กล่าวมาถึงตรงนี้ ซ่งอวี้จางก็คารวะขออภัยอีกครั้ง ถ้อยคำที่เอ่ยแฝงไว้ด้วยความขบขัน “ท่านมหาเทพแห่งขุนเขาให้เกียรติมาเยือนภูเขาลั่วพั่วหลายครั้ง เทพน้อยไม่เคยกล้าเผยตัวด้วยหวาดเกรงท่าน ควรเป็นเทพน้อยที่ต้องไปเยี่ยมเยียนท่านที่ภูเขาพีอวิ๋นถึงจะถูก”
จะอย่างไรก็เคยเป็นขุนนางระดับล่างที่ลงหลักปักฐานอยู่ในเมืองเล็กมาหลายปี อีกทั้งยังชอบทำงานทุกอย่างด้วยตัวเอง มักจะไปขลุกอยู่ในเตาเผามังกรสามสิบกว่าแห่งตลอดทั้งปี มาดความเป็นขุนนางบนร่างซ่งอวี้จางจึงถูกเกลาให้ราบเรียบนานแล้ว อย่าว่าแต่มุขตลกขบขันเลย แม้แต่คำพูดหยาบคายต่ำช้า เขาก็ยังรู้ไม่น้อย
เว่ยป้อกล่าวอย่างระอาใจ “ดีนักนะ ท่านซ่งปรับตัวจากวงการหนึ่งไปเข้าอีกวงการหนึ่งได้รวดเร็วปานนี้ นับว่าหัวไวยิ่ง”
ซ่งอวี้จางถามยิ้มๆ “ท่านที่อยู่ทิศเหนือคือ?”
เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ ขนาดพระพุทธรูปยังต้องแย่งชิงก้านธูปเลย แล้วนับประสาอะไรกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำอย่างพวกเขาที่ต้องอาศัยควันธูปเพื่อดำรงชีพ
กลอุบายอ้อมค้อม คนที่ทำตัวเป็นแมลงวันซอกซอนเข้าโพรงโน้นเจาะโพรงนี้ ไม่ได้น้อยไปกว่าวงการขุนนางในโลกมนุษย์เลย
เว่ยป้อคิดแล้วก็พูดขึ้นเบาๆ ว่า “ไม่ใช่คนที่รับมือได้ง่ายสักเท่าไหร่ ตอนมีชีวิตอยู่เป็นแม่ทัพฝ่ายบู๊ของต้าหลีที่มีคุณความชอบในการรบอย่างสูง อารมณ์ร้ายมาก แต่ได้ยินมาว่าเขาสนิทกับสองท่านที่อยู่ในหอเหวินชางและศาลอู่เซิ่งมาก”
ซ่งอวี้จางพูดอย่างสนุกสนาน “ขุนนางจะเป็นกันแบบนี้ไม่ได้ ไม่คาระเทพที่แท้จริง ดันไปคารวะเทพนอกรีต เข้าผิดศาล จุดธูปผิดที่ กาลภาคหน้าย่อมต้องลำบากแน่”
เว่ยป้อหัวเราะเสียงดังอย่างถูกใจ ยกนิ้วโป้งให้อีกฝ่าย “ประโยคนี้พูดได้สาแก่ใจข้านัก”
เว่ยป้อขยับนิ้วขึ้นสูงเล็กน้อย ภูเขาลั่วพั่วที่อยู่ท่ามกลางเมฆหมอกก็ขยับสูงตามไปด้วย สุดท้ายเผยให้เห็นภาพมุมหนึ่งอย่างชัดเจน
บนผิวลำธารมีคนผูกเชือกเส้นหนึ่งเอาไว้ ปลายเชือกสองด้านผูกอยู่บนต้นไม้สองต้น ขวดเล็กใบหนึ่งที่เปิดฝาจุกถูกผูกไว้กลางเชือก
ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่บนฝั่ง เด็กหญิงสวมชุดกระโปรงชมพูคอยกระโดดเบาๆ แกว่งเชือกให้ขยับ ขวดที่อยู่บนผิวน้ำก็แกว่งตามไปด้วย
เว่ยป้ออธิบาย “นี่ก็คือขวดเร่าเหลียงคุณภาพดีใบหนึ่ง พวกมันสามารถกักเก็บเสียงที่งดงามมากมายในโลก ขวดที่เห็นอยู่ตอนนี้จำเป็นต้องมีคนคอยแกว่งเชือกให้เบาๆ จึงจะช่วยให้ขวดน้อยดูดซับเสียงน้ำได้ดียิ่งขึ้น หากไม่ทำเช่นนี้จะต้องเสียเวลานานมากกว่าจะเก็บเสียงไว้ได้เต็มขวด”
ซ่งอวี้จางถาม “เป็นขวดของเฉินผิงอันเจ้าของภูเขา?”
