กระบี่จงมา Sword of Coming – บทที่ 211.2 สวรรค์ส่งให้มาเป็นคู่กัน

บทที่ 211.2 สวรรค์ส่งให้มาเป็นคู่กัน

เฮ้อเสี่ยวเหลียงชี้ไปยังโต๊ะในห้องโถง คนทั้งสองจึงเดินไปนั่งตรงข้ามกัน เฮ้อเสี่ยวเหลียงครุ่นคิดแล้วก็ปาดมือผ่านไปบนฝ่ามือหนึ่งที บนโต๊ะก็มีหยกลัญจกรของแคว้นหนึ่งที่ล่มสลาย อาณาประชาราษฎร์กลายเป็นคนลี้ภัยเร่ร่อนปรากฎขึ้นมา หยกนี้เป็นรูปสี่เหลี่ยม เนื้อเป็นมันแข็งกลมเกลี้ยง นี่ก็คือวัตถุจื่อชื่อชิ้นหนึ่ง เมื่อเทียบกับวัตถุฟางชุ่นที่ล้ำค่าแล้ว วัตถุนี้มีแต่จะหายากมากกว่า เด็กหนุ่มชุยฉานมีพกติดตัวไว้หนึ่งชิ้น ตอนนั้นที่อยู่บนยอดเขาตงซานของสำนักศึกษาต้าสุย เขาก็เอาสมบัติอาคมหลายชิ้นออกมาจากวัตถุจื่อชื่อนี้ และเมื่อผ่านศึกของคืนนั้นไป เขาก็ได้ฉายาว่า ‘บรรพบุรุษของตระกูลไช่’ มาครอง

จากนั้นเฮ้อเสี่ยวเหลียงก็ดันมือที่แบอ้าขึ้นสูงเล็กน้อย บนหยกลัญจกรที่เป็นวัตถุจื่อชื่อมีแท่นฝนหมึกโบราณสักลวดลายเมฆชิ้นหนึ่งลอยขึ้นมา จากนั้นด้านในแท่นฝนหมึกก็มีตำราโบราณเนื้อหยกเล่มหนึ่งผุดขึ้น สุดท้ายคือใบบัวเล็กๆ ใบหนึ่งที่ลอยออกมาจากตำราโบราณ และสุดท้ายของท้ายสุดถึงจะเป็นหินดีงูก้อนหนึ่งที่กลิ้งหลุนๆ ออกมาจากใบบัวซึ่งเป็นวัตถุฟางชุ่น นั่นก็คือหินดีงูที่เฉินผิงอันฝากเฮ้อเสี่ยวเหลียงไปมอบให้ลู่เฉิน

วัตถุจื่อชื่อหนึ่งชิ้น วัตถุฟางชุ่นสามชิ้น

นี่เรียกว่าการโอ้อวดความร่ำรวยโดยไม่ได้เปิดปากพูด

อีกทั้งยังอวดรวดเดียวจบ

ไม่ว่าผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบคนใดในใต้หล้ามาเห็นเข้าคงถลึงตาจนตาแทบถลนออกมาจากเบ้าเลยทีเดียว

คนอื่นอย่างมากก็แค่นอนหาเงิน แต่เฮ้อเสี่ยวเหลียงกลับนอนรับโชควาสนา

เฮ้อเสี่ยวเหลียงเก็บใบบัว ตำราหยก แท่นฝนหมึกโบราณและหยกลัญจกรกลับลงไป จากนั้นค่อยผลักหินดีงูก้อนนั้นมาให้เฉินผิงอันเบาๆ

เห็นว่าเฉินผิงอันคล้ายจะไม่กล้ารับหินดีงูกลับคืน เฮ้อเสี่ยวเหลียงจึงกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “วางใจเถอะ ครั้งนี้ลู่เฉินไม่เล่นตุกติกอะไรอีกแล้ว ก็เหมือนกับที่เขาพูดรับประกันกับปากตัวเองว่าการพบเจอกันระหว่างเจ้าและข้าในครั้งนี้ ไม่ว่าข้าจะทำหรือพูดอะไร เขาก็ไม่มีทางใช้วิชาอภินิหารมาลอบมองเด็ดขาด ขอแค่เป็นเรื่องที่เขาพูดเอง เจ้าและข้าล้วนสามารถเชื่อได้”

