กระบี่จงมา Sword of Coming – บทที่ 223.2 การต่อสู้บนถนนเส้นเล็ก

บทที่ 223.2 การต่อสู้บนถนนเส้นเล็ก

“มีแค่ปณิธานหมัดอย่างเดียวไม่พอ เจ้ายังช้าเกินไป!”

หม่าขู่เสวียนพลันก้าวออกมาหนึ่งก้าว บนพื้นถนนที่รองเท้าของเขาเหยียบอยู่เกิดแรงสั่นสะเทือนเบาๆ พละกำลังแทรกซอนลงไปลึกอย่างถึงที่สุด แต่กลับไม่มีแววว่าจะแผ่ขยายออกไปรอบด้าน เด็กหนุ่มชุดดำมาโผล่ตรงหน้าเฉินผิงอันในเสี้ยววินาทีแล้วเหวี่ยงหมัดขวาแสกหน้าเขา

เฉินผิงอันกลับปล่อยสองมือออกไปพร้อมกัน เบี่ยงศีรษะเอียงไปด้านข้าง มือซ้ายปัดหมัดขวาของหม่าขู่เสวียนทิ้ง มืออีกข้างหนึ่งคว้าหมัดของอีกฝ่ายที่แทงเสยขึ้นมา ขณะเดียวกันก็โน้มตัวไปด้านหน้า ใช้ศอกซ้ายกระแทกใบหน้าของหม่าขู่เสวียน

คาดไม่ถึงว่าหม่าขู่เสวียนจะยกเข่าขึ้นแล้วดีดเท้าถีบ สกัดกั้นการจู่โจมของเฉินผิงอันเอาไว้ได้ อีกทั้งยังหงายตัวไปด้านหลัง ถือโอกาสดึงระยะห่างของคนทั้งคู่ หลบศอกที่ตีเข้าหน้าพ้น ทว่านับตั้งแต่ที่หม่าขู่เสวียนระเบิดฝีมืออันแข็งแกร่งออกมา หากโดนเท้านี้ของเขาถีบเข้าจังๆ เกรงว่าไส้อาจจะขาดได้จริงๆ ช่วงเวลาที่เดินทางท่องอยู่ในยุทธภพ ได้ท้ารบกับปรมาจารย์ทั่วสารทิศ ต่อให้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้า แต่หากถูกหม่าขู่เสวียนที่ฝึกตนอยู่ในสำนักการทหารซึ่งหล่อหลอมเรือนกายจนเหนือกว่าผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวโจมตีเข้า ไม่ว่าจะหมัดหรือเท้าก็ต้องกระอักเลือดออกมาหลายคำ

แต่หม่าขู่เสวียนกลับไม่ได้สมหวัง เขาค้นพบว่ามือขวาของเฉินผิงอันคว้าขาของเขาเอาไว้ได้ก่อน จากนั้นก็เหวี่ยงตัวเขาออกไป

หม่าขู่เสวียนเปลี่ยนท่าอยู่กลางอากาศอย่างรวดเร็ว สุดท้ายใช้เท้าทั้งสองข้างเหยียบลงบนกำแพง แล้วก็ค้างอยู่ในท่าที่เรือนกายขนานกับพื้นดิน เดินหน้าไปตามผนังเหมือนเดินอยู่บนพื้นดินด้วยท่าประหลาดนั้น

เฉินผิงอัน ‘เดินเคียงบ่า’ ไปกับเขา ไม่ได้ฉวยโอกาสนี้ใช้สองหมัดโจมตีที่ศีรษะของหม่าขู่เสวียน

ยิ่งไม่ได้ใช้กระบวนท่าหมัดที่ผู้เฒ่าแซ่ชุยถ่ายทอดให้บนเรือนไม้ไผ่

การหยั่งเชิงแรกเริ่ม ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่รู้รากฐานที่แท้จริงของอีกฝ่าย ดังนั้นการลงมือในครั้งแรกจึงยังกักเก็บพลังเอาไว้ ที่มากไปกว่านั้นคือต้องการหยั่งเชิงฝีมือของฝ่ายตรงข้าม ไม่ใช่ลงแรงอย่างเต็มกำลัง เพียงแค่เปิดฉากก็ปล่อยพลังอย่างสุดฝีมือ เฉินผิงอันระมัดระวังเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่หม่าขู่เสวียนเคยเห็นทัศนียภาพบนภูเขาของเขาเจินอู่มาก่อน แล้วก็เคยได้เห็นศักยภาพที่แท้จริงของปรมาจารย์ด้านวิถีวรยุทธ์มาแล้ว ทว่าเขายังก็เก็บอาการถึงขนาดนี้จึงค่อนข้างจะน่าสนใจ เห็นได้ชัดว่าสำหรับเฉินผิงอันซึ่งเป็นคนเพียงคนเดียวที่เคยเอาชนะตนได้แล้ว ส่วนลึกในใจของหม่าขู่เสวียนมีความหวาดเกรงบางอย่างที่ยากจะอธิบายได้ซุกซ่อนอยู่

มาแล้ว!

