กระบี่จงมา Sword of Coming – บทที่ 194.1 กำจัดปีศาจและปราบมาร

บทที่ 194.1 กำจัดปีศาจและปราบมาร

แม้ว่าจะไม่จำเป็นต้องไปเยี่ยมญาติ แต่ปีใหม่ทั้งทีเอาแต่อยู่บนภูเขาลั่วพั่วที่เงียบสงัดก็ไม่ใช่เรื่อง ดังนั้นเฉินผิงอันจึงพาเด็กน้อยสองคนออกจากภูเขาใหญ่ กลับเข้าไปในเมืองเล็กที่จอแจไปด้วยผู้คน ตอนนี้เมืองเล็กคึกคักไม่แพ้เขตการปกครองใดๆ ในแคว้นหวงถิงแล้ว เพียงแต่ว่าไม่มีบ่อโซ่เหล็กที่แขวนโซ่เหล็ก ไม่มีถนนเก่าแก่ที่อยู่ใกล้กับต้นไหวโบราณ ไม่มีโรงเรียนของอาจารย์ฉี ต่อให้คนจะคลาคล่ำแค่ไหน กลิ่นอายของปีใหม่จะเต็มเปี่ยมเท่าไหร่ เฉินผิงอันก็ยังคงรู้สึกหม่นหมองอยู่ดี

ขยับเข้าใกล้ตรอกเล็ก เด็กชายชุดเขียวก็บ่นขึ้นมาว่า “นายท่าน หากไปที่ตรอกเล็กครั้งนี้แล้วยังเจอกับพวกคนดุร้ายที่สามารถต่อยข้าให้ตายด้วยหมัดเดียวอีก ข้าก็บอกไว้ก่อนเลยนะว่า วันหน้าข้าจะไม่ลงจากเขากลับมาบ้านบรรพบุรุษอีกแล้ว! ถึงเวลานั้นท่านห้ามมาโทษว่าข้าไม่มีน้ำใจด้วย”

ผลกลับกลายเป็นว่าเพิ่งจะเดินมาถึงปากตรอกหนีผิง เฉินผิงอันก็ได้เห็นเงาร่างของคนที่คุ้นเคย เรือนกายอรชรอ้อนแอ้นดุจกิ่งหลิวอ่อนที่พลิ้วไปตามสายลมฤดูใบไม้ผลิ มือทั้งคู่ของนางกำลังหิ้วถังน้ำหนึ่งถัง น่าจะเพิ่งกลับมาจากบ่อน้ำตรอกซิ่งฮวา ท่าทางเหน็ดเหนื่อยจึงกระแทกถังน้ำวางลง ค้อมเอวหอบฮักๆ ถังน้ำกระแทกบนพื้นอย่างแรง สะเก็ดน้ำจึงกระเด็นออกมาไม่น้อย เพียงแต่เด็กสาวไม่สนใจคราบสกปรกที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย

สาวใช้ของซ่งจี๋ซิน จื้อกุย หรือควรจะเรียกว่าหวังจู

เรื่องที่ว่านางจะเลือกเป็นสาวใช้ของเขาหรือเพื่อนบ้านอย่างซ่งจี๋ซิน เฉินผิงอันไม่เคยตำหนิเด็กสาว เพราะในตำราบอกไว้ว่า นกที่ดีมักเลือกกิ่งไม้พำนักนอน

ค่ำคืนที่มีพายุหิมะ เด็กสาวนอนหายใจรวยรินอยู่ท่ามกลางกองหิมะ ใช้แรงกำลังเฮือกสุดท้ายยื่นมือมาเคาะประตูเบาๆ

ช่วยหรือไม่ช่วย เป็นเรื่องของเฉินผิงอันเอง ส่วนคนอื่นจะคิดตอบแทนบุญคุณหรือไม่ก็เป็นเรื่องของคนอื่น

เพียงแต่ว่าได้มาพบกันอีกครั้งเร็วกว่าที่คิดไว้มาก อารมณ์ของเฉินผิงอันจึงค่อนข้างสับสน