เฉินผิงอันถึงได้ควบคุมให้สืออู่ปล่อยเทียบยาแผ่นนั้นลอยออกมา ซึ่งก็คือเทียบยาที่มีสี่คำว่า ‘คำสั่งลู่เฉิน’

เฮ้อเสี่ยวเหลียงไม่ได้ยื่นมือออกไปรับ เพียงแค่ร่ายใช้เวทคาถาเก็บมันไว้ในวัตถุฟางชุ่นใบบัวของตัวเอง

จัดการเรื่องนี้เสร็จเรียบร้อย สีหน้าของเฮ้อเสี่ยวเหลียงถึงได้ผ่อนคลายขึ้น นางถึงขนาดหยิบผลไม้วิเศษที่มีชื่อว่าหลีไฟลูกหนึ่งขึ้นมากัดเบาๆ หนึ่งคำ แล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เอาล่ะ เรื่องเป็นการเป็นงานเสร็จสิ้นแล้ว ต่อไปก็เป็นเรื่องส่วนตัว เฉินผิงอัน เจ้าไม่ต้องตื่นเต้น”

เฉินผิงอันยิ้มเจื่อนอย่างจนใจ ข้าจะไม่ตื่นเต้นได้หรือ?

เฮ้อเสี่ยวเหลียงเอ่ยถาม “เจ้าเคยได้ยินมาหรือเปล่าว่า ข้าออกจากสำนักโองการเทพแล้ว?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า

เฮ้อเสี่ยวเหลียงเอ่ยเย้ยหยันตัวอง “ดูท่าคงเป็นเพราะตบะต่ำเกินไป ชื่อเสียงน้อยเกินไป”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงหัวเราะ นางพูดอย่างไม่รีบร้อนพลางกินหลีไฟอย่างเอร็ดอร่อยไปด้วย วัตถุชิ้นนี้สามารถต้านทานความหนาวเย็น ทำให้ทั่วร่างของคนอุ่นสบาย ส่วนปราณวิญญาณที่ซุกซ่อนอยู่ในหลีไฟนั้นไม่มีค่าพอให้พูดถึง อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบเคียงกับส้มฉางชุนได้ เป็นเหตุให้ราคาไม่แพง มักจะเป็นของที่พวกขุนนางด้านล่างภูเขาต้องเตรียมไว้รับรองแขกในช่วงฤดูหนาวถึงฤดูใบไม้ผลิ

แต่ในจานกระเบื้องกลับมีส้มฉางชุนอยู่มากกว่า หลีไฟมีน้อยจนนับนิ้วได้ หากไม่เป็นเพราะถามชุนสุ่ยชิวสือถึงเรื่องราคามาก่อน เฉินผิงอันย่อมคิดไปว่าหลีไฟที่มีจำนวนน้อยมากราคาแพงยิ่งกว่า

อันที่จริงนี่ก็คือรากฐานของตระกูลเซียนบนภูเขาอย่างภูเขาต่าเจี้ยว พวกเขาไม่เคยตระหนี่ขี้เหนียว

เฮ้อเสี่ยวเหลียงกินหลีไฟอย่างสบายอารมณ์ สีหน้าผ่อนคลาย

เฉินผิงอันนั่งตัวตรงอย่างสำรวมรอคอย ด้วยไม่รู้ว่าเซียนซือท่านนี้มีจุดประสงค์อะไรกันแน่