ผนังกำแพงถูกหม่าขู่เสวียนเหยียบจนเกิดเป็นหลุมสองหลุม

เด็กหนุ่มชุดดำเหมือนลูกธนูแหลมคมที่พุ่งออกมา ลมปราณที่แท้จริงเฮือกหนึ่งของเฉินผิงอันจมดิ่งลงไปในห้องโอสถ ตวัดเท้าวาดเป็นเส้นโค้ง ไถลลื่นไปด้านหลังเบาๆ จากนั้นก็พลันเพิ่มแรง เสียงปังดังหนึ่งครั้ง พื้นถนนข้างเท้าก็มีฝุ่นกระจายขึ้นมา ก้อนอิฐที่อยู่ใต้พื้นดินที่สัมผัสกับรองเท้าก็ยิ่งปริแตก

หมัดของหม่าขู่เสวียนเหมือนพายุฝนกระหน่ำ เฉินผิงอันทั้งรุกทั้งถอย ปะทะซึ่งๆ หน้า หมัดต่อหมัด หม่าขู่เสวียนออกหมัดด้วยพละกำลังหนักหน่วง อีกทั้งยังรัวติดต่อกันไม่มีหยุดพัก ลมปราณเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียว ยืดยาวราวกับไม่มีวันหมดสิ้น ต่อให้ร่างจะอยู่กลางอากาศ สองเท้าไม่สัมผัสโดนพื้น แต่หม่าขู่เสวียนก็ยังต่อยให้เกิดภาพปรากฎการณ์ของความดุดันได้

อากาศที่ว่างระหว่างคนทั้งสองเกิดเสียงระเบิดดังปึงปัง

ราวกับว่ามีคนกำลังรัวกลองอย่างดุเดือดอยู่ระหว่างพวกเขาสองคน

เฉินผิงอันถูกเด็กหนุ่มชุดดำต่อยจนถอยกรูดไปหลายสิบก้าวในรวดเดียว หลังของเขาเกือบจะอัดติดกับกำแพงอีกฝั่งหนึ่ง

แต่เฉินผิงอันที่ได้เปรียบโดยที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่ากลับทั้งสามารถยืมแรงและลดทอนแรงจากพื้นดินได้อย่างต่อเนื่อง จนค่อยๆ สั่งสมขึ้นเป็นความได้เปรียบที่ลึกซึ้งบางอย่าง และเวลานี้เอง เฉินผิงอันที่ยังเก็บพละกำลังเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝันไว้ในการต่อสู้รอบที่สองก็กระทืบลงไปบนพื้นดินแรงๆ หนึ่งครั้ง นี่ยังไม่พอ เขายังใช้เท้าข้างหนึ่งปักตรึงลงไปบนพื้นดิน หลังจากต้านรับหมัดของหม่าขู่เสวียนไว้ได้แล้ว ก็เหวี่ยงหมัดต่อยเข้าใส่ซีกหน้าด้านข้างของหม่าขู่เสวียนด้วยแรงที่มากกว่าอีกฝ่ายเป็นเท่าตัว ทำเอาเด็กหนุ่มชุดดำลอยกระเด็น

ทว่าในขณะที่เฉินผิงอันเตรียมจะเปลี่ยนลมหายใจเฮือกใหม่ หม่าขู่เสวียนที่ลอยหวือออกไปก็เอาคืนด้วยการปาดเท้าเหวี่ยงมาฟาดเข้าที่ลำคอของเฉินผิงอันอย่างแรง

คนหนึ่งถูกเฉินผิงอันต่อยจนกระเด็นออกไป พลิกกลับร่างเปลี่ยนทิศทางจนสองเท้าสัมผัสโดนพื้น แต่ถึงกระนั้นร่างก็ยังไถลออกไปด้านหลังอยู่ดี

คนหนึ่งถูกหม่าขู่เสวียนเตะจนร่างหมุนคว้าง หัวเข่าสองข้างงอลงเล็กน้อย หลังจากหยุดยืนได้มั่นคงแล้วก็รีบถอยไปข้างหลังทันที ราวกับว่าจำเป็นต้องปรับลมหายใจของตัวเองเสียใหม่

หม่าขู่เสวียนแสยะยิ้มจนเห็นฟันสีขาวสะอาด เขาพอจะเดาความหนักเบาของวิชาหมัด ความเร็วในการออกหมัดและวิธีการโคจรลมปราณที่แท้จริงของเฉินผิงอันได้คร่าวๆ จึงกระโจนออกไปข้างหน้า ความเร็วนั้นมากจนแทบจะเทียบเคียงได้กับยันต์เทพเดินทางของลัทธิเต๋า

เฉินผิงอันถูกบีบให้ต้องตั้งท่าหมัดที่คล้ายกับการป้องกัน ลูกตาดำของหม่าขู่เสวียนหดรัดตัว และในขณะที่สองฝ่ายกำลังจะปะทะกันนั้นเอง หม่าขู่เสวียนพลันหมุนตัวกลับ ซอยเท้าถี่รัวหมุนตัวรอบกายเฉินผิงอันคล้ายลูกข่าง ร่างกายเอนไปด้านหลัง จะล้มไม่ล้มอยู่ตลอดเวลา ทิ้งระยะห่างจากเฉินผิงอันประมาณหนึ่งช่วงแขน

เฉินผิงอันไม่ได้ปล่อยหมัดนั้นออกไปง่ายๆ

หลังจากวนครบหนึ่งรอบ ร่างของหม่าขู่เสวียนก็หยัดตรง เดินวนรอบเฉินผิงอันอีกครั้ง แต่คราวนี้เดินอย่างเอ้อระเหยลอยชาย ถามด้วยความใคร่รู้ว่า “หมัดนี้อันตรายมาก มีชื่อเรียกไหม?”

แน่นอนว่าเฉินผิงอันไม่มีทางตอบคำถามเขา เขาขยับเท้าก้าวออกไปเบาๆ ยืนหันหน้าเข้าหาหม่าขู่เสวียนตลอดเวลา สองมือยังคงตั้งท่าหมัดดังเดิม ปณิธานแห่งหมัดไหลวนไปทั่วร่าง ลมปราณที่แท้จริงในร่างขุมนั้นเหมือนมังกรไฟที่ว่ายวนไปทั่ว

หม่าขู่เสวียนไม่ได้รับคำตอบอย่างที่ต้องการ แต่เท้าของเขาก็ยังคงเดินขยับเข้าใกล้เฉินผิงอันอย่างสง่างาม แต่แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมา “ข้าโง่เอง ไม่โทษเจ้าๆ จะว่าไปแล้วก็ตลก ข้าเดินทางในยุทธภพครั้งนี้ได้พบเจอกับปรมาจารย์และจอมยุทธ์มามากมาย ตอนที่ต่อสู้กันก็มักจะผลัดกันรุกผลัดกันรับ แถมยังมีพวกคนโง่อีกนับไม่ถ้วนยืนปรบมือร้องให้กำลังใจอยู่ข้างๆ แล้วก็มีการต่อสู้ที่เหมือนลูกเจี๊ยบจิกกันเอง บางคนก่อนจะลงมือมักจะชอบร้องตะโกนให้คอยรับกระบวนท่าให้ดี หรือไม่ก็เป็นพวกชอบป่าวประกาศชื่อกระบวนท่า ราวกับกลัวว่าคู่ต่อสู้จะไม่รู้ว่ากระบี่นั้นหรือหมัดนั้นมีที่มาและแก่นแท้อย่างไร”

หม่าขู่เสวียนยิ้มจนดวงตาทั้งคู่หยีลง รอยยิ้มมองดูแล้วเกียจคร้านอย่างยิ่ง

แต่ว่าเด็กหนุ่มชุดดำพูดไว้แล้วว่าจะต้องตัดสินให้รู้แพ้ชนะเท่านั้น จิตสังหารของเขาในเวลานี้จึงไม่ได้ด้อยไปกว่าเมื่อครั้งศึกที่สุสานเทพเซียนเลย

หม่าขู่เสวียนยืนนิ่ง เอ่ยถามว่า “พวกเราเอาแต่ยืนคุมเชิงกันแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง ขอบเขตที่สามของข้ากลับต่อสู้กับเจ้าได้แค่สูสี เฉินผิงอัน เจ้าอยากจะสู้กันให้น่าสนใจกว่านี้สักหน่อยหรือไม่?”

