แม้ว่าจะไม่จำเป็นต้องไปเยี่ยมญาติ แต่ปีใหม่ทั้งทีเอาแต่อยู่บนภูเขาลั่วพั่วที่เงียบสงัดก็ไม่ใช่เรื่อง ดังนั้นเฉินผิงอันจึงพาเด็กน้อยสองคนออกจากภูเขาใหญ่ กลับเข้าไปในเมืองเล็กที่จอแจไปด้วยผู้คน ตอนนี้เมืองเล็กคึกคักไม่แพ้เขตการปกครองใดๆ ในแคว้นหวงถิงแล้ว เพียงแต่ว่าไม่มีบ่อโซ่เหล็กที่แขวนโซ่เหล็ก ไม่มีถนนเก่าแก่ที่อยู่ใกล้กับต้นไหวโบราณ ไม่มีโรงเรียนของอาจารย์ฉี ต่อให้คนจะคลาคล่ำแค่ไหน กลิ่นอายของปีใหม่จะเต็มเปี่ยมเท่าไหร่ เฉินผิงอันก็ยังคงรู้สึกหม่นหมองอยู่ดี
ขยับเข้าใกล้ตรอกเล็ก เด็กชายชุดเขียวก็บ่นขึ้นมาว่า “นายท่าน หากไปที่ตรอกเล็กครั้งนี้แล้วยังเจอกับพวกคนดุร้ายที่สามารถต่อยข้าให้ตายด้วยหมัดเดียวอีก ข้าก็บอกไว้ก่อนเลยนะว่า วันหน้าข้าจะไม่ลงจากเขากลับมาบ้านบรรพบุรุษอีกแล้ว! ถึงเวลานั้นท่านห้ามมาโทษว่าข้าไม่มีน้ำใจด้วย”
ผลกลับกลายเป็นว่าเพิ่งจะเดินมาถึงปากตรอกหนีผิง เฉินผิงอันก็ได้เห็นเงาร่างของคนที่คุ้นเคย เรือนกายอรชรอ้อนแอ้นดุจกิ่งหลิวอ่อนที่พลิ้วไปตามสายลมฤดูใบไม้ผลิ มือทั้งคู่ของนางกำลังหิ้วถังน้ำหนึ่งถัง น่าจะเพิ่งกลับมาจากบ่อน้ำตรอกซิ่งฮวา ท่าทางเหน็ดเหนื่อยจึงกระแทกถังน้ำวางลง ค้อมเอวหอบฮักๆ ถังน้ำกระแทกบนพื้นอย่างแรง สะเก็ดน้ำจึงกระเด็นออกมาไม่น้อย เพียงแต่เด็กสาวไม่สนใจคราบสกปรกที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย
สาวใช้ของซ่งจี๋ซิน จื้อกุย หรือควรจะเรียกว่าหวังจู
เรื่องที่ว่านางจะเลือกเป็นสาวใช้ของเขาหรือเพื่อนบ้านอย่างซ่งจี๋ซิน เฉินผิงอันไม่เคยตำหนิเด็กสาว เพราะในตำราบอกไว้ว่า นกที่ดีมักเลือกกิ่งไม้พำนักนอน
ค่ำคืนที่มีพายุหิมะ เด็กสาวนอนหายใจรวยรินอยู่ท่ามกลางกองหิมะ ใช้แรงกำลังเฮือกสุดท้ายยื่นมือมาเคาะประตูเบาๆ
ช่วยหรือไม่ช่วย เป็นเรื่องของเฉินผิงอันเอง ส่วนคนอื่นจะคิดตอบแทนบุญคุณหรือไม่ก็เป็นเรื่องของคนอื่น
เพียงแต่ว่าได้มาพบกันอีกครั้งเร็วกว่าที่คิดไว้มาก อารมณ์ของเฉินผิงอันจึงค่อนข้างสับสน
จื้อกุยเองก็มองเห็นเฉินผิงอัน นางใช้หลังมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก มองมาทางเขา ยังคงสวมรองเท้าแตะเหมือนเดิม เพียงแต่บนมวยผมปักปิ่นไว้อันหนึ่ง ดูเหมือนตัวจะสูงขึ้นอีกเล็กน้อย ไม่ได้ไปไหนมาไหนเพียงลำพังอีกแล้ว เพราะข้างกายมีขวดน้ำมันน้อยเพิ่มมาอีกสองขวด (ขวดน้ำมันเป็นคำเรียกเด็กเล็กที่ติดผู้ใหญ่)
เด็กสาวไม่ได้พูดอะไร
เฉินผิงอันคิดจะทักทาย แต่กลับพบว่าเด็กชายชุดเขียวรั้งแขนของเขาไว้อย่างแรง ไม่ยอมให้เขาเดินหน้าต่อ ไม่ใช่แต่เขาเท่านั้น เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่หลบอยู่ด้านหลังตนก็กำชายแขนเสื้อของเฉินผิงอันเอาไว้แน่น เด็กน้อยสองคนฟันกระทบกันดังกึกๆ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
เหมือนกับชาวบ้านขี้ขลาดที่กลัวผีมากที่สุดดันมาเห็นผีกลางวันแสกๆ เข้าจริงๆ
เด็กชายชุดเขียวเจ็บใจตัวเอง นึกอยากจะตบปากตัวเองแรงๆ ใครใช้ให้เจ้าปากอีกา! (ปากอีกาหมายถึงคนที่พูดไม่เป็นมงคล ปากไม่ดี)
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูสะอื้นเสียงเบาอยู่ด้านหลังเฉินผิงอัน “นายท่าน ข้ากลัว กลัวยิ่งกว่ากลัวตายเสียอีก”
เฉินผิงอันถอนหายใจ “พวกเจ้าไปเดินเล่นที่อื่นก่อนแล้วกัน หรือจะไปช่วยดูร้านของพวกเราที่ตรอกฉีหลงก็ได้ แล้วหลังจากนี้ข้าค่อยไปหาพวกเจ้า”
เด็กน้อยทั้งสองเหมือนได้รับอภัยโทษ วิ่งตะบึงเผ่นหนีไปทันที
เฉินผิงอันเดินเข้าไปทางตรอกหนีผิงเพียงลำพัง แล้วเด็กหนุ่มก็ช่วยเด็กสาวถือถังน้ำ คนทั้งสองเดินเข้าไปในตรอกด้วยกันไม่ต่างจากภาพเหตุการณ์ของเมื่อหลายปีก่อน
จื้อกุยถาม “เด็กสองคนนั้น เป็นเด็กรับใช้ที่เจ้ารับมาใหม่รึ?”