เฮ้อเสี่ยวเหลียงกุมารีหยกแห่งระบบเต๋าของบุรพแจกันสมบัติทวีป ไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงป่าวประกาศว่าตัวเองออกจากสำนักโองการเทพแล้ว มีคนบอกว่าเป็นเพราะนางหลงรักอาจารย์อาน้อยที่เดินทางไปรับผิดชอบดูแลคัมภีร์ของสำนักเบื้องบนซึ่งอยู่ที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เมื่อใจรักของแม่ชีสาวบังเกิด ต่อให้ฟ้าผ่า แผ่นดินไหวหรือไฟไหม้ นางก็ไม่อาจหยุดรักได้ จึงถึงขั้นเลียนแบบชาวบ้านที่สามีร้องภรรยาตาม ยอมสละทิ้งทั้งสำนักผู้มีพระคุณและมหามรรคาแห่งความเป็นอมตะ

เฮ้อเสี่ยวเหลียงสละตำแหน่งกุมารีหยก สามลัทธิของสำนักเต๋าในแจกันสมบัติทวีปจึงมีกุมารีหยกคนใหม่ปรากฎตัวทันที ไม่ได้อยู่ในสำนักโองการเทพที่มีเทียนจวินบัญชาการณ์ แต่เป็นแม่ชีสาวน้อยชื่อเสียงไม่โด่งดังคนหนึ่งในสำนักวารีสารท คนภายนอกคาดเดาเอาว่ากระทำของเฮ้อเสี่ยวเหลียงครั้งนี้เป็นเหตุให้ฝ่ายในระบบเต๋าของทวีปเกิดความแค้นเคือง สำนักโองการเทพต้องสูญเสียอนาคตอันงดงามจากที่เคย ‘เป็นสำนักที่มีทั้งกุมารทองและกุมารีหยก’ ไป ส่วนอาจารย์ผู้มีพระคุณของเฮ้อเสี่ยวเหลียงก็ยิ่งเดือดดาลอย่างหนัก ถึงกับป่าวประกาศว่าจะจัดการลูกศิษย์ในสำนักของตัวเอง เกือบจะลงจากภูเขาไปตามหาร่องรอยของเฮ้อเสี่ยวเหลียงด้วยตัวเอง กว่าเทียนจวินฉีเจินจะห้ามเอาไว้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย

คนบนโลกต่างก็รู้ว่าอาจารย์ผู้สืบทอดวิชาความรู้ให้แก่เฮ้อเสี่ยวเหลียงฝากความหวังไว้กับนางมาก ทุ่มเทอบรมปลูกฝังราวกับเห็นนางเป็นบุตรสาวแท้ๆ ของตน

นี่เป็นเรื่องจริงที่คนทั้งสำนักโองการเทพต่างก็เห็นกันอยู่ในสายตา

ด้วยเหตุนี้หากเทพเซียนเฒ่าจะเสียใจมากก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้

แต่ก็อดมีคนกังขาไม่ได้ว่า ไหนบอกว่าเฮ้อเสี่ยวเหลียงมีโชควาสนาลึกล้ำเป็นอันดับหนึ่งของทวีปไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงตกอยู่ในสภาพนี้ได้?

หรือว่านางงมเจอวาสนาที่ยิ่งใหญ่มากกว่า? เป็นเหตุให้ทอดทิ้งได้แม้กระทั่งอาจารย์และสำนัก? ทว่าในระบบเต๋านั้นมีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดไม่เป็นรองสำนักศึกษาและสถานศึกษาของลัทธิขงจื๊อเลยแม้แต่น้อย ต่อให้เฮ้อเสี่ยวเหลียงไปอยู่ที่สำนักเบื้องบนของสำนักโองการเทพในแผ่นดินกลางจริงๆ แต่ต้องแบกชื่อเสียงฉาวโฉ่และคำประนามจากคนมากมายขนาดนี้จะสามารถอยู่ข้างกายนักพรตผู้ดูแลคัมภีร์คนนั้นไปได้ชั่วชีวิตจริงหรือ?