เว่ยป้อพยักหน้ารับ “ใช่แล้ว เจ้าคิดยังไงกับเฉินผิงอัน?”
ซ่งอวี้จางตอบอย่างไม่ลังเล “เพราะซ่งจี๋ซิน…เพราะความเกี่ยวข้องกับองค์ชาย ข้าจึงรู้เรื่องระหว่างการเติบโตของเฉินผิงอันอย่างชัดเจน ดังนั้นความประทับใจที่มีต่อเขาจึงดีมาก ได้มาเป็นเทพภูเขาลั่วพั่ว สำหรับข้าแล้วจึงนับว่าไม่เลวเลย”
เว่ยป้อหันขวับมามองเทพภูเขาผู้ปกครองพื้นที่แถบนี้ เป็นครั้งแรกที่เรียกซ่งอวี้จางว่าใต้เท้าซ่ง จากนั้นก็ยิ้มตาหยีพูดว่า “เจ้าอย่าบอกนะว่า เจ้าไม่เคยคิดถึงสถานการณ์หนึ่ง นั่นคือต้าหลีต้องการให้เจ้าจับตามองเฉินผิงอัน และไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งอาจจะบอกให้เจ้าทำเรื่องที่ผิดต่อมโนธรรมในใจตัวเองก็ได้”
ซ่งอวี้จางยิ้มสง่างาม “ต้องเดาได้อยู่แล้ว ต้าหลีของข้าทุ่มเทแรงกายแรงใจมากมายเพราะเรื่องนี้ เพื่อสร้างสะพานแบบคานแห่งนั้นมีลูกหลานเชื้อพระวงศ์ต้าหลีต้าตายไปตั้งเท่าไหร่ เรื่องนี้ท่านน่าจะรู้อยู่แล้ว ดังนั้นในเมื่อวันนี้ชะตาชีวิตของเฉินผิงอันพลิกกลับ โชควาสนายิ่งใหญ่มาเยือน จะไม่ให้ต้าหลีของข้าป้องกันเหตุไม่คาดฝันเลยได้อย่างไร?”
ต้าหลีของข้า!
เมื่อมีชีวิตอยู่ภาคภูมิใจในสิ่งนี้ ตายไปแล้วก็ยังไม่เปลี่ยน นี่กระมังที่เรียกว่าถึงตายก็ไม่สำนึก?
เว่ยป้อเงียบไปนาน เรียกไอหมอกเหล่านั้นกลับเข้ามาในชายแขนเสื้อประหนึ่งม้วนตลบฝูงนกกลับคืนรัง ซ่งอวี้จางถึงขนาดสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความลิงโลดร่าเริงของพวกมัน
เว่ยป้อคลี่ยิ้ม “เอาล่ะ ข้ารู้แล้ว”
แล้วเว่ยป้อก็หายตัวไป
เหลือซ่งอวี้จางอยู่ในศาลเทพภูเขาเพียงลำพัง เขาถอนหายใจหนึ่งครั้ง หรือว่าตนไม่เหมาะจะเป็นขุนนางจริงๆ ถึงได้พบเจอแต่อุปสรรค ไม่ว่าจะมีชีวิตอยู่หรือตายแล้วก็ล้วนเป็นเช่นนี้
เว่ยป้อเทพเซียนชุดขาวพาเด็กหนุ่มเฉินผิงอันสำรวจตรวจตราไปรอบทิศ ความหมายในการกระทำนี้ ใครบ้างที่ไม่เข้าใจ?