เฉินผิงอันตอบยิ้มๆ “เจ้าว่าข้าดูเหมือนคนเป็นนายท่านหรือไง? พวกเขาก็เรียกเล่นๆ ไปอย่างนั้นเอง”
จื้อกุยร้องอ้อรับหนึ่งที
ตอนที่เดินผ่านบ้านบรรพบุรุษตระกูลเฉา ประตูหน้าบ้านของพวกเขาเปิดอ้า ผู้เฒ่าอย่างเฉาซีนั่งแทะเมล็ดแตงอยู่หน้าประตู ส่วนเด็กอย่างเฉาจวิ้นนั่งยองอยู่บนกำแพง แล้วก็แทะเมล็ดแตงเหมือนกัน
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาพร้อมใจกันมาชมเรื่องสนุก
เฉาซีหัวเราะเฮอๆ “กูไหน่ไนน้อย (กูไหน่ไนคำที่บุคคลในครอบครัวของแม่เรียกลูกสาวที่ออกเรือนไปแล้ว) ท่านผู้นี้คือคนรักของเจ้าหรือ? เล่นมาออดอ้อนหนุงหนิงกันแต่เช้าแบบนี้ บุรุษอย่างข้ากับเฉาจวิ้นอิจฉายิ่งนัก”
เฉาจวิ้นที่ชอบหรี่ตามองคนยังคงมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้า ตรงเอวห้อยกระบี่สั้นยาวคู่นั้น พยักหน้ารับ “อิจฉาๆ”
จื้อกุยแค่นเสียงเย็น “คานบนไม่ตรงคานล่างเอียง! มิน่าเล่าขนาดบ้านบรรพบุรุษยังถล่มลงมา”
เซียนกระบี่พสุธาผู้ยิ่งใหญ่แห่งทักษินาตยทวีป เจ้าของหอสยบสมุทรครึ่งหนึ่งอย่างเฉาซีกลับไม่หงุดหงิดแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามยังยิ้มกว้างกว่าเก่า “กูไหน่ไนน้อยสั่งสอนได้ถูกต้องแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าผ่านมาหลายปีขนาดนี้ ทำไมบ้านเก่าตระกูลเฉาของพวกเราถึงไม่มีคนจิ๋วควันธูปเลยสักคนเดียว ตามหลักแล้วข้ามีชีวิตอย่างรุ่งโรจน์อยู่ในทักษินาตยทวีป ไม่ว่าอย่างไรที่นี่ก็ควรจะมีหน้ามีตาตามไปด้วย แต่ทำไมถึงได้ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้?”
จื้อกุยหยุดเดิน หันมามองเฉาซีพลางคลี่ยิ้มไร้เดียงสา “ก็เพราะหายนะจากสวรรค์ไม่อาจหลบเลี่ยง กรรมที่ตัวเองก่อย่อมไม่มีที่ให้หลบซ่อนน่ะสิ หรือจะบอกว่ามีคนกินคนจิ๋วควันธูปของตระกูลพวกเจ้าไป อีกอย่างเมืองเล็กก็ห้ามใช้เวทคาถาทุกชนิด คิดจะอาศัยร่มเงาบรรพบุรุษในตระกูลเลี้ยงคนจิ๋วควันธูปสักคนนั้นยากยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์ ไม่แน่ว่าตระกูลเฉาของพวกเจ้าอาจจะไม่เคยมีคนจิ๋วควันธูปเลยก็ได้ ว่าไหม?”
เฉาซีหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “มีเหตุผลๆ กู่ไหน่ไนน้อยเดินช้าๆ ตรอกเก่าทรุดโทรม ระวังจะสะดุดล้ม”
จื้อกุยหันหลังให้ตะพาบเฒ่าผู้นั้น สีหน้ามืดทะมึน
ตั้งแต่ต้นจนจบ เฉินผิงอันไม่เอ่ยอะไรสักคำ
เฉาจวิ้นถามยิ้มๆ “ตาเฒ่าเฉา นี่มันเรื่องอะไรกัน? ด้วยผลสำเร็จของเจ้าในนาตยทวีป จำนวนของคนจิ๋วควันธูปคงกองกันเป็นกองทัพ สามารถยกพวกตีกันอยู่บนคานบ้านหรือไม่ก็บนกรอบป้ายหน้าบ้านได้เลยไม่ใช่หรือ?”
เฉาซีกล่าวอย่างไม่เห็นเป็นสำคัญ “เรื่องที่คนจิ๋วควันธูปเกิดยากในถ้ำสวรรค์หลีจู นางไม่ได้โกหก แต่ด้วยผลสำเร็จของข้ากับเซี่ยสือ อย่างน้อยก็ควรจะมีเหลือสักคนสองคน ยกตัวอย่างเช่นตระกูลเซี่ยในตรอกเถาเย่ที่อาศัยคนจิ๋วควันธูปคู่หนึ่งประคับประคองความรุ่งโรจน์ของตระกูลมาหลายร้อยปี ถึงพอจะรักษาควันธูปของลูกหลานเอาไว้ได้อย่างถูไถ หาไม่ก็คงเป็นเหมือนบ้านผุพังของพวกเราหลังนี้ และคนในตระกูลคงตายสิ้นไปนานแล้ว”
เฉาจวิ้นจุ๊ปากพูด “ถูกเด็กสาวนั่นทรมาทรกรรมจนเกลี้ยงเลยรึ? แล้วเจ้ายังจะพูดจาเป็นมิตรกับนางแบบนี้? เจ้าคงไม่ได้อยากนอนกับนางหรอกกระมัง?”