ยังดีที่ศึกระหว่างขุนเขาตะวันเที่ยงและสวนลมฟ้ามาดึงความสนใจจากทุกคนไปเสียก่อน

ดูเหมือนว่าการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่ตัดสินเป็นตายจะมีพลังดึงดูดมากกว่าความรักความแค้นที่ซับซ้อนวกวน

เฉินผิงอันเห็นว่าเฮ้อเสี่ยวเหลียงกินหลีไฟไปแล้วหนึ่งลูกก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะเปิดปาก จึงได้แต่ถามเสียงเบา “เฮ้อเซียนซือ เจ้ามาหาข้ามีธุระอะไรหรือ?”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงที่ความคิดล่องลอยไปไกลดึงสมาธิกลับมา กระนั้นนางก็ยังไม่พูดอะไร เพียงมองประเมินเฉินผิงอันอย่างละเอียด

เมื่อเทียบกับครั้งแรกที่พบกันบนหินหลังควายของถ้ำสวรรค์หลีจู เด็กหนุ่มตัวสูงขึ้นจากเดิมเล็กน้อย ผิวก็ขาวขึ้น ระหว่างหว่างคิ้วคล้ายจะมีความสดใสมีชีวิตชีวาเพิ่มมาอีกเสี้ยวหนึ่ง

ในฐานะนักพรตผู้เป็นเจ้าลัทธิ ลู่เฉินเคยพูดคุยอย่างตรงไปตรงมากับเฮ้อเสี่ยวเหลียงครั้งหนึ่งก่อนที่นางจะมาขึ้นเรือบนภูเขาอู๋ถงเงียบๆ

นอกจากจะฝากให้เฮ้อเสี่ยวเหลียงมาบอกต่อเฉินผิงอันแล้ว อันที่จริงที่มากกว่านั้นกลับเป็นเรื่องวงในที่ ‘ห้ามพูด ห้ามเอ่ย’ ออกมา ยกตัวอย่างเช่นเรื่องที่ตอนนั้นลู่เฉินอยู่ในบ้านข้างๆ บ้านบรรพบุรุษของเด็กหนุ่มในตรอกหนีผิง นั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็กหน้าเตาไฟ หยิบกระบอกเป่าลมขึ้นมาเป่า เป็นแขกแต่กลับต้องง่วนทำอาหาร ส่วนเด็กสาวจื้อกุยที่เป็นเจ้าของบ้านกลับนั่งอาบแดดอย่างเกียจคร้านอยู่ในลานบ้าน แถมยังคอยหันมามองทางห้องครัว พูดเร่งลู่เฉินว่าทำให้เร็วหน่อยได้หรือไม่

ตอนนั้นเฮ้อเสี่ยวเหลียงก็นั่งอยู่ใกล้ๆ กับลู่เฉิน หลังจากที่ได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของนักพรตหนุ่มคนนี้แล้ว ไม่รู้ว่าทำไมจิตใจของเฮ้อเสี่ยวเหลียงถึงได้สงบนิ่งเหมือนน้ำ นี่เป็นเรื่องที่แม้แต่ตัวนางเองก็ยังแปลกใจ

ลู่เฉินในเวลานั้นค่อนข้างจะลำพองใจ แต่ปากกลับพร่ำพูดแต่เรื่องชั่วร้าย “ตอนนั้นเจ้าฉีจิ้งชุนเลือกคู่ยวนยางมั่วซั่ว โยนปัญหายุ่งยากใหญ่เทียมฟ้ามาให้ข้าผู้เป็นนักพรต และหากมีคนมอบของขวัญให้ ไม่มอบของขวัญกลับก็ไร้มารยาท ข้าผู้เป็นนักพรตจึงทำตัวเองให้เป็นผู้เฒ่าดวงจันทร์ร้อยด้ายแดงเสียเลย ดูสิว่าวิชาหมากล้อมของใครจะสูงกว่ากัน”

ตอนที่ลู่เฉินเอ่ยคำพูดไร้ความเคารพยำเกรงพวกนี้ ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย

เพียงแต่ว่าเฮ้อเสี่ยวเหลียงกลับไม่สะทกสะท้าน สุขุมนิ่งสงบจากภายในสู่ภายนอก

นี่ทำให้ลู่เฉินรู้สึกหมดสนุก

นิสัยของนางเหมือนศิษย์พี่ใหญ่มากเกินไปแล้ว หากเหมือนศิษย์พี่รองถึงจะน่าสนใจ แต่น่าสนใจก็ส่วนน่าสนใจ เพราะเวลาอยู่ร่วมด้วยจริงๆ ย่อมไม่ผ่อนคลายนัก

ก็เหมือนกับเด็กหนุ่มที่เดินออกไปจากตรอกซิ่งฮวาของเมืองเล็ก หม่าขู่เสวียน

ระหว่างที่ลู่เฉินรอให้ข้าวสุกอย่างอดทนก็หันมาบอกกับเฮ้อเสี่ยวเหลียงอย่างตรงไปตรงมาว่า หินดีงูสองก้อนที่เฉินผิงอันมอบให้ เขาและนางต่างก็ได้รับกันคนละก้อน นี่ก็เหมือนสองชายฝั่งของแม่น้ำสายหนึ่ง ส่วนเทียบยาสองสามแผ่น โดยเฉพาะแผ่นที่มีตราประทับสีชาดสี่คำว่า ‘คำสั่งลู่เฉิน’ นั้นก็คือสะพานข้ามแม่น้ำแห่งหนึ่ง

แม้ว่านี่จะเป็นแผนการลึกล้ำยาวไกลอย่างหนึ่งของลู่เฉิน แต่อันที่จริงกลับไม่ใช่แผนการชั่วร้ายอะไร

ตรงกันข้ามเลยด้วยซ้ำ เพราะนี่ถึงจะเป็นโชคชะตาของเฉินผิงอันหลังจากที่เขาออกไปจากเมืองเล็ก เหตุผลของข้อที่ว่าเฉินผิงอันจะมีชีวิตที่สงบสุขได้หรือไม่ ครึ่งหนึ่งนั้นมาจากเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตที่ถูกทุบแตก หลายครั้งหลายคราที่ดึงดูดโชควาสนามาได้ แต่กลับหลุดมือไปเสียทุกครั้ง อาศัยเพียงชะตาที่แข็งมาตั้งแต่เกิด อาศัยความดึงดันดื้อรั้นที่มีมาตั้งแต่ตอนอยู่ในครรภ์มารดา หรือไม่ก็เพราะมีสถานะพิเศษเป็นตัวหมากที่สำคัญ อดทนมาจนถึงช่วงท้ายของสถานการณ์ รอจนจบเรื่องแล้วหลังจากนี้ก็จะเป็นการชดเชยจากวิถีฟ้าที่มองไม่เห็น

ส่วนอีกครึ่งหนึ่งมาจากฝีมือของเขาลู่เฉิน

บางทีฉีจิ้งชุนอาจจะมองออกตั้งแต่แรกแล้ว แต่เขากลับยินดีผลักเรือตามน้ำ เชื่อว่าเฉินผิงอันที่เป็นคนดีฟ้าย่อมคุ้มครอง รู้จักรับไว้และตัดใจที่จะสละทิ้งได้ ด้วยเหตุนี้ฉีจิ้งชุนจึงยินดีที่จะปล่อยให้เป็นเช่นนั้น คนที่มองไม่เห็น ยกตัวอย่างเช่นตัวเฉินผิงอันเองกลับสัมผัสไม่ได้แม้แต่น้อย

เพราะหลังจากที่สะพานสร้างขึ้นมาแล้ว เฉินผิงอันกับเฮ้อเสี่ยวเหลียงจึงมีความเชื่อมโยงที่มหัศจรรย์อย่างหนึ่งต่อกัน โชควาสนาสืบเนื่องติดต่อกัน แบ่งกันไปคนละครึ่ง

ดังนั้นจึงพูดได้ว่าเฉินผิงอันแบ่งโชควาสนาของเฮ้อเสี่ยวเหลียงไปครึ่งหนึ่งเต็มๆ!