จื้อกุยเองก็มองเห็นเฉินผิงอัน นางใช้หลังมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก มองมาทางเขา ยังคงสวมรองเท้าแตะเหมือนเดิม เพียงแต่บนมวยผมปักปิ่นไว้อันหนึ่ง ดูเหมือนตัวจะสูงขึ้นอีกเล็กน้อย ไม่ได้ไปไหนมาไหนเพียงลำพังอีกแล้ว เพราะข้างกายมีขวดน้ำมันน้อยเพิ่มมาอีกสองขวด (ขวดน้ำมันเป็นคำเรียกเด็กเล็กที่ติดผู้ใหญ่)

เด็กสาวไม่ได้พูดอะไร

เฉินผิงอันคิดจะทักทาย แต่กลับพบว่าเด็กชายชุดเขียวรั้งแขนของเขาไว้อย่างแรง ไม่ยอมให้เขาเดินหน้าต่อ ไม่ใช่แต่เขาเท่านั้น เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่หลบอยู่ด้านหลังตนก็กำชายแขนเสื้อของเฉินผิงอันเอาไว้แน่น เด็กน้อยสองคนฟันกระทบกันดังกึกๆ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง

เหมือนกับชาวบ้านขี้ขลาดที่กลัวผีมากที่สุดดันมาเห็นผีกลางวันแสกๆ เข้าจริงๆ

เด็กชายชุดเขียวเจ็บใจตัวเอง นึกอยากจะตบปากตัวเองแรงๆ ใครใช้ให้เจ้าปากอีกา! (ปากอีกาหมายถึงคนที่พูดไม่เป็นมงคล ปากไม่ดี)

เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูสะอื้นเสียงเบาอยู่ด้านหลังเฉินผิงอัน “นายท่าน ข้ากลัว กลัวยิ่งกว่ากลัวตายเสียอีก”

เฉินผิงอันถอนหายใจ “พวกเจ้าไปเดินเล่นที่อื่นก่อนแล้วกัน หรือจะไปช่วยดูร้านของพวกเราที่ตรอกฉีหลงก็ได้ แล้วหลังจากนี้ข้าค่อยไปหาพวกเจ้า”

เด็กน้อยทั้งสองเหมือนได้รับอภัยโทษ วิ่งตะบึงเผ่นหนีไปทันที

เฉินผิงอันเดินเข้าไปทางตรอกหนีผิงเพียงลำพัง แล้วเด็กหนุ่มก็ช่วยเด็กสาวถือถังน้ำ คนทั้งสองเดินเข้าไปในตรอกด้วยกันไม่ต่างจากภาพเหตุการณ์ของเมื่อหลายปีก่อน

 จื้อกุยถาม “เด็กสองคนนั้น เป็นเด็กรับใช้ที่เจ้ารับมาใหม่รึ?”

เฉินผิงอันตอบยิ้มๆ “เจ้าว่าข้าดูเหมือนคนเป็นนายท่านหรือไง? พวกเขาก็เรียกเล่นๆ ไปอย่างนั้นเอง”

จื้อกุยร้องอ้อรับหนึ่งที

ตอนที่เดินผ่านบ้านบรรพบุรุษตระกูลเฉา ประตูหน้าบ้านของพวกเขาเปิดอ้า ผู้เฒ่าอย่างเฉาซีนั่งแทะเมล็ดแตงอยู่หน้าประตู ส่วนเด็กอย่างเฉาจวิ้นนั่งยองอยู่บนกำแพง แล้วก็แทะเมล็ดแตงเหมือนกัน

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาพร้อมใจกันมาชมเรื่องสนุก

เฉาซีหัวเราะเฮอๆ “กูไหน่ไนน้อย (กูไหน่ไนคำที่บุคคลในครอบครัวของแม่เรียกลูกสาวที่ออกเรือนไปแล้ว) ท่านผู้นี้คือคนรักของเจ้าหรือ? เล่นมาออดอ้อนหนุงหนิงกันแต่เช้าแบบนี้ บุรุษอย่างข้ากับเฉาจวิ้นอิจฉายิ่งนัก”