จิ้งจอกสีแดงเพลิงตัวหนึ่งกระโดดจากหลังคาลงมาบนหัวของเฉาจวิ้น พูดกลั้วหัวเราะ “นอนกับนาง? ตาเฒ่าเฉาหรือจะมีความกล้านี้ ตอนนี้เด็กสาวคนนั้นเป็นดั่งบุคคลที่คนนับหมื่นจับจ้องมองมา ต่อให้ตาเฒ่าเฉาขอบเขตสูงกว่านี้อีกหนึ่งขอบเขต เขาก็ไม่กล้าคิดชั่วกับนาง อย่างมากก็แค่ดีแต่ปาก ข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรง”
เฉาซีหันหน้ามาพูดยิ้มๆ “ไสหัวไปให้ไกล กลิ่นสาบจิ้งจอกเหม็นนัก รบกวนการสูดกลิ่นอายบ้านเกิดของข้า”
จิ้งจอกที่ยืนอยู่บนหัวเฉาจวิ้นยื่นกรงเล็บข้างหนึ่งชี้ไปที่ใต้ฝ่าเท้าตัวเอง แถมยังไม่ลืมกระทืบเท้าแรงๆ “มาๆๆ แน่จริงก็เรียกกระบี่แห่งชะตาชีวิตบนข้อมือเล่มนั้นออกมาฟันข้าเลย เฉาซีหากเจ้าไม่ฟันข้าก็เท่ากับเป็นหลานข้า เจ้าฟันให้เต็มแรงเลยนะ หากข้าหลบ ข้าก็คือหลานสาวของเจ้า!”
เฉาจวิ้นโคลงศีรษะ แต่ก็ไม่สามารถสลัดจิ้งจอกตัวนั้นให้หลุดไปได้ จึงกล่าวอย่างระอาใจ “พวกเจ้าสองคนจะทะเลาะกันก็ทะเลาะไปเถอะ แต่อย่าดึงข้าให้เดือดร้อนไปด้วย พูดกันอย่างยุติธรรมเลยนะ ตาเฒ่าเฉาก็แค่รับเมียน้อยคนที่สามสิบแปดเท่านั้น หากเจ้าเก็บกลั้นความแค้นนี้ไม่ไหวจริงๆ ก็ถลกหนังนางออกมาทำเสื้อผ้าชุดใหม่เสียเลย เรื่องแบบนี้ใช่ว่าเจ้าจะไม่เคยทำสักหน่อย เชี่ยวชาญดีจะตาย ทำไมต้องเอาข้ามาระบายอารมณ์ด้วย”
จิ้งจอกสีแดงเพลิงหลุดหัวเราะพรืด “ตะพาบเฒ่าชอบผู้หญิงสะโพกใหญ่กลมแน่น ผ่านมากี่ปีก็ไม่เคยมีพัฒนาการ ช่างทำให้คนสะอิดสะเอียนจริงๆ”
เฉาซีนั่งกลับลงไปบนธรณีประตูใหญ่ หยิบเมล็ดแตงมาแทะอีกครั้ง “ทองพันชั่งก็มิอาจซื้อความชอบของข้าได้ อ้อ ใช่แล้ว นังผู้หญิงแพศยา ปีใหม่แล้วเชิญเจ้ากินเมล็ดแตง”
แล้วเสียงปังก็ดังสนั่น
—–