เฉินผิงอันกระตุกมุมปาก “เจ้าใช้ขอบเขตห้าได้โดยตรงเลย ไม่ถือว่าเจ้าได้เปรียบหรอก”

ก่อนหน้านี้หม่าขู่เสวียนได้เอ่ยคำพูดทำนองนี้มาก่อน ตอนนี้คนพูดน้อยอย่างเฉินผิงอันตอบโต้กลับคืนหม่าขู่เสวียนที่หยิ่งยโสบ้าง ก็เรียกได้ว่าน่าเจ็บใจยิ่งกว่าเขาต่อยเข้าที่หัวของหม่าขู่เสวียนเสียอีก

หม่าขู่เสวียนหัวเราะฮ่าๆ

รอยยิ้มของเด็กหนุ่มชุดดำสดใสถึงขีดสุด แต่ในใจก็เดือดดาลสุดขีดเช่นกัน มือข้างหนึ่งของเขากำแล้วก็ปล่อยไม่หยุด ระหว่างห้านิ้วมีสายฟ้าสีขาวหิมะหลายเส้นไหลล้อมวนเวียนส่งเสียงดังเปรี๊ยะๆ

ที่แท้การต่อสู้โดยใช้ขอบเขตสามก่อนหน้านี้ หม่าขู่เสวียนได้สละฐานะผู้ฝึกลมปราณของสำนักการทหารทิ้งไปแล้ว ดังนั้นการต่อสู้ของเขาจึงเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของคนในยุทธภพ ไม่ได้ยึดมั่นหลักคุณธรรมที่สูงส่งสักเท่าไหร่

เฉินผิงอันกลับไม่มีความขลาดกลัวแม้แต่น้อย กลับกันคือปณิธานหมัดยังไต่ทะยานขึ้นสูงประหนึ่งน้ำขึ้นที่เพิ่มระดับพรวดพราด

เพียงแต่ว่าครั้งนี้เขาเปลี่ยนจากท่าหมัดโบราณอย่างกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้ามาเป็นกระบวนท่าม้าเหล็กทะลวงขบวนรบที่ฉายความคมกริบออกมาอย่างเต็มที่

สุดท้ายเฉินผิงอันเอ่ยประโยคหนึ่งที่ทำให้หม่าขู่เสวียนตัดสินใจเฉียบขาดว่าต้องสังหารเขาให้ได้

“หม่าขู่เสวียน ถือว่าข้าขอร้องเจ้าล่ะ จะสู้ก็สู้เสียที อย่าเอาแต่พูดพล่ามไม่จบไม่สิ้น”

หม่าขู่เสวียนสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ไม่เหลือสีหน้าเกียจคร้านใดๆ อีกต่อไป สายตาของเขาสงบนิ่ง ทั้งไม่มีความจองหองอวดดี แล้วก็ไม่มีอารมณ์ทุกข์สุข

หม่าขู่เสวียนยื่นนิ้วออกมาชี้ด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “กล้าใช้วงกลมที่สองที่ข้าเพิ่งเดินไปก่อนหน้านี้มาตัดสินแพ้ชนะหรือไม่? ใครที่ถอยออกจากวงก่อน คนนั้นแพ้”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ

หม่าขู่เสวียนก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เดินเข้าไปในขอบเขตวงกลมนั้นอย่างไม่ลังเล

เฉินผิงอันจากตรอกหนีผิง หม่าขู่เสวียนจากตรอกซิ่งฮวา

อันที่จริงคนทั้งสองต่างก็รู้กันดีแก่ใจว่า หม่าขู่เสวียนไม่เพียงแต่ต้องการรู้ผลแพ้ชนะ ที่มากกว่านั้นยังต้องการตัดสินเป็นตายด้วย

แต่เฉินผิงอันกลับไม่คิดหลบเลี่ยง หรือควรจะพูดอีกอย่างหนึ่งว่าหากเขาเกิดความคิดจะถอย ก็เท่ากับตาย อีกอย่างหากได้ฆ่าคนสารเลวที่ขอบเขตยิ่งสูงก็ยิ่งฆ่าคนเยอะอย่างหม่าขู่เสวียนผู้นี้ เฉินผิงอันก็ไม่รู้สึกผิดต่อมโนธรรมในใจ

วันนี้ได้มาพบหน้ากันอีกครั้งในต่างถิ่นต่างแดน คือความบังเอิญ

การช่วงชิงแข่งขันบนมหามรรคาที่มองไม่เห็นของคนทั้งสองถูกกำหนดมาตั้งแต่ตอนที่พวกเขาอยู่บ้านเกิดแล้ว

แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังมีความแค้นรุ่นบิดาที่หม่าขู่เสวียนรู้ความจริง แต่เฉินผิงอันกลับไม่รู้อะไรเลยอยู่อีกด้วย

บนถนนที่เงียบสงัดในเมืองแยนจือของแคว้นไฉ่อีแจกันสมบัติทวีป

เฉินผิงอันที่ใช้กระบวนท่าม้าเหล็กทะลวงขบวนรบรับมือกับศัตรูเป็นฝ่ายลงมือก่อน ยันต์ย่อพื้นที่ถูกเตรียมรอไว้ในชายแขนเสื้อนานแล้ว สามารถนำมาใช้เป็นกระบวนท่าสังหารที่แท้จริงได้ทุกเมื่อ และกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าก็จะเป็นการส่งถ่านให้ในวันหิมะตก

หม่าขู่เสวียนนักพรตสำนักการทหารขอบเขตห้ามี ‘สายฟ้า’ ของเขาเจินอู่ซึ่งมีภูมิหลังยิ่งใหญ่อบอวลอยู่ระหว่างนิ้วและฝ่ามือทั้งสองข้าง

ใกล้ในระยะประชิด ห่างเพียงไม่กี่ชุ่น

พื้นที่นี้ล้วนเต็มไปด้วยปณิธานหมัดและสายฟ้าอันน่าตะลึงของเด็กหนุ่มสองคน

นี่คือการต่อสู้ประชิดตัว

หากพูดถึงแค่ขอบเขต คนหนึ่งคือผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสามขั้นสูงสุด อีกคนคือผู้ฝึกลมปราณขอบเขตห้าขั้นสูงสุด หากกล่าวตามคำพูดของหม่าขู่เสวียน อันที่จริงก็ถือว่าเป็นแค่ลูกเจี๊ยบจิกตีกันเท่านั้น (เปรียบเปรยว่าฝีมือของทั้งคู่ต่างก็ต่ำ ไม่ได้มีใครเก่งกาจกว่ากัน)

แต่หากมองในด้านปณิธานหมัดวิถีวรยุทธ์ของฝั่งหนึ่ง กับจิตวิญญาณแห่งสำนักการทหารที่ถูกฟูมฟักให้ถือกำเนิดได้อย่างรวดเร็วของอีกฝ่ายหนึ่ง อย่าว่าแต่ยุทธภพด้านล่างภูเขาเลย ต่อให้เป็นตระกูลเซียนบนภูเขาก็ยังต้องตกตะลึงพรึงเพริด

หม่าขู่เสวียนทำลายกระบวนท่าม้าเหล็กทะลวงขบวนรบซึ่งยังไม่ทันรวบรวมสัจธรรมและปณิธานหมัดได้สำเร็จของเฉินผิงอันไปก่อน

แต่เพียงไม่นานหม่าขู่เสวียนก็ต้องกินหมัดจากกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าติดต่อกันเต็มๆ ถึงสิบห้าหมัด ทำเอาแสงสีทองอ่อนจางผุดวาบขึ้นมาทั่วใบหน้าเด็กหนุ่มชุดดำ จำต้องใช้เวทลับของสำนักการทหารภูเขาเจินอู่ถึงจะบังคับสะบั้นท่าหมัดประหลาดนั้นไม่ให้ไหลลงไปเบื้องล่างได้สำเร็จ จากนั้นหม่าขู่เสวียนก็ต่อยให้เลือดสดซึมออกมาจากจุดไท่หยางของเฉินผิงอัน ลำพังเพียงแค่ลูกสายฟ้าก็กระแทกเข้าหน้าเขาเต็มๆ ถึงสองครั้ง รสชาติเช่นนั้นประหนึ่งสายฟ้าฤดูใบไม้ผลิที่มาผ่าข้างหู เหมือนค้อนใหญ่ทุบลงบนใบหน้า เพียงแต่ว่าตอนอยู่เรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว เฉินผิงอันเผชิญกับความยากลำบากมาแล้วทุกรูปแบบ นี่จึงเป็นสิ่งที่เขาคุ้นเคยอย่างถึงที่สุด!