ซ่งอวี้จางย่อมรู้ดี รูปปั้นในศาลเทพภูเขาทางทิศเหนือก็รู้ดีเช่นกัน กองกำลังตระกูลเซียนทั้งหมดที่ซื้อภูเขาไว้ มีใครบ้างที่ไม่อยู่มานานจนกลายเป็นยอดคน แน่ล่ะว่าพวกเขายิ่งรู้ชัดอยู่แก่ใจ
เว่ยป้อจงใจพาเด็กหนุ่มเดินไปทั่วภูเขาใหญ่แต่ละลูก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นการบอกความจริงข้อหนึ่งอย่างตรงไปตรงมา
เฉินผิงอันมีข้าเว่ยป้อคุ้มครอง พวกเจ้าที่เป็นคนนอก ไม่ว่าจะมีที่มาอย่างไร ขอแค่หวังจะมาขอข้าวกินในถิ่นข้าถ้วยหนึ่ง ก็ควรต้องชั่งน้ำหนักของทวยเทพแห่งขุนเขาเหนือองค์ใหม่ดูสักหน่อย เพราะเขาเว่ยป้อไม่ใช่เทพแห่งภูเขาทั่วไป ในอนาคตมีความเป็นไปได้มากว่าจะกลายเป็นทวยเทพแห่งขุนเขาเหนือที่มีพละกำลัง ถิ่นฐานและอำนาจมากที่สุดของพื้นที่ครึ่งหนึ่งในแจกันสมบัติทวีปนับจากทิศเหนือของสำนักศึกษากวานหูขึ้นมา เพียงหนึ่งเดียว!
……
เพิ่งจะผ่านปีใหม่มาได้สามวันก็เริ่มมีคนออกจากบ้านเดินทางท่องเที่ยวแล้ว
ในกลุ่มภูเขาทางทิศตะวันตกของเมืองเล็ก ชายหนุ่มสวมชุดขงจื๊อกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งท่าทางเหมือนเด็กรับใช้ ต่างคนต่างถือไม้เท้าไม้ไผ่ไว้ในมือ พากันเดินขึ้นเขาลงห้วย มุ่งหน้ามาทางภูเขาลั่วพั่ว
บัณฑิตสะพายหีบหนังสือใบหนึ่ง
เด็กหนุ่มรับใช้ใบหน้างดงาม ไร้ตำหนิข้อบกพร่อง ไม่แพ้โฉมสะคราญคนใด
บุรุษที่เขาติดตามมาคือคนในพื้นที่ของเมืองเล็ก ตอนนี้เมื่อสกุลเฉินเขตการปกครองหลงเหว่ยมาเปิดโรงเรียนอยู่ในเมืองเล็ก บุรุษจึงรับหน้าที่เป็นผู้ช่วยสอน ชื่อเสียงไม่โด่งดัง อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบเคียงเหล่าปัญญาชนผู้มากความรู้ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือสี่ทิศได้ ด้วยเหตุนี้จึงไม่อาจได้รับการเรียกขานว่าเป็นอาจารย์นักปราชญ์ แต่พวกเด็กๆ ในโรงเรียนกลับชื่นชอบเขามาก ชอบฟังเขาเล่าเรื่องแปลกพิสดารเต็มไปด้วยสีสัน หรือไม่ก็เรื่องราวงดงามจับใจอย่างเช่นเรื่องที่จิ้งจอกชื่นชอบบัณฑิต ส่วนเด็กหนุ่มก็ยิ่งชมชอบเขา ตามตื๊อตอแยอยู่นาน เขาถึงยอมรับปากเป็นอาจารย์ของตน
เด็กหนุ่มเป็นคนสนใจใคร่รู้ทุกเรื่องราวมาตั้งแต่เกิด เขาอาศัยอยู่ในบ้านบรรพบุรุษสกุลหยวนที่เมืองเล็กเพียงลำพัง เวลานี้เอ่ยถามขึ้นว่า “อาจารย์ อริยะของลัทธิเต๋าเคยกล่าวว่า ชั่วหนึ่งชีวิตคนอาจมองเห็นขอบเขต แต่กลับไม่มีขอบเขตสำหรับความรู้ความเข้าใจ เอาชีวิตคนที่มองเห็นขอบเขตไปแสวงหาความรู้ความเข้าใจที่ไร้ขอบเขต อันตรายก็มาเยือน แบบนี้จะทำอย่างไรดี?”
ชายสวมชุดขงจื๊อกำลังคิดถึงอย่างอื่นจึงไม่ได้ตอบคำถามเขาในทันที
เด็กหนุ่มเคยชินกับอาการใจลอยของอาจารย์ตัวเองมานานแล้ว จึงเอ่ยคำถามของตัวเองต่อไป “แล้วอริยะท่านนั้นก็บอกอีกว่า คนเรามีชีวิตอยู่บนโลก ประหนึ่งควบม้าขาวผ่านร่องแคบ เพียงพริบตาเวลาก็ผ่านไป เห็นได้ชัดว่ายิ่งเป็นการเสริมหลักฐานให้กับข้อแรก แล้วแบบนี้จะเข้าใจอย่างไรล่ะ?”
ในที่สุดบุรุษก็คืนสติ จึงตอบด้วยรอยยิ้มบางๆ “เพราะฉะนั้นถึงต้องฝึกตนอย่างไรล่ะ ทุกครั้งที่ข้ามผ่านธรณีประตูหนึ่งบานก็จะมีชีวิตยืนยาวไปอีกสิบปี อีกร้อยปี ก็จะได้อ่านหนังสือมากขึ้น”
เด็กหนุ่มยังรู้สึกไม่กระจ่างเต็มที่ “แต่ถึงแม้ว่าลัทธิขงจื๊อของพวกเราจะเลื่อมใสในการฝึกตนเหมือนกัน ทว่าการเรียนหนังสือก็เพื่อก้าวเข้าสู่สังคม เพื่อทำให้โลกใบนี้ดียิ่งกว่าเดิม ไม่เหมือนกับลัทธิเต๋าที่แสวงหาแค่ชาติกำเนิดและการพิสูจน์มรรคาของตัวเอง แบบนี้จะทำอย่างไร?”
“ไม่จริงใจก็ไม่ประทับใจผู้คน”
บุรุษเอ่ยแปดคำยิ้มๆ เขาหยุดยืน มองทัศนียภาพรอบด้าน ภูเขาเขียวน้ำใสไหลริน จากนั้นก็พูดอีกแปดคำ “ยืนเหยียบพื้นมั่นคง ปล่อยทุกอย่างไปตามธรรมชาติ”
เด็กหนุ่มได้ยินคำว่า ‘ปล่อยไปตามธรรมชาติ’ ก็ให้นึกถึงลัทธิเต๋าที่รุ่งโรจน์สุดขีดในบุรพแจกันสมบัติทวีปโดยอัตโนมัติ เขาถอนหายใจหนึ่งที “ข้าเคยอ่านเจอในหนังสือเล่มหนึ่ง บอกว่ายามเกิดกลียุค ลัทธิเต๋าลงจากภูเขาไปช่วยผู้คน ลัทธิพุทธปิดประตูเคาะปลาไม้ ยามที่โลกสงบสุข ลัทธิเต๋าตั้งใจฝึกตนอยู่บนภูเขาอย่างสันโดษ ลัทธิพุทธเปิดประตูรับเงิน อาจารย์ ฟังดูแล้วลัทธิเต๋าก็ไม่เลวเลยนะ ส่วนลัทธิพุทธกับหลวงจีนกลับใช้ไม่ได้สักเท่าไหร่ มิน่าเล่าพวกเขาที่อยู่ในทวีปของเราถึงไม่ได้รับความนิยม หลักพระธรรมไม่รุ่งเรือง”
บุรุษส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นเพียงแค่คำพูดจากอคติของบัณฑิตบางคนที่เจ็บแค้นเท่านั้น ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผลเสียเลย แต่เหตุผลที่อธิบายไว้ก็มีน้อยมาก ใช้อคติสรุปภาพรวม กลับกลายเป็นว่าไม่สมควร สู้ไม่พูดยังจะดีกว่า การที่สามลัทธิสามารถก่อตั้งขึ้นมาได้ แน่นอนว่าต้องมีความเก่งกาจของตัวเอง อีกอย่างระบบของสามลัทธิก็ซับซ้อนมาก แตกกิ่งก้านสาขามากมาย แต่ละสายปะปนกันหลากหลาย ดังนั้นเมื่อเจ้าอยากจะทำความเข้าใจวัตถุประสงค์ของสามลัทธิให้ชัดเจนก็ต้องสืบย้อนไปถึงต้นกำเนิด ถึงจะวิจารณ์พวกเขาได้ ไม่ใช่ว่ามีความรู้แค่งูๆ ปลาๆ ก็พูดจาเลื่อนเปื้อนเหลวไหล พบเจอนักพรตเต๋าหรือหลวงจีนชั่วร้ายแค่ไม่กี่คนก็คิดจะฆ่าให้ตายทั้งหมด แบบนี้ไม่ดีอย่างยิ่ง”
บุรุษสวมชุดขงจื๊อมองไปยังยอดเขาใหญ่แห่งหนึ่งที่ห่างไปไกล “สามลัทธิมีการโต้วาที จะมีคนสามคนที่มาอธิบายต้นกำเนิดการก่อตั้งลัทธิของตัวเอง ความลึกล้ำละเอียดอ่อนในหลักการของสามฝ่าย คนนอกไม่อาจจินตนาการได้ ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่อันตรายที่สุด”
เด็กหนุ่มไม่เข้าใจ “อาจารย์ คนทั้งสามต่างก็พูดเรื่องของตัวเอง จะอันตรายได้อย่างไร?”