แต่จะว่าไปแล้ว หากเป็นคนธรรมดาที่รับโชควาสนี้ไว้ ไม่แน่อาจตายอย่างเฉียบพลันไปนานแล้ว

หากมีชะตาบางเบาดุจกระดาษ อย่าว่าฝนห่าใหญ่ตกลงมาเลย ต่อให้เป็นแค่ฝนเม็ดเดียว กระดาษก็ทะลุได้

หรือต่อให้เป็นคนที่ชะตาแข็งมาก แต่หากดึงดันไม่ฟังเสียงผู้ใด ไม่ว่าอะไรก็กล้ารับไว้ กล้าเรียกร้อง ผลกรรมบางอย่างมองดูเหมือนเล็กน้อย แต่สุดท้ายแล้วกลับรุนแรงดุจพลิกภูเขาคว่ำมหาสมุทร อย่าว่าแต่ทางหินเขียวบนถนนฝูลวี่เลย ต่อให้เป็นภูเขาใหญ่ทางทิศตะวันตกก็ยังถล่มทลายไม่เหลือซากได้

ความตั้งใจเดิมของลู่เฉินนั้นไม่ได้มีเจตนามุ่งร้าย แต่เฉินผิงอันจะต้องตาย หรือจะกลายเป็นว่าได้รับหายนะตามหลังโชคหรือไม่นั้น ลู่เฉินกลับไม่สนใจแม้แต่น้อย

ก็แค่หลังจบเรื่องได้พิสูจน์ให้เห็นในทางอ้อมว่า เจ้าฉีจิ้งชุนมองคนผิดก็เท่านั้น

ได้ฟังความลับสวรรค์ที่เจ้าลัทธิเต๋าท่านหนึ่งเปิดเผยให้ฟัง

ในที่สุดสภาพจิตใจที่นิ่งสนิทดุจผืนน้ำของเฮ้อเสี่ยวเหลียงก็เกิดปริแตกเหมือนผิวกระจกที่เกิดรอยร้าวลามขยาย

นางรู้ดีอยู่แก่ใจว่า เฮ้อเสี่ยวเหลียงคนที่มีโชควาสนาเทียมฟ้า ชีวิตราบรื่นไร้อุปสรรคผู้นั้นได้เดินมาถึงหน้าผาแล้ว นี่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการเดินสวนกระแสบนมหามรรคา กระจกแตกกลับประสาน นับจากนี้จะเดินก้าวหนึ่งขึ้นสวรรค์ หรือเดินก้าวออกไปแล้วพลัดตกเหวหมื่นจั้ง ร่างแหลกสลาย ก็อยู่ที่ก้าวถัดไปของนางนี้แล้ว

อีกอย่างต่อให้เลือกถูกแล้ว การฝึกตนก็อาจไม่จะเหมือนในอดีตที่วันเดียวก็ทะยานไกลพันลี้ ราบรื่นไร้อุปสรรคเสมอไป

ตอนนั้นถือเป็นช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดในชีวิตที่สุขสมหวังของนาง

โดยเฉพาะความรู้สึกที่ไม่อาจเป็นตัวของตัวเอง กลายเป็นหมากของคนอื่นที่ย่ำแย่อย่างถึงที่สุด

ฝึกตนไม่ใช่เพื่อกลายมาเป็นหุ่นเชิดให้บุคคลยิ่งใหญ่คนหนึ่งชักนำ ต่อให้บุคคลยิ่งใหญ่ที่ว่านี้คือลู่เฉิน เจ้าลัทธิหนึ่งในใต้หล้ามืดสลัวก็ตาม!

เมื่อเทียบกับเหตุการณ์ครั้งหนึ่งก่อนหน้านี้ นี่ทำให้สภาพจิตใจของเฮ้อเสี่ยวเหลียงสับสนวุ่นวายได้มากกว่า

—–

กระบี่จงมา Sword of Coming

กระบี่จงมา Sword of Coming

Status: Ongoing
” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “
เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา
เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม
และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง
ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท