่งนี้น่ะหรือ?
หร่วนซิ่วไขกุญแจผลักประตูหน้าบ้านเปิดอ้าอย่างคุ้นเคย หลังเข้ามาในลานบ้านก็เปิดประตูบ้านแล้วมอบกุญแจทั้งหมดสามพวงซึ่งรวมกุญแจของบ้านหลิวเสี้ยนหยางและซ่งจี๋ซินให้เฉินผิงอันพร้อมกันทีเดียว
เฉินผิงอันรับกุญแจมา ข้ามธรณีประตูเข้าไปข้างใน เห็นว่าห้องที่ตนคุ้นเคยที่สุดสะอาดเอี่ยมเป็นระเบียบ ตรงหน้าต่างยังมีกระถางต้นไม้เล็กกะทัดรัดที่เขาไม่รู้จักชื่อวางอยู่ใบหนึ่ง แม้จะเป็นฤดูหนาวก็ยังคงความเขียวขจี ทำให้คนมองอารมณ์ดีได้อย่างน่าประหลาด
เฉินผิงอันขยับปาเตรียมจะพูด หร่วนซิ่วกลับชิงเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มเสียก่อน “ไม่ต้องพูดว่าขอบคุณแล้วนะ”
เฉินผิงอันประดักประเดิดเล็กน้อย ปลดตะกร้าสะพายหลังวางลงบนพื้น หยิบห่อสัมภาระหนักอึ้งออกมาวางบนโต๊ะ ตัวเองนั่งยองบนพื้น ควานมือคลำหาแผ่นไม้ไผ่เล็กๆ แผ่นหนึ่ง พอลุกขึ้นยืนก็ส่งให้กับหร่วนซิ่วพร้อมกล่าวอย่างเขินอาย “ไม่รู้ว่าควรจะเอาอะไรให้เจ้าดี นอกเมืองมีของกินเยอะก็จริง แต่ข้ากลัวว่าจะถูกทับจนบี้แบนไปเสียก่อน อีกอย่างเก็บไว้นานก็ไม่ดี คิดไม่ออกแล้วจริงๆ ถึงได้ทำเจ้านี่ขึ้นมา อย่ารังเกียจล่ะ”
หร่วนซิ่วอึ้งงัน รับแผ่นไม้ไผ่สีเขียวมรกตขนาดเท่าฝ่ามือแผ่นนั้นมา มือสัมผัสได้ถึงความเย็นสบายจึงก้มหน้าลงเพ่งมอง พบว่าด้านบนแผ่นไม้ไผ่สลักตัวอักษรเล็กๆ ไว้หนึ่งแถว ‘ภูเขาและแม่น้ำย่อมเวียนบรรจบได้พบกันอีกครั้ง’ ตัวอักษรสลักอย่างเป็นระเบียบ และจริงจัง
หร่วนซิ่วยิ้มตาหยี ใช้ท้องนิ้วลูบตัวอักษรเหล่านั้นเบาๆ ก้มหน้าก้มตาพูด “ข้าชอบมาก”
เด็กชายชุดเขียวทำหน้าทึ่ง แบบนี้ก็ได้ด้วย?
บุตรสาวโทนของอริยะ ชื่นชอบไม้ไผ่ผุๆ ชิ้นหนึ่งที่มีตัวอักษรกากๆ หนึ่งแถวเนี่ยน่ะเหรอ?
เวลาหลายร้อยปีที่นายท่านใหญ่อย่างข้าอยู่ในยุทธภพมา ไม่เท่ากับว่าเสียเปล่าหรอกหรือ?
จำได้ว่าเมื่อก่อนสหายเทพวารีถูกใจสตรีหัวสูงบนภูเขาคนหนึ่ง จึงมอบทรัพย์สมบัติกองโตเป็นภูเขาให้แก่นาง แค่กับตนก็ยืมเอาสมบัติอาคมที่ไม่ธรรมดาไปหลายชิ้น แต่ผู้หญิงคนนั้นกลับไม่เคยแม้แต่จะอ้าปากยิ้มให้ ของทุกชิ้นล้วนรับไว้ด้วยความเต็มใจ แต่กลับไม่เคยทำสีหน้าดีๆ ให้เห็น
เฉินผิงอันเปิดห่อผ้าต่อหน้าหร่วนซิ่ว เผยให้เห็นก้อนหินกองใหญ่ นับคร่าวๆ จะอย่างไรก็ต้องมีเก้าก้อนสิบก้อน ด้านในยังมีถุงผ้าฝ้ายใบเล็กอีกใบหนึ่ง เปิดออกมาข้างในก็ยังคงเป็นก้อนหิน แต่สีสันกลับสดใสหลากหลาย บ้างเล็กบ้างใหญ่ มีแค่สิบกว่าก้อนเท่านั้น
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเหมือนถูกสายฟ้าฟาด
ดวงตาสองข้างของเด็กชายชุดเขียวเปล่งประกาย กลืนน้ำลายดังเอื้อก ใจอยากจะพุ่งเข้าไปสวาปามลงท้องให้หมด เพราะไม่แน่ว่าหลังเดินออกไปจากตรอกหนี ตนอาจได้กลายเป็นนายท่านใหญ่จริงๆ หินดีงูกองกันเท่าภูเขาลูกย่อมแบบนี้ อย่าว่าแต่ขอบเขตแปดเลย แม้แต่ขอบเขตเก้าก็ยังมีหวัง! แต่พอนึกได้ว่าข้างกายยังมีแม่นางที่บิดาคืออริยะยืนอยู่อีกคน เด็กชายชุดเขียวถึงข่มกลั้นความวู่วามที่จะฆ่าคนชิงทรัพย์ลงไปได้
เฉินผิงอันเลือกหินดีงูสองก้อนที่แม้จะออกจากน้ำมานานแล้วสีก็ยังไม่ซีดจาง ก้อนหนึ่งสีแดงดอกท้อ ใสโปร่งแวววาว อีกก้อนหนึ่งเป็นสีดำหนักอึ้ง มอบให้กับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูและเด็กชายชุดเขียว จากนั้นค่อยหยิบหินดีงูธรรมดาออกมาอีกสี่ก้อน แบ่งให้กับเด็กน้อยสองคนที่ทำท่าเหมือนได้รับสมบัติล้ำค่าคนละสองก้อน
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูยังคงแบกหีบหนังสือใบนั้น คราวนี้พอมีหินดีงูอีกสามก้อนอยู่ในมือก็ร้องไห้โฮทันใด ต้องยกหลังมือเช็ดน้ำตาตัวเองแรงๆ
เด็กชายชุดเขียวจ้องเขม็งไปยังหินดีงูในมือ สีหน้าเคลิบเคลิ้มหลงใหล
เฉินผิงอันตบหัวตัวเอง หัวเราะแล้วหยิบหินดีงูชั้นเยี่ยมอีกคู่หนึ่งที่ลักษณะและสีสันแทบไม่ต่างกัน ทั้งก้อนเป็นสีเหลืองอ่อน เนื้อเนียนละเอียดเหมือนน้ำมันแพะที่ถูกเคลือบด้วยน้ำแข็ง ส่งให้เด็กชายชุดเขียวกับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูอีกคนละก้อน
นั่นถึงทำให้เด็กชายชุดเขียวคิดขึ้นได้ว่าตนควรจะได้รับสองก้อนจริงๆ พอรับมาแล้วก็หัวเราะคิกคักอย่างโง่งม
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูไม่กล้ายื่นมือออกไปรับ “นายท่าน ตกลงกันแล้วว่าข้าจะได้หินดีงูชั้นดีแค่ก้อนเดียวนี่นา”
เฉินผิงอับตบศีรษะเล็กของนางเบาๆ “ข้าคือใคร นายท่านผู้เฒ่าของเจ้านะ จะมอบของให้เจ้ายังต้องมีเหตุผลด้วยรึ? รีบเก็บไว้”
หลังรับมาอย่างระมัดระวัง เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูก็ยิ่งร้องไห้สะอึกสะอื้น
สีหน้าของเด็กชายชุดเขียวดูขัดแย้งกันเอง ทั้งดีใจอย่างมาก แล้วก็มีทั้งขัดเคือง จึงถามหยั่งเชิง “นายท่าน ตบรางวัลให้ข้าเพิ่มอีกสักก้อนดีไหม?”
เฉินผิงอันพูดยิ้มๆ “วันหน้าหากเจ้าเลิกรังแกนาง ข้าจะมอบให้เจ้า”
เด็กชายชุดเขียวพยักหน้ารับอย่างแรง “วันนี้ข้าจะไม่รังแกเด็กโง่แน่นอน พรุ่งนี้มอบให้ข้าเลยนะ? หรือจะวันมะรืน อย่างมากสุดวันมะเรื่องมอบให้ข้า ได้ไหม นายท่าน?”
เฉินผิงอันถามกลับ “เจ้าว่าได้ไหมล่ะ?”
เด็กชายชุดเขียวกัดฟัน หันไปพูดกับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูอย่างเป็นการเป็นงาน “เด็กโง่ อีกหนึ่งเดือนหลังจากนี้ข้าจะไม่รังแกเจ้าแล้ว”
เฉินผิงอันฉุนจนกลายเป็นขำ ตบป้าบเข้าที่ศีรษะเขา “อย่างน้อยต้องหนึ่งปี”
เด็กชายชุดเขียวแสร้งทำท่าน้อยใจ แต่อันที่จริงในใจแอบยินดี สำหรับเจียวหลงอย่างพวกเขา หนึ่งปีจะนับเป็นอะไรได้ หนึ่งร้อยปียังไม่ถือว่านานเลย
เฉินผิงอันไม่ได้โง่จริงๆ ก็แค่คร้านจะสนใจนิสัยเจ้าเล่ห์นิดๆ หน่อยๆ ของเด็กชายชุดเขียว จะอย่างไรซะตลอดเวลาที่เดินทางร่วมกันมา มีพวกเขาอยู่เป็นเพื่อน ตนจึงไม่รู้สึกเงียบเหงาแม้แต่น้อย และอันที่จริงเฉินผิงอันก็รู้สึกซาบซึ้งใจในตัวพวกเขาสองคนมาก เขาหมุนตัวกลับไปเก็บห่อสัมภาระน้อยใหญ่ให้เรียบร้อย หร่วนซิ่วเองก็เก็บของขวัญชิ้นนั้นไปแล้ว สองคนโตสองเด็กเล็กในห้องจึงมานั่งล้อมโต๊ะกันคนละฝั่ง
หร่วนซิ่วเสนอ “ไปดูร้านค้าไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “พอไปดูร้านแล้ว ข้าก็จะได้ไปที่จวนตระกูลหลี่บนถนนฝูลวี่ด้วยเลย มีของจะมอบให้พี่ชายใหญ่ของหลี่เป่าผิง”
ซึ่งก็คือปลาตะเพียนข้ามภูเขาสีทองตัวนั้น
ใส่กุญแจบ้านเรียบร้อยก็ออกไปจากลานบ้านด้วยกัน ปลาตะเพียนข้ามภูเขาที่ยังร่าเริงมีชีวิตชีวาตัวนั้นถูกใส่ไว้ในไหขนาดเล็กใบหนึ่ง ในไหบรรจุน้ำที่หร่วนซิ่วไปตักมาจากบ่อโซ่เหล็กจนเต็ม ปลาตะเพียนข้ามภูเขาจึงถือว่าเป็นปลาได้น้ำอย่างแท้จริงเสียที มันแหวกว่ายอยู่ข้างในอย่างเสรีด้วยอาการลิงโลดผิดปกติจนสะเก็ดน้ำแตกกระจายไม่หยุด เด็กชายชุดเขียวเพิ่งจะกินหินดีงูธรรมดาไปก้อนหนึ่งก็คิดอยากจะทำตัวดีๆ จึงเป็นฝ่ายเสนอตัวถือไห แต่พอถูกฝอยน้ำกระเด็นมาโดนร่าง เขาก็พลันกล่าวอย่างตกตะลึง “น้ำในบ่อนี่…ไม่ธรรมดา”
หร่วนซิ่วพยักหน้ารับ “น่าเสียดายที่ตอนนี้บ่อโซ่เหล็กถูกคนนอกซื้อไปแล้ว พวกชาวบ้านไปตักน้ำที่นั่นไม่ได้อีก จะเข้าไปใกล้ก็ยังไม่ได้”
แน่นอนว่าหากเป็นนางที่ไปตักน้ำย่อมไม่มีปัญหา
