นกที่ตื่นเช้ามักจะมีแมลงให้กิน ม้าที่ไม่ได้กินหญ้ากลางคืนย่อมไม่อ้วน
เหตุผลคือเหตุผลนี้ พูดก็พูดเช่นนี้ แต่ถึงแม้ว่านักพรตหนุ่มที่ตื่นเช้ากลับดึกจะตั้งแผงเร็วกว่า และเก็บแผงช้ากว่าเพื่อนร่วมอาชีพที่ตั้งแผงอยู่ติดกันมาก แต่ก็ยังคงไม่มีอะไรให้กิน และยิ่งอ้วนไม่ไหว
เพราะตอนนี้ชาวบ้านในเมืองเล็กเชื่อว่านักพรตผู้เฒ่าที่สวมกวานหางปลาต่างหากถึงจะเป็นเทพเซียนที่แท้จริง ทำนายดวงชะตาได้แม่นยำ แถมยังไม่คอยฉวยโอกาสไปขอกินขอดื่มที่บ้านคนอื่นเปล่าๆ และไม่ว่าคนที่มาเสี่ยงเซียมซีขอดูดวงจะเป็นดรุณีน้อยหรือสตรีวัยแต่งงานแล้วที่หน้าตางดงาม สายตาของผู้เฒ่าเจินเหรินก็ไม่เคยหลุกหลิก มีกลิ่นอายของความซื่อสัตย์เที่ยงธรรมเต็มเปี่ยม ไม่เหมือนใครบางคนที่มักจะสรรหาวิธีการมาหลอกกินขนมจากเด็ก
คนทำการค้าย่อมต้องกลัวเรื่องการถูกเปรียบเทียบมากที่สุด
ดังนั้นช่วงที่ผ่านมานี้ต้องเรียกว่านักพรตหนุ่มเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของใจคนมาอย่างอิ่มหนำ อย่าหวังว่าจะร่ำรวยเลย แค่ข้าวสารจะกรอกหม้อยังแทบไม่มี แม้แต่พวกแม่นางน้อยที่ก่อนหน้านี้พูดคุยกันถูกคอ ตอนนี้ไม่เพียงแต่ไม่ให้ดูลายมือ ทุกครั้งที่เดินผ่านแผงยังแสร้งทำเป็นไม่รู้จักด้วย
นักพรตหนุ่มได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า ถึงแม้ภายนอกแม่นางน้อยน่ารักที่มีกลิ่นอายของต้นหญ้าบ้านป่าเหล่านี้จะทำตัวห่างเหินกับตน แต่สาเหตุนั้นก็เพราะพวกนางเขินอาย ไม่กล้าทักทายตนก็เท่านั้น ในความเป็นจริงแล้วพวกนางยังรักและอาลัย หาไม่แล้วทำไมทุกครั้งที่เดินผ่านถึงต้องสวมเสื้อผ้าตัวใหม่งดงามที่ไม่ซ้ำแบบกันด้วยเล่า? นักพรตหนุ่มไม่กล้าทรยศต่อความรักที่เด็กสาวเหล่านี้มอบให้ เขาที่สายตาแหลมคมจึงมักจะเอ่ยเรียกชื่อแซ่ของพวกนางและชื่นชมว่าปิ่นปักผมสวยจังเลย เสื้อผ้าชุดนี้ใส่แล้วเหมาะมาก…พอได้ยินคำชมฝีเท้าของแม่นางหลายคนมักจะสับสน เดินสาวเท้าเร็วๆ จากไป ส่วนสตรีแต่งงานแล้วบางส่วนที่ใจกล้าสักหน่อย หากไม่ทิ้งสายตามาให้ ก็ต้องด่าเขาว่าคนบ้า เสียดายก็แต่ไม่มีใครสนใจกิจการแผงดูดวงของเขาบ้างเลย
นี่ทำให้นักพรตหนุ่มรู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย ทุกวันเขาจะต้องนั่งเบื่ออยู่หลังแผง หากไม่ใช้ชายแขนเสื้อเช็ดก็เป่าลมร้อนๆ ใส่กระบอกเซียมซี หรือไม่ก็เอามือหนุนท้ายทอยโยกตัวไปข้างหน้าข้างหลัง ไม่อย่างนั้นก็นอนฟุบคว่ำลงไปบนโต๊ะ ผินหน้ามองบรรยากาศครึกครื้นของแผงดูดวงข้างๆ คนเราเมื่อเอาตัวไปเปรียบเทียบกับคนอื่นอาจโมโหตายได้จริงๆ
ยังดีที่แม้นักพรตหนุ่มจะนั่งแกร่วอยู่บนม้านั่งตั้งแต่เท้าจรดเย็นทั้งวัน เขาก็ไม่ได้อับอายจนพานเป็นโมโห บางครั้งยังเป็นฝ่ายหันไปชวนนักพรตเฒ่าคุยสองสามคำ นี่ทำให้ผู้เฒ่าที่ครุ่นคิดว่าควรจะเปลี่ยนสถานที่ใหม่ดีหรือไม่พอจะวางใจลงได้บ้าง สุดท้ายแม้แต่นักพรตเฒ่าก็ยังอดไม่ได้ เขาค่อนข้างจะสงสารเด็กรุ่นหลังที่ขาดไหวพริบคนนี้อยู่มาก คิดว่าการเดินทางมาเมืองเล็กในครั้งนี้ ตัวเองได้รับผลเก็บเกี่ยวที่ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ มากพอสำหรับค่าใช้จ่ายเกินครึ่งปี จึงอยากจะพูดเตือนอีกฝ่ายสักสองสามคำ จะได้ไม่มีช่องว่างระหว่างการทำธุรกิจกันอีก เขากวักมือเรียกนักพรตกวานดอกบัวให้ไปนั่งข้างๆ นักพรตหนุ่มจึงวิ่งไปหา สีหน้านั้นเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นและคาดหวัง “ท่านเซียนผู้เฒ่ามีอะไรจะชี้แนะข้าหรือ? มีอุบายแยบยลอะไรดีๆ จะช่วยเหลือข้าหรือเปล่า?”
นักพรตเฒ่าหิ้วกาน้ำชาใบเล็กข้างมือขึ้นมาดื่มชาเย็นชืดหนึ่งคำ ถอนหายใจแล้วถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “เจ้าเพิ่งทำอาชีพนี้ได้ไม่นานใช่ไหม?”
นักพรตหนุ่มหน้านิ่วคิ้วขมวด “ก็ทำมานานพอสมควรแล้ว แค่กิจการไม่ดีเท่าคนอื่น”
ระบบของลัทธิเต๋าแบ่งออกเป็นอีกสามลัทธิ ลูกศิษย์สามคนของมรรคาจารย์เต๋าต่างก็เป็นเจ้าลัทธิของลัทธิหนึ่ง ต้นกำเนิดเดียวกันแต่ประเภทต่างกัน ไม่เพียงแต่แตกกิ่งก้านสาขา ขยายอำนาจอิทธิพลไปในใต้หล้าที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่นต่อให้เป็นใต้หล้าไพศาลของราชวงศ์ต้าหลีที่ยกยอเพียงลัทธิขงจื๊อ สำนักใหญ่แห่งต่างๆ ที่วิวัฒนาการมาจากสามลัทธิของลัทธิเต๋าก็มีรากฐานที่ลึกล้ำมั่นคง อารามเต๋าที่อยู่ในใต้หล้ามีมากมายดุจผืนป่า ควันธูปรุ่งโรจน์ แต่ละทวีปล้วนมีถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลที่เจ้าลัทธิเต๋า เทียนจวินและเจินเหรินเป็นผู้ครอบครอง
นักพรตเฒ่าชี้หน้า ‘เด็กรุ่นหลัง’ ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความซวย จากนั้นก็ชี้ไปที่ศีรษะของตัวเอง “ยังจะบอกว่าเจ้าทำอาชีพนี้มานานแล้ว? ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ดวงแข็งจริงๆ ถึงยังได้ไม่ถูกทางการจับไปกินข้าวแดงในคุก! ข้าผู้เป็นนักพรตถามเจ้าหน่อย เจ้าสวมกวานดอกบัวนี้ไว้ทำไม? เจ้ารู้หรือไม่ว่าสำนักอารามเต๋าในแจกันสมบัติทวีปของพวกเราที่มีคุณสมบัติได้สวมกวานเต๋าเช่นนี้มีน้อยจนนับนิ้วได้! ผู้นำก็คือสำนักโองการเทพแห่งแคว้นหนันเจี้ยน เจินเหรินเจ้าสำนักก็คือเทพเซียนฉีซึ่งเป็นเจ้าลัทธิเต๋าของหนึ่งทวีป คือนายท่านผู้เฒ่าที่เมื่อปีก่อนเพิ่งเลื่อนขั้นเป็นเทียนจวิน! อารามเต๋าแห่งอื่นในแจกันสมบัติทวีปมีที่ไหนบ้างที่ไม่ใช่ตระกูลเซียนอันดับหนึ่งของหนึ่งพื้นที่ ไหนเลยจะต้องลดตัวมาเป็นหมอดู จัดตั้งแผงดูดวงเน่าๆ คลุกคลีอยู่กับชาวบ้านร้านตลาดที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยคาวดินกลิ่นสาบ? ทำไม หรือเจ้าคือเทพเซียนในแผนภูมิหยกของสำนักโองการเทพ หรือว่าเป็นนักพรตเต๋าในบัญชีของอารามเต๋าขนาดใหญ่?”
นักพรตหนุ่มโบกมือ “ไม่ใช่ทั้งสองอย่างนั่นแหละ”
เขาที่มีนามว่าลู่เฉินย่อมไม่ใช่บุคคลเช่นนั้น
โทสะของผู้เฒ่าไม่รู้ว่าผุดมาจากไหน เขาเตรียมจะสั่งสอนเจ้าเด็กมุทะลุผู้นี้ แต่จู่ๆ กลับร้องเอ๊ะหนึ่งที สีหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ที่แท้ตรงร้านด้านข้างมีหนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งเด็กหนุ่มยืนอยู่ แม้สีหน้าของชายวัยกลางคนจะดูเหมือนคนป่วยไข้ แต่พลังอำนาจกลับเปี่ยมล้น มองแล้วเหมือนคนเป็นขุนนาง มีบารมีของขุนนางเต็มเปี่ยม! เด็กหนุ่มสวมชุดขาวรัดเข็มขัดหยก ใบหน้าหล่อเหลา แค่มองก็รู้ว่าเป็นคุณชายที่มาจากตระกูลชนชั้นสูงร่ำรวย
คนทั้งสองยืนอยู่ข้างแผงดูดวงนั้นเงียบๆ ราวกับว่ากำลังรอนักพรตหนุ่มด้วยความอดทน
ความสงสารเวทนาที่มีอยู่น้อยนิดของนักพรตเฒ่าหายวับไปทันที พอหันมามองมองนักพรตหนุ่มที่มีโชคขี้หมาอีกครั้งก็พลันรู้สึกขัดหูขัดตามากขึ้นเป็นเท่าตัว
นักพรตหนุ่มเอ่ยขอบคุณและกล่าวลาด้วยรอยยิ้ม เดินกลับไปนั่งที่แผงของตัวเอง “ทำไม จะมาเสี่ยงเซียมซีหรือมาดูดวง?”
บุรุษนั่งลงบนม้านั่ง ส่ายหน้าเอ่ยยิ้มๆ “ไม่เสี่ยงเซียมซีแล้วก็ไม่ดูดวงด้วย จะอย่างไรเรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่จำเป็นหรอก”
บุรุษมองมาทางนักพรตหนุ่ม ลังเลอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายก็ยังยกมือทำท่าคารวะคนอื่นเป็นครั้งแรกในชีวิต เอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “ข้าคือกษัตริย์ในโลกมนุษย์ ตามหลักมารยาทของใต้หล้าไพศาลแล้ว ไม่จำเป็นต้องคุกเข่าให้กับเทพเซียนคนใด เจินเหรินเจ้าลัทธิมาเยือนเขตการปกครองหลงเฉวียนของต้าหลีเรา ข้าทั้งไม่จำเป็นต้องคุกเข่าคำนับ แล้วก็ไม่ต้องกุมมือคารวะตามหลักของลัทธิขงจื๊อ เพียงแค่มองเป็นการพบปะกันอย่างผิวเผินในยุทธภพครั้งหนึ่งเท่านั้น ข้าบังอาจใช้วิธีของคนในยุทธภพมาคำนับเจ้าลัทธิลู่ ก็หวังว่าเจ้าลัทธิลู่จะไม่ถือสา”
ลู่เฉินถามยิ้มๆ “แปลกใจจริง เจ้าเป็นฮ่องเต้ ทำไมถึงไม่เรียกแทนตัวเองว่าเราหรือกว่าเหริน?”
บุรุษยิ้มเจื่อน “เจินเหรินอยู่ตรงหน้า ข้ามิกล้าจริงๆ”
ลู่เฉินเอ่ยเย้า “ข้าผู้เป็นนักพรตยังนึกว่าฮ่องเต้สกุลซ่งต้าหลีคือชายชาตรีที่ไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดิน ตอนนั้นที่อาเหลียงบุกไปสังหารถึงหน้าหอป๋ายอวี้ในวังหลวงพวกเจ้า เจ้าก็ใจกล้าไม่น้อย ถึงขนาดไม่ยอมคุกเข่าให้เขา ตอนนั้นข้าผู้เป็นนักพรตชมงิ้วอยู่ไกลๆ จากในแคว้นหนันเจี้ยนยังอดเสียวสันหลังแทนเจ้าไม่ได้”
ฮ่องเต้ต้าหลีเอ่ยหยันตัวเอง “หากคุกเข่า พลังทั้งหมดที่บรรพบุรุษสกุลซ่งต้าหลีสั่งสมมาย่อมพังครืนลง ข้าจะคุกเข่าได้อย่างไร? ดังนั้นต่อให้ตายก็คุกเข่าไม่ได้”
ลู่เฉินพยักหน้ารับ แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะ “เจ้ามากระดิกหางประจบเอาใจข้าผู้เป็นนักพรตด้วยเรื่องที่สร้างหอป๋ายอวี้โดยพลการ หรือว่ามาซักไซ้เอาผิดเรื่องที่นักพรตตระกูลลู่เล่นงานเจ้า?”
ฮ่องเต้ต้าหลีกล่าวยิ้มๆ “ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง อย่างแรกไม่คิดจะทำ อย่างที่สองไม่มีความกล้าจะทำ เดิมทีข้าก็จำเป็นต้องมาปรากฎตัวที่นี่ด้วยตัวเองเรื่องแต่งตั้งขุนเขาเหนือของต้าหลีอยู่แล้ว อันที่จริงระหว่างที่เดินทางมาสวี่รั่วแห่งสำนักโม่ได้ใช้กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตส่งข่าวไปเกลี้ยกล่อมข้าว่า ทางที่ดีที่สุดอย่ามาปรากฎตัวต่อหน้าเจินเหรินเจ้าลัทธิ ท่านราชครูเองก็คิดแบบเดียวกัน คนทั้งสองพูดตรงอย่างมาก ไม่มีความเกรงใจเลยสักนิดเดียว โดยเฉพาะราชครูต้าหลีของพวกเราท่านนั้นที่รู้นิสัยข้าดีที่สุด เขากลัวว่าเมื่อไหแตกแล้วข้าจะทุบมันให้ละเอียด จนสุดท้ายกลายเป็นว่าล่วงเกินเจินเหรินเจ้าลัทธิ”
ลู่เฉินมองประเมินฮ่องเต้ต้าหลีที่มีสภาพเหมือนคนป่วยเกินเยียวยาแล้วจุ๊ปากพูด “ข้าผู้เป็นนักพรตสงสัยอยู่เรื่องหนึ่ง หมัดนั้นของอาเหลียงต่อยสะพานแห่งความเป็นอมตะของเจ้าหัก แม้จะช่วยให้เจ้าหลุดพ้นจากชะตากรรมของหุ่นเชิด แต่กลับทำให้เจ้ามีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน เจ้าซาบซึ้งใจหรือเกลียดแค้นเขากันแน่?”
ฮ่องเต้ต้าหลีตอบตามสัตย์จริง “รู้สึกทั้งสองอย่าง ถึงขั้นที่บอกไม่ได้ด้วยว่าซาบซึ้งใจหรือเคียดแค้นมากกว่ากัน ใต้หล้าไพศาลแห่งนี้มีกฎเกณฑ์อย่างหนึ่งที่พันธนาการกษัตริย์มาตั้งแต่สมัยโบราณ ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางไม่อาจรับหน้าที่เป็นกษัตริย์ของหนึ่งแคว้นได้ ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างก็ไม่อาจนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรเกินหกสิบปี บวกกับที่คนเป็นฮ่องเต้ไม่เหมาะจะฝึกตนมาตั้งแต่เกิดแล้ว ดังนั้นข้าในเวลานั้นจึงทนต่อคำล่อลวงไม่ได้ พอถูกอาจารย์สกุลลู่ที่ช่วยสร้างหอป๋ายอวี้ปลุกปั่นจึงเดินไปบนเส้นทางลัดนอกรีต แอบฝึกตนจนถึงขอบเขตสิบ เดิมทีนี่ก็เป็นความผิดมหันต์อยู่แล้ว เพราะข้าอยากได้ยินเสียงกีบม้าของต้าหลีควบตะบึงอยู่บนชายหาดทะเลทักษิณนอกนครมังกรเฒ่ากับหูตัวเองมากเกินไป”
ฮ่องเต้ต้าหลีกล่าวมาถึงตรงนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนมามีชีวิตชีวา เหมือนคนป่วยใกล้ตายที่มีสีหน้าสดใสเป็นครั้งสุดท้าย “หากมีวันนั้นจริงๆ ข้าเชื่อว่าเสียงนั้นต้องดังยิ่งกว่าเสียงฟ้าผ่าในฤดูใบไม้ผลิแน่นอน!”
ลู่เฉินไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธเรื่องนี้ “เจ้าสามารถจัดการเรื่องในบ้านของตัวเองในเวลาสั้นๆ เพียงเท่านี้ อีกทั้งยังมีกำลังใจปฏิเสธสกุลลู่จากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ถือว่าไม่ง่ายเลย แน่นอนว่านี่เกี่ยวข้องกับการที่สายหลักสำนักโม่เลือกผูกติดกับราชวงศ์ต้าหลีของพวกเจ้าด้วย แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ชีวิตฮ่องเต้ของเจ้าก็ช่าง…ลุ่มๆ ดอนๆ ยิ่งนัก”
ฮ่องเต้ต้าหลีไม่ได้รู้สึกประหลาดใจอะไร แม้ว่าเมื่อใดที่เซียนลงมาเยือนโลกมนุษย์ก็ยังต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ซับซ้อนที่หลี่เซิ่งตั้งเอาไว้ แต่นักพรตหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาตรงหน้านี้ไม่ใช่เซียนตามความหมายทั่วไป
การที่ฮ่องเต้ต้าหลียืนกรานจะมาเมืองเล็กเพื่อพบหน้านักพรต ‘หนุ่ม’ ด้วยตัวเองสักครั้ง ก็เพราะความเคารพยำเกรงและเลื่อมใสที่มีอยู่ในใจ นี่เป็นความรู้สึกที่เรียบง่ายและบริสุทธิ์ที่สุด
เงยหน้ามองภูเขาสูง เจริญรอยตามคุณธรรมความประพฤติของนักปราชญ์ แม้จะปฏิบัติตามไม่ได้ทั้งหมด แต่ใจก็ฝันใฝ่ว่าจะไปให้ถึง
หากสามารถเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าและได้เห็นกับตาตัวเองสักครั้ง นั่นก็ถือเป็นความโชคดีใหญ่หลวงในชีวิต
ฮ่องเต้ต้าหลีพลันเผยสีหน้าคาดหวังและกระวนกระวาย “เจินเหรินเจ้าลัทธิอยู่ที่นี่ ขอถามว่า ข้าจะรอดพ้นหายนะครั้งนี้ไปได้หรือไม่?”
ลู่เฉินส่ายหน้ายิ้มๆ “ท่ามกลางทางช้างเผือกที่มีดวงดาวดารดาษซึ่งไหลผ่านโลกมนุษย์ เดิมทีเจ้าก็เป็นดวงดาวที่ค่อนข้างสุกสกาวอยู่แล้ว แน่นอนว่าข้าผู้เป็นนักพรตสามารถยืดอายุขัยให้เจ้าได้ อย่าว่าแต่สิบปีร้อยปีเลย พันปีก็ยังไม่ยาก แต่ขอแค่ข้าผู้เป็นนักพรตลงมือเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิต เกรงว่าเจ้าคงต้องละทิ้งงานใหญ่ของบรรพบุรุษ ติดตามข้าผู้เป็นนักพรตไปอยู่ที่ใต้หล้าแห่งอื่นถึงจะมีชีวิตรอด หาไม่แล้วเจ้าคิดจริงๆ หรือว่ากฎของหลี่เซิ่งตั้งเอาไว้เฉยๆ และพวกรูปปั้นองค์เทพที่อยู่ในศาลเจ้าบุ๋นเหล่านั้นก็ตายกันไปหมดแล้ว?”
ฮ่องเต้ต้าหลีถอนหายใจแล้วเงียบไปนาน
ลู่เฉินปรายตามองประเมินเด็กหนุ่มที่มีสีหน้าเคร่งขรึมแล้วพูดกลั้วหัวเราะ “ซ่งจี๋ซิน หรือควรจะเรียกเจ้าว่าซ่งมู่ดี? บังเอิญจริง พวกเราได้พบกันอีกแล้ว ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าฉีจิ้งชุนให้ความสำคัญกับเจ้ามาก? ตอนนั้นบุคคลสำคัญที่จะได้รับสืบทอดควันธูปสายบุ๋นของเขาก็มีเจ้ารวมอยู่ด้วย? แต่มันไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่เพราะฉีจิ้งชุนร่ายเวทอำพรางตาข้าผู้เป็นนักพรตเท่านั้น หาไม่แล้วนกขมิ้นน้อยของข้าก็ไม่มีทางคาบเหรียบทองแดงที่เจ้าโยนมาให้ไปเด็ดขาด เสียดายก็แต่ชะตาของเจ้าไม่เลว ขาดแค่โชคไปเล็กน้อยเท่านั้น แค่เล็กน้อยจริงๆ”
ลู่เฉินยื่นนิ้วโป้งและนิ้วชี้ออกมาวางขนานให้เหลือช่องว่างระหว่างกันเพียงแค่เสี้ยวเดียว ปากก็เอ่ยเสียดสีต่อว่า “ตำราทั้งหลายที่ฉีจิ้งชุนมอบให้เจ้าคือจุดศูนย์รวมของโชคชะตาสายบุ๋นที่แท้จริง แต่เจ้ากลับไม่ยอมเอาไปด้วยแม้แต่เล่มเดียว เจ้าควรต้องรู้ไว้ว่า ระหว่างฟ้าดินนั้นมีปราณแห่งความเที่ยงธรรมอยู่ ปราณแห่งความเที่ยงธรรมที่ว่านี้เป็นเพียงมายาเลื่อนลอย แต่มันมีสติปัญญาเป็นของตัวเอง ของที่คนอื่นมอบให้เจ้า เจ้าไม่ยื่นสองมือออกมารับก็โทษใครไม่ได้แล้ว”
สภาพจิตใจของซ่งจี๋ซินพลันวุ่นวายอย่างหนัก เหงื่อเย็นๆ กลิ้งไหลมาตามสันหลัง
ฮ่องเต้ต้าหลีตวาดเบาๆ “ซ่งมู่!”
ในที่สุดซ่งจี๋ซินก็พอจะคืนสติกลับมาได้บ้าง แต่ร่างของเขายังคงสั่นเทิ้ม ยืนโอนเอนจะล้มมิล้มแหล่
ลู่เฉินเอ่ยเย้าต่อไปว่า “ไอ้หนู แค่นี้ก็ลนลานแล้วหรือ? เสียใจจนไส้เขียวเลยสินะ? ซ่งจี๋ซิน เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า สองมือของเจ้ารับของดีเอาไว้แล้ว แต่สุดท้ายเจ้าจะรับผลลัพธ์ที่ตามมาได้หรือไม่? เรื่องของถ้ำสวรรค์หลีจู ทำไมฉีจิ้งชุนถึงต้องตาย หากไม่พูดถึงเรื่องที่อาจารย์ฉีของเจ้ารนหาที่ตายเอง เพราะไม่ยอมเข้าไปหลบในถ้ำสวรรค์ที่ซิ่วไฉเฒ่าทิ้งไว้ให้เขา เรื่องหลักที่สำคัญที่สุดก็คือการโดนวิถีสวรรค์กระโจนเข้าเล่นงาน หากเจ้ามีส่วนเอี่ยวด้วยแม้เพียงนิดก็หมายความว่าในกาลเวลาอันยาวนานหลังจากนี้ เจ้าจะไม่มีวันได้อยู่อย่างเป็นสุข ต่อให้เจ้าได้เป็นฮ่องเต้ต้าหลีแล้วจะอย่างไร? ต่อให้เสียงกีบม้าของกองทัพม้าเหล็กต้าหลีเหยียบย่ำชายหาดทักษิณจนเละเทะ แล้วจะอย่างไร?”
ฮ่องเต้ต้าหลีใช้มือข้างหนึ่งกดไหล่ของเด็กหนุ่มแรงๆ เอ่ยเสียงหนัก “ไม่ต้องคิดอะไรมาก!”
ลู่เฉินไม่คิดจะพูดจาบีบบังคับคนอื่นอีก เพียงพูดน้ำเสียงเกียจคร้านว่า “คนบนโลกมักจะชอบเสียใจและเจ็บแค้นที่เรื่องดีเลยผ่านตัวเองไป เอาแต่ยุ่งวุ่นวายอยู่กับการอิจฉาโชควาสนาและโอกาสของคนอื่น ฮ่าๆ ทั้งน่าตลกและน่าสนุกจริงๆ”
ฮ่องเต้ต้าหลีดึงมือกลับมา ฝ่ามือของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อนานแล้ว สีหน้ายิ่งเปลี่ยนมาเป็นซีดขาว “เจ้าลัทธิลู่ จะปล่อยต้าหลีไปสักครั้งได้หรือไม่?”
ลู่เฉินตะลึง แล้วพลันตบโต๊ะดังปัง หัวเราะเสียงดัง “พูดเหมือนคำพยากรณ์เลย!”
ลู่เฉินหันไปกวาดตามองรอบด้านก่อน สุดท้ายหรี่ตาลงมองไปยังทิศสูง ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “เป็นอย่างไร? ข้าผู้เป็นนักพรตไม่ได้บังคับคนอื่นนะ วางใจได้ วันหน้าจะเป็นอย่างไรก็ต้องอาศัยคำว่า ‘ปล่อยให้เป็นตามธรรมชาติ’ แล้ว ข้าผู้เป็นนักพรตไม่มีเวลาให้มัวมาผลาญอยู่ที่นี่ พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย หากไม่เป็นเพราะฉีจิ้งชุน ข้าผู้เป็นนักพรตก็ไม่อยากจะมาอาศัยใต้ชายคาคนอื่นอยู่ในถิ่นของพวกเจ้าหรอก”
นักพรตเฒ่าที่อยู่ร้านติดกันรู้สึกมึนๆ งงๆ นับตั้งแต่ที่นักพรตหนุ่มกลับไปที่ร้านตัวเอง นักพรตเฒ่าก็ง่วงหงาวหาวนอน อีกทั้งยังไม่มีการค้ามาเยือน ดังนั้นผู้เฒ่าจึงนั่งอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง เพียงแต่นักพรตเฒ่าไม่รู้เลยว่าลายมือของตัวเองเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างเงียบเชียบ เมื่อเส้นลายมือเส้นหนึ่งยืดขยายยาวออกไป อายุขัยของเขาก็เพิ่มมากขึ้น นี่คือวาสนาที่มาเยือนโดยที่เขาไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย
เพราะถูกคนตระกูลลู่ทำให้อารมณ์ขุ่นมัวมาโดยตลอด ทว่าในที่สุดวันนี้นักพรตหนุ่มก็อารมณ์ดีขึ้นได้เสียที จึงทำการ ‘แหกกฎประทานความเมตตา’ ไปหนึ่งครั้ง
ฮ่องเต้ต้าหลีพาซ่งจี๋ซินบอกลาจากไป ความคิดมากมายประดังประเดกันเข้ามาในหัวของบุรุษจนเขาไม่กล้าหันกลับไปมอง
จู่ๆ ลู่เฉินก็ถอนหายใจอย่างปลงอนิจจัง “โชควาสนาของฟ้าดิน มหัศจรรย์จนไร้คำบรรยาย”
อันที่จริงเหล่าอริยะของสามลัทธิและเมธีร้อยสำนัก รวมไปถึงวีรบุรุษผู้แกร่งกล้าที่ตระกูลคงอยู่มานานนับพันปีต่างก็ยุ่งวุ่นวายกันมาก เพื่อกลียุคที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ พวกเขาต่างคนต่างก็มีการวางแผนจัดการเป็นของตัวเอง
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ประหนึ่งลมฤดูใบไม้ผลิที่กลายเป็นสายฝน และเหล่าอาณาประชาราษฎร์บนโลกต่างก็อาบแช่อยู่ท่ามกลางสายฝนนี้ ใครทำดีทำเลวย่อมได้รับผลบุญผลกรรมตอบแทน วาสนาหรือหายนะล้วนเป็นคนที่เรียกหามันมาเอง
นักพรตหนุ่มดีดนิ้วหนึ่งที ฟ้าดินพลันสว่างไสว เขาหันหน้าไปยังทิศทางของภูเขาใหญ่ฝั่งตะวันตก “ไปเถอะๆ ทุกอย่างหลังจากนี้จะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าอีกแล้ว”
นักพรตเฒ่าสะดุ้งโหยง เช็ดคราบน้ำลายตรงมุมปาก มองซ้ายมองขวาเลิ่กลั่ก แต่ก็ไม่เห็นอะไรที่ผิดปกติจึงบ่นกับตัวเองว่ายังไงตนก็อายุมากแล้ว ไม่ยอมแก่คงไม่ได้ ร่างกายทนรับลมหนาวของฤดูใบไม้ผลินี่ไม่ไหวแล้ว จากนั้นผู้เฒ่าก็ค้นพบว่านักพรตหนุ่มคนนั้นมานั่งอยู่บนม้านั่งยาวหน้าแผงของตัวเองด้วยรอยยิ้มตาหยี ท่าทางล้างหูเตรียมรอฟังมองแล้วน่าเตะ นักพรตเฒ่านึกขึ้นมาได้ว่าการค้าครั้งใหญ่เพิ่งจะถูกสุนัขคาบไปกิน ไหนเลยจะยังเต็มใจอยากถ่ายทอดความรู้ให้แก่เด็กรุ่นหลังคนนี้อีก นั่นไม่เท่ากับตนขุดหลุมฝังตัวเองหรอกหรือ วันหน้าถ้าถูกแย่งอาชีพจะไปร้องไห้ฟ้องใครได้ จึงสะบัดชายแขนเสื้ออย่างไม่สบอารมณ์ “ไปๆๆ เจ้าหัวทึบขนาดนี้ ข้าผู้เป็นนักพรตสอนเจ้าไม่ไหวหรอก รีบถอยไปซะ อย่ามาขวางทางการหาเลี้ยงชีพของข้า!”
ลู่เฉินกดมือสองข้างลงบนแผง ทำหน้าหนาพูดว่า “ไม่นะ ท่านเซียนผู้เฒ่าพูดให้ข้าฟังหน่อยเถอะ วันหน้านักพรตน้อยอย่างข้าจะได้ไปร้องคำรามที่ถิ่นของตัวเองในบ้านเกิดได้เสียที”
ผู้เฒ่าขมวดคิ้ว แต่จากนั้นก็คลายออก ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ทองพันชั่งยากจะซื้อคำจากผู้เฒ่า กฎเกณฑ์นี้เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
“หา?”
ลู่เฉินร้องอุทานตกใจ “ถ้าอย่างนั้นติดไว้ก่อนได้หรือไม่?”
นักพรตเฒ่าเห็นว่ารอบด้านไม่มีใครจึงถลึงตาตวาดอย่างไม่คิดจะรักษามาดเทพเซียนของตนอีกต่อไป “ไสหัวไป!”
ลู่เฉินควักเศษเงินเม็ดหนึ่งออกมาด้วยสีหน้าเสียดาย แล้ววางลงบนโต๊ะ “ท่านเซียนผู้เฒ่า ท่านทำตัวไม่เหมือนคนเป็นเทพเซียนเอาซะเลย ทำไมถึงยังชอบกลิ่นเงินอยู่อีกเล่า?”
นักพรตเฒ่าคว้าเศษเงินก้อนนั้นยัดเก็บเข้าไปในชายแขนเสื้อ กระแอมหนึ่งครั้งแล้วเริ่มพูดจ้อถึงประสบการณ์ในยุทธภพของตน เรื่องที่เอามาพูดล้วนหาแก่นสารอะไรไม่ได้ ฟังแล้วก็ไร้ประโยชน์ ทั้งยังยืนหยัดที่จะไม่เอ่ยประโยคเป็นการเป็นงานซึ่งจำเป็นสำหรับการใช้ชีวิตอยู่ในยุทธภพอย่างแท้จริง เพียงแต่ว่าชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามคล้ายจะไม่เข้าใจอะไรเสียเลย ได้ยินผู้เฒ่าพูดเป็นน้ำไหลไฟดับยังทำท่าตกตะลึง ใบหน้าเต็มไปด้วยความนับถือ เห็นด้วยกับทุกเรื่องที่อีกฝ่ายพูดมา บางครั้งนักพรตหนุ่มยังตบเข่าฉาด ทำท่ากระจ่างแจ้งเหมือนได้รับผลประโยชน์มหาศาล ทำเอาผู้เฒ่าตกใจไม่น้อย
โดยไม่ทันรู้ตัว เส้นลายมือของผู้เฒ่าที่เดิมทีเกิดการเปลี่ยนแปลงก็ย้อนกลับไปเป็นสภาพเดิม ไม่แตกต่างไปจากเดิมแม้แต่นิดเดียว
บนโลกใบนี้ บางครั้งคนเราก็ไม่ทันรู้ตัวว่าได้รับอะไรมาและต้องเสียอะไรไป
—–