บุรุษถอนสายตากลับมาจากที่สูง มองไปยังทิศใต้ในระนาบสายตาปกติ ยิ้มบางๆ ตอบว่า “ในเมื่อเป็นการโต้วาที นอกจากเจ้าต้องเข้าใจข้อดีข้อเสียของลัทธิตัวเองแล้ว ยังต้องทำความเข้าใจจุดอ่อนจุดแข็งของคนอื่นด้วย ถึงจะสามารถโน้มน้าวอีกสองคนที่เหลือให้ยอมรับในเหตุผลของเจ้าได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ในขณะที่ศึกษาความรู้ของลัทธิอื่นก็จะต้องมีบางคนที่บ้างก็เกิดปัญญาตระหนักรู้ บ้างก็ถูกตีกลางแสกหน้า การโต้วาทียังไม่ทันเริ่มก็เปลี่ยนสำนัก เดินไปบนเส้นทางของลัทธิอื่นแล้ว”
เด็กหนุ่มที่มีหน้าตางามประณีตเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง ไม่กระจ่างแจ้งนัก
บุรุษยิ้ม “อย่าเพิ่งไปคิดอะไรมากเลย เดินไปข้างหน้าต่อเถอะ”
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับแรงๆ
เขาชื่อชุยชื่อ ชื่อนี้เขาตั้งด้วยตัวเอง บ้านอยู่ที่บ้านบรรพบุรุษตระกูลหยวนในเมืองเล็ก แต่กลับไม่ใช่คนของตระกูลหยวน
บัณฑิตสวมชุดขงจื๊อที่เดินอยู่ด้านหน้าก็คือหลี่ซีเซิ่ง นอกจากที่มือถือไม้เท้าช่วยค้ำยันเวลาเดินบนทางภูเขาแล้ว ตรงเอวเขายังห้อยยันต์ดอกท้อที่ทำจากแผ่นไม้สองชิ้นประกบกัน ลักษณะโบราณเรียบง่ายแต่ชวนมอง
เมื่อมาแขวนอยู่ตรงเอวเขาก็เข้ากันยิ่งนัก
ชุยชื่ออดถามคำถามขึ้นมาอีกไม่ได้ “อาจารย์ พวกเราขึ้นเขามาทำไมหรือ?”
หลี่ซีเซิ่งตอบ “เพราะข้ารู้สึกว่ามีเรื่องหนึ่งที่คนบางคนทำไม่ถูก ในเมื่อทำผิดแล้วก็ไม่ควรผิดซ้ำซาก ข้าต้องการทำในสิ่งที่ตัวเองพอจะทำได้”
ชุยชื่อยิ้มกว้างสดใส “อาจารย์ถูกเสมออยู่แล้ว!”
หลี่ซีเซิ่งส่ายหน้า “หลักการอันล้ำค่าที่สืบทอดมายาวนานบนหน้าหนังสือ ไม่ว่าจะเป็นของลัทธิไหนสำนักใด ก็ไม่ควรจะจมหายไปในความว่างเปล่า”
เด็กหนุ่มรู้สึกลังเลเล็กน้อย
หลี่ซีเซิ่งเอ่ยเย้า “วันนี้เจ้ายังถามคำถามสุดท้ายได้อีกหนึ่งข้อ”
เด็กหนุ่มกล่าวอย่างลิงโลด “ข้าอ่านเจอจากหนังสือลายมือนักประพันธ์คนหนึ่ง บอกว่าใต้หล้ามีหอพิทักษ์เมืองเก้าแห่ง แต่ทำไมจำนวนตัวอักษรของชื่อหอแห่งสุดท้ายถึงไม่เท่าหอแห่งอื่น?”