หลังจากขวัญเสียไปแล้วตอนอยู่ร้านตีเหล็ก เด็กชายชุดเขียวจึงสงบปากสงบคำมากขึ้น ไม่กล้าผยองโอหังอีก พอได้ยินข่าวร้ายนี้ก็แทบจะตีอกชกหัวตัวเอง กระนั้นก็ได้แต่ตำหนิเฉินผิงอันงุบงิบว่าทำไมไม่ซื้อบ่อน้ำไว้แต่แรก
หร่วนซิ่วถามเบาๆ “ไม่อย่างนั้นให้ข้าไปคุยกับคนของฝ่ายนั้นดีไหม? หากเจ้าต้องการ ไม่แน่ว่าอาจจะซื้อบ่อโซ่เหล็กบ่อนั้นไว้ได้”
เฉินผิงอันรีบส่ายหน้า “ไม่ต้อง อีกอย่างตอนนี้ข้าก็ไม่มีเงิน”
หร่วนซิ่วจะพูดต่อ แต่เห็นสีหน้ายืนกรานของเฉินผิงอันแล้วก็ได้แต่ล้มเลิกความคิดที่ผุดขึ้นมาในใจ
ขยับเข้าใกล้ตรอกฉีหลง เฉินผิงอันก็เอ่ยว่า “มีแม่นางน้อยคนหนึ่งชื่อสือชุนเจีย ดูเหมือนว่าจะเป็นลูกสาวเจ้าของร้านหนึ่งในนี้”
หร่วนซิ่วมึนงงเล็กน้อย “ข้าไม่รู้หรอก”
อันที่จริงมีเรื่องมากมายที่เด็กสาวไม่ให้ความสนใจ
เมื่อคนงานของสองร้านได้ยินว่าเจ้านายที่แท้จริงกำลังจะเผยโฉม ทุกคนจึงมารวมตัวกันอย่างครึกครื้น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นสตรีแต่งงานแล้วและเด็กสาวที่มีท่าทางซื่อสัตย์ แต่พอเห็นเฉินผิงอันพวกเขาก็อดจะผิดหวังไม่ได้ จากนั้นพากันกลับร้านไปทำงานต่อ แต่ตอนที่พวกเขาเรียกหร่วนซิ่วว่าเถ้าแก่กลับทำให้เด็กสาวเขินอายไม่น้อย
เฉินผิงอันนั่งอยู่ในร้านยาสุ้ยครู่หนึ่ง ดื่มชาร้อนๆ อย่างวางตัวไม่ถูก เพราะไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรหรือทำอะไร กลับเป็นหร่วนซิ่วที่เอ่ยถามคนในร้านอย่างเป็นขั้นเป็นตอน รายรับเท่าไหร่ กำไรเท่าไหร่ เฉินผิงอันมองเด็กสาวชุดเขียวที่มีสีหน้าจริงจังแล้วเกาหัว เริ่มรู้สึกว่าของขวัญของตนด้อยค่า ไม่พิถีพิถันเอาเสียเลย
ก่อนจะไปยังถนนฝูลวี่ หร่วนซิ่วมองเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูแล้วเอ่ยกำชับเฉินผิงอันเบาๆ “ตอนนี้ถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่มีการเปลี่ยนแปลงไปมาก คนต่างถิ่นย้ายเข้ามาอยู่กันหลายคน หนึ่งในนั้นคือตระกูลหลี่ที่ค่อนข้างจะพิเศษ บรรพบุรุษตระกูลพวกเขาเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตสิบได้สำเร็จ ตามประกาศการพระราชทานรางวัลของอดีตฮ่องเต้ต้าหลี ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจึงมอบรายชื่อผู้ที่ได้รับการคุ้มครองจากราชวงศ์ให้สองรายชื่อ ลูกหลานสกุลหลี่สามารถรับตำแหน่งขุนนางน้ำดีได้สองคนโดยไม่ต้องสอบ คนหนึ่งเป็นขุนนางอยู่ที่เมืองหลวงแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมคนที่อยู่ในตระกูลถึงได้ปฏิเสธ ดังนั้นบรรยากาศของถนนฝูลวี่ช่วงนี้จึงแปลกประหลาดอยู่บ้าง”
เฉินผิงอันคิดดูแล้วก็ให้เด็กทั้งสองรออยู่ที่ร้าน ตัวเองประคองไหไปที่ถนนฝูลวี่โดยไม่ต้องให้หร่วนซิ่วนำทาง หร่วนซิ่วเองก็ไม่ได้ยืนกรานอะไร เพียงกลับไปที่ร้านตีเหล็ก
เด็กสาวเดินออกจากเมืองเล็ก เดินไปทางสะพานหินโค้งที่เดินผ่านมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน สะพานแบบคานถูกรื้อถอนไปนานแล้ว ตอนนี้กระบี่โบราณไม่อยู่แล้ว เคยมีพวกคนที่อยากรู้อยากเห็นพยายามตามหามัน หวังว่าตัวเองจะได้รับโชควาสนาสักครั้งซึ่งยังไงก็ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย เพียงแต่ว่าต้องกลับมามือเปล่ากันเสียทุกครั้ง
สำหรับเขตการปกครองหลงเฉวียนที่วุ่นวายโกลาหลและมีคลื่นใต้น้ำรอก่อตัวแห่งนี้ มีเรื่องราวพิลึกพิลั่นเกิดขึ้นมากมาย คนทั้งหลายจำเป็นต้องวางแผนสลับซับซ้อนเพื่อการใหญ่ในอนาคต ไหนเลยจะยังมีเวลามาสนใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้อีก
หร่วนซิ่วที่เดินอยู่บนสะพานหินโค้งอดหยิบไม้ไผ่แผ่นนั้นออกมาแล้วชูขึ้นสูงไม่ได้
ตัวอักษรเล็กๆ ห้าตัว มองร้อยรอบก็ไม่เบื่อ
นางพลันรู้สึกว่าหากสามารถสลักตัวอักษรอีกแถวหนึ่งไว้ด้านหลังคงจะดียิ่งกว่าเดิม
ยกตัวอย่างเช่น ‘เฉินผิงอันมอบให้หร่วนซิ่ว?’
ในเมืองเล็ก
เฉินผิงอันเหยียบลงบนถนนที่ปูด้วยแผ่นหินเขียวอีกครั้ง อาคารบ้านเรือนสูงโอ่อ่าหลังแล้วหลังเล่าเรียงตัวกันทอดยาวดุจเทือกเขา เมื่อเทียบกับการส่งจดหมายหลายครั้งก่อนหน้านี้ ตอนนี้พอลองย้อนกลับไปมองอีกครั้ง เฉินผิงอันย่อมสามารถมองเห็นความนัยที่ซ่อนอยู่ได้มากกว่าเดิม
เฉินผิงอันเพิ่งจะเดินมาถึงหน้าบ้านตระกูลหลี่ก็มองเห็นบุรุษสวมชุดสีเขียวยืนอยู่ตรงนั้น กำลังยิ้มมองมาที่ตน
ไม่รู้ว่าทำไม พอเห็นชายหนุ่มที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายของหนังสือผู้นี้ เฉินผิงอันถึงไพล่นึกถึงครั้งไปส่งจดหมายที่โรงเรียน แล้วตนหันหน้ากลับไปมอง ตอนนั้นสิ่งที่เขาเห็นก็คือภาพของฉีจิ้งชุนที่ยืนอยู่หน้าประตูโรงเรียน
บุคลิกลักษณะเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน
เสมือนเทพเจ้า
——————————