เฉาจวิ้นที่ชอบหรี่ตามองคนยังคงมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้า ตรงเอวห้อยกระบี่สั้นยาวคู่นั้น พยักหน้ารับ “อิจฉาๆ”

จื้อกุยแค่นเสียงเย็น “คานบนไม่ตรงคานล่างเอียง! มิน่าเล่าขนาดบ้านบรรพบุรุษยังถล่มลงมา”

เซียนกระบี่พสุธาผู้ยิ่งใหญ่แห่งทักษินาตยทวีป เจ้าของหอสยบสมุทรครึ่งหนึ่งอย่างเฉาซีกลับไม่หงุดหงิดแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามยังยิ้มกว้างกว่าเก่า “กูไหน่ไนน้อยสั่งสอนได้ถูกต้องแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าผ่านมาหลายปีขนาดนี้ ทำไมบ้านเก่าตระกูลเฉาของพวกเราถึงไม่มีคนจิ๋วควันธูปเลยสักคนเดียว ตามหลักแล้วข้ามีชีวิตอย่างรุ่งโรจน์อยู่ในทักษินาตยทวีป ไม่ว่าอย่างไรที่นี่ก็ควรจะมีหน้ามีตาตามไปด้วย แต่ทำไมถึงได้ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้?”

จื้อกุยหยุดเดิน หันมามองเฉาซีพลางคลี่ยิ้มไร้เดียงสา “ก็เพราะหายนะจากสวรรค์ไม่อาจหลบเลี่ยง กรรมที่ตัวเองก่อย่อมไม่มีที่ให้หลบซ่อนน่ะสิ หรือจะบอกว่ามีคนกินคนจิ๋วควันธูปของตระกูลพวกเจ้าไป อีกอย่างเมืองเล็กก็ห้ามใช้เวทคาถาทุกชนิด คิดจะอาศัยร่มเงาบรรพบุรุษในตระกูลเลี้ยงคนจิ๋วควันธูปสักคนนั้นยากยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์ ไม่แน่ว่าตระกูลเฉาของพวกเจ้าอาจจะไม่เคยมีคนจิ๋วควันธูปเลยก็ได้ ว่าไหม?”

เฉาซีหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “มีเหตุผลๆ กู่ไหน่ไนน้อยเดินช้าๆ ตรอกเก่าทรุดโทรม ระวังจะสะดุดล้ม”

จื้อกุยหันหลังให้ตะพาบเฒ่าผู้นั้น สีหน้ามืดทะมึน

ตั้งแต่ต้นจนจบ เฉินผิงอันไม่เอ่ยอะไรสักคำ

เฉาจวิ้นถามยิ้มๆ “ตาเฒ่าเฉา นี่มันเรื่องอะไรกัน? ด้วยผลสำเร็จของเจ้าในนาตยทวีป จำนวนของคนจิ๋วควันธูปคงกองกันเป็นกองทัพ สามารถยกพวกตีกันอยู่บนคานบ้านหรือไม่ก็บนกรอบป้ายหน้าบ้านได้เลยไม่ใช่หรือ?”

เฉาซีกล่าวอย่างไม่เห็นเป็นสำคัญ “เรื่องที่คนจิ๋วควันธูปเกิดยากในถ้ำสวรรค์หลีจู นางไม่ได้โกหก แต่ด้วยผลสำเร็จของข้ากับเซี่ยสือ อย่างน้อยก็ควรจะมีเหลือสักคนสองคน ยกตัวอย่างเช่นตระกูลเซี่ยในตรอกเถาเย่ที่อาศัยคนจิ๋วควันธูปคู่หนึ่งประคับประคองความรุ่งโรจน์ของตระกูลมาหลายร้อยปี ถึงพอจะรักษาควันธูปของลูกหลานเอาไว้ได้อย่างถูไถ หาไม่ก็คงเป็นเหมือนบ้านผุพังของพวกเราหลังนี้ และคนในตระกูลคงตายสิ้นไปนานแล้ว”

เฉาจวิ้นจุ๊ปากพูด “ถูกเด็กสาวนั่นทรมาทรกรรมจนเกลี้ยงเลยรึ? แล้วเจ้ายังจะพูดจาเป็นมิตรกับนางแบบนี้? เจ้าคงไม่ได้อยากนอนกับนางหรอกกระมัง?”