หลี่ซีเซิ่งขบคิด “เจ้าหมายถึงหอพิทักษ์เมืองที่ชื่อว่า ‘สยบไป๋เจ๋อ’ รึ? (ไป๋เจ๋อในอีกความหมายคือสัตว์ในตำนานอีกตัวหนึ่งของประเทศจีน มีลักษณะลำตัวเหมือนสิงโต มีเขาสองข้าง และมีเคราเหมือนแพะ เป็นสัตว์ที่นับว่าประเสริฐของประเทศจีน) เพราะว่าไป๋เจอคือ…ชื่อของคนผู้หนึ่ง หากจะให้ชื่อว่าหอสยบไป๋ หรือหอสยบเจ๋อ ก็คงไม่เหมาะ”
เด็กหนุ่มร้สึกคันยิบๆ ในใจ หน้ามุ่ย อยากจะถามอีกหนึ่งคำถาม แต่ก็ไม่กล้า
หลี่ซีเซิ่งหลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ “จะถามอีกก็ได้ วันนี้อากาศดีมาก ภูเขาสวยน้ำใส ถามหลายๆ คำถามก็ได้”
เด็กหนุ่มเริงร่าโดยพลัน กระโดดโลดเต้นอยู่ข้างกายอาจารย์ของตน “ไป๋เจ๋อที่หอพิทักษ์เมืองสยบเอาไว้เกี่ยวข้องกับไป๋เจ๋อที่เป็นภาพวาดซึ่งผู้ฝึกลมปราณต้องมีไว้ครอบครองแทบทุกคนหรือไม่?”
หลี่ซีเซิ่งพยักหน้ารับ “เกี่ยวสิ มีชื่อเดียวกัน”
เด็กหนุ่มจุ๊ปากพูด “อาจารย์ แสดงว่าเรื่องนี้ต้องมีความรู้มากมายซ่อนอยู่ใช่ไหม?”
หลี่ซีเซิ่งเงยหน้าส่งยิ้มขออภัยให้กับทิศทางหนึ่งโดยที่เด็กหนุ่มไม่ทันสังเกต จากนั้นก็หันมาเอ่ยกำชับเด็กหนุ่ม “อริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อเตือนพวกเราไว้ว่า ห้ามเอ่ยชื่อผู้อาวุโส ไม่เพียงแต่ต้องปฏิบัติต่อเหล่าอริยะในศาลบุ๋นเท่านั้น กับอริยะปราชญ์ของสามลัทธิร้อยสำนักก็เหมือนกัน ดังนั้นในอนาคตเมื่อเจ้าเดินทางเพียงลำพัง จงอย่าเอ่ยเรียกชื่อของเขาออกมาโดยตรง”
เด็กหนุ่มกล่าวอย่างอัดอั้น “ไป๋เจ๋อ?”
หลี่ซีเซิ่งตบศีรษะเขายิ้มๆ “เจ้าคิดว่าไงล่ะ?!”
เด็กหนุ่มหัวเราะฮ่าๆ ไม่เห็นเป็นสำคัญ
คนทั้งสองเดินข้ามภูเขาข้ามธารน้ำมุ่งหน้าไปยังภูเขาลั่วพั่วต่อ
ตรงชายหาดทะเลประจิมของบุรพแจกันสมบัติทวีปมีชายสวมเสื้อคลุมหนังเตียวคนหนึ่งยืนอยู่ริมชายฝั่ง จิตของเขากระตุกเล็กน้อย หันหน้ามองไปทางทิศตะวันออกแล้วขมวดคิ้ว
ข้างกายเขามีสตรีสวมชุดชาววังคลุมหมวกผ้าโปร่งปิดบังใบหน้ายืนอยู่ ซึ่งก็คือจิ้งจอกที่ตกจากทางเดินเลียบหน้าผาในคืนหิมะตกหนักตนนั้น
นางเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “มีอริยะบางท่านในแจกันสมบัติทวีปพูดจาจาบจ้วงนายท่านหรือ? ต้องการให้บ่าวไปสั่งสอนเขาสักหน่อยหรือไม่?”
บุรุษถอนสายตากลับคืนมา เอ่ยเรียบๆ “แค่ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตหกคนหนึ่งของต้าหลีเท่านั้น ดีนักนะ ‘ใต้หล้ายังไม่วุ่นวาย ขวดก็ถูกเปลี่ยนก่อนแล้ว’” (ขวดในที่นี้ใช้คำว่า 瓶 ซึ่งเป็นคำเดียวกับคำว่าแจกันของแจกันสมบัติทวีป)
สตรีอ้าปากค้าง ยอมเงียบเสียงลงแต่โดยดี รีบเตือนตัวเองในใจว่าพูดให้น้อยลงน่าจะดีกว่า
—–