หม่าขู่เสวียนยิ่งรบยิ่งฮึกเหิมประหนึ่งมารร้ายผู้บ้าคลั่ง

คนวัยเดียวกันจากบ้านเกิดเดียวกันสองคนผลัดกันแลกหมัดแลกเท้าอย่างตรงไปตรงมา อาศัยคำว่าเร็วเพียงคำเดียว รวมไปถึงแสวงหา ‘ส่วนที่เหลือ’ สองร้อยจากประโยคที่ว่า ‘สังหารศัตรูหนึ่งพันตัวเองสูญเสียแปดร้อย’ จากความยืนหยัดหนักแน่นของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง และความดุร้ายของเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่ง ล้วนทำให้พวกเขามีจิตใจที่สุดโต่งถึงขีดสุด อย่าว่าแต่กำไรสองร้อยเลย ต่อให้ได้แค่ยี่สิบ พวกเขาก็ไม่มีทางปล่อยไป

เป็นเหตุให้ทั้งๆ ที่เห็นได้ชัดว่าสามารถใช้หมัดต้านทานหมัดของอีกฝ่ายได้ แต่กลับยังดึงดันที่จะเลือกให้ก่อนเจ้าต่อยข้าหนึ่งหมัด หมัดของข้าต้องต่อยโดนเจ้าก่อน!

อวัยวะภายในของเฉินผิงอันสั่นสะเทือนไม่หยุด เลือดสดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ดอยู่นานแล้ว

หม่าขู่เสวียนเองก็ลมปราณยุ่งเหยิง เจ็บปวดราวหัวใจถูกคว้าน สายฟ้าของภูเขาเจินอู่ที่อยู่บนมือเหลืออีกไม่มาก

แต่จิตใจของทั้งสองฝ่ายกลับยิ่งหนักแน่นมั่นคง

ต่างคนต่างเป็นหินลับมีดขัดเกลาฝีมือบนมหามรรคา

ครั้งสุดท้ายคนทั้งสองใช้การบาดเจ็บแลกการบาดเจ็บ เฉินผิงอันเกิดแรงบันดาลใจ ใช้ท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูที่ปกติใช้หล่อเลี้ยงบำรุงจิตวิญญาณเปลี่ยนมาเป็นท่าโจมตีกะทันหัน มือทั้งสองข้างของเขาแยกห่างออกจากกัน แต่ลมปราณเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียว มือข้างหนึ่งใช้สองนิ้วจิ้มไปกลางหว่างคิ้วของหม่าขู่เสวียน มืออีกข้างงอสองนิ้วเคาะลงไปบนหัวใจของหม่าขู่เสวียน

แต่ตัวเฉินผิงอันเองก็โดนสองหมัดของหม่าขู่เสวียนต่อยลงมาบนหัวใจไล่เลี่ยกัน

คนทั้งสองถอยกรูดออกไปข้างหลังในเวลาเดียวกัน เมื่อเท้าของหม่าขู่เสวียนเหยียบออกนอกวง เขากลืนเลือดสดหนึ่งอึก ยิ้มดุดันกล่าวว่า “เฉินผิงอัน ครั้งนี้เจ้าแพ้แล้ว พวกเราคนหนึ่งชนะ คนหนึ่งแพ้!”

เฉินผิงอันไม่เอ่ยคำใด บิดปลายเท้าจ้องหม่าขู่เสวียนเขม็ง ยกหลังมือเช็ดคราบเลือดบนใบหน้าของตัวเองช้าๆ ไม่กล้าปล่อยให้มันบดบังการมองเห็นของตน

และเวลานี้เองก็มีคนผู้หนึ่งเอ่ยกลั้วหัวเราะเบาๆ ดังมาจากบนกำแพง “ดีมาก”

หม่าขู่เสวียนถอนหายใจ หมุนตัวเดินจากไป แต่ยังไม่ลืมหันกลับมาชี้หน้าเฉินผิงอัน “คราวหน้าต้องรู้แพ้รู้ชนะ รู้เป็นรู้ตาย”

ขณะที่หมุนกายเดินจากไป ใบหน้าของเด็กหนุ่มชุดดำที่เดินหน้าอย่างเชื่องช้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด กัดฟันไว้แน่น เขาจะไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองส่งเสียงร้องออกมาเด็ดขาด

เฉินผิงอันยืนอยู่ที่เดิม เงยหน้ามองไปยังร่างของคนที่คุ้นเคย

ผู้ฝึกตนสำนักการทหารของภูเขาเจินอู่ คนที่พาหม่าขู่เสวียนไปจากสุสานเทพเซียน

หลังจากหมัดที่สิบห้าของกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าถูกตัดสะบั้นลงกลางคัน อันที่จริงเฉินผิงอันก็ตระหนักได