จิ้งจอกสีแดงเพลิงตัวหนึ่งกระโดดจากหลังคาลงมาบนหัวของเฉาจวิ้น พูดกลั้วหัวเราะ “นอนกับนาง? ตาเฒ่าเฉาหรือจะมีความกล้านี้ ตอนนี้เด็กสาวคนนั้นเป็นดั่งบุคคลที่คนนับหมื่นจับจ้องมองมา ต่อให้ตาเฒ่าเฉาขอบเขตสูงกว่านี้อีกหนึ่งขอบเขต เขาก็ไม่กล้าคิดชั่วกับนาง อย่างมากก็แค่ดีแต่ปาก ข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรง”

เฉาซีหันหน้ามาพูดยิ้มๆ “ไสหัวไปให้ไกล กลิ่นสาบจิ้งจอกเหม็นนัก รบกวนการสูดกลิ่นอายบ้านเกิดของข้า”

จิ้งจอกที่ยืนอยู่บนหัวเฉาจวิ้นยื่นกรงเล็บข้างหนึ่งชี้ไปที่ใต้ฝ่าเท้าตัวเอง แถมยังไม่ลืมกระทืบเท้าแรงๆ “มาๆๆ แน่จริงก็เรียกกระบี่แห่งชะตาชีวิตบนข้อมือเล่มนั้นออกมาฟันข้าเลย เฉาซีหากเจ้าไม่ฟันข้าก็เท่ากับเป็นหลานข้า เจ้าฟันให้เต็มแรงเลยนะ หากข้าหลบ ข้าก็คือหลานสาวของเจ้า!”

เฉาจวิ้นโคลงศีรษะ แต่ก็ไม่สามารถสลัดจิ้งจอกตัวนั้นให้หลุดไปได้ จึงกล่าวอย่างระอาใจ “พวกเจ้าสองคนจะทะเลาะกันก็ทะเลาะไปเถอะ แต่อย่าดึงข้าให้เดือดร้อนไปด้วย พูดกันอย่างยุติธรรมเลยนะ ตาเฒ่าเฉาก็แค่รับเมียน้อยคนที่สามสิบแปดเท่านั้น หากเจ้าเก็บกลั้นความแค้นนี้ไม่ไหวจริงๆ ก็ถลกหนังนางออกมาทำเสื้อผ้าชุดใหม่เสียเลย เรื่องแบบนี้ใช่ว่าเจ้าจะไม่เคยทำสักหน่อย เชี่ยวชาญดีจะตาย ทำไมต้องเอาข้ามาระบายอารมณ์ด้วย”

 จิ้งจอกสีแดงเพลิงหลุดหัวเราะพรืด “ตะพาบเฒ่าชอบผู้หญิงสะโพกใหญ่กลมแน่น ผ่านมากี่ปีก็ไม่เคยมีพัฒนาการ ช่างทำให้คนสะอิดสะเอียนจริงๆ”

เฉาซีนั่งกลับลงไปบนธรณีประตูใหญ่ หยิบเมล็ดแตงมาแทะอีกครั้ง “ทองพันชั่งก็มิอาจซื้อความชอบของข้าได้ อ้อ ใช่แล้ว นังผู้หญิงแพศยา ปีใหม่แล้วเชิญเจ้ากินเมล็ดแตง”

แล้วเสียงปังก็ดังสนั่น

 —–

กระบี่จงมา Sword of Coming

กระบี่จงมา Sword of Coming

Status: Ongoing
” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “
เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา
เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม
และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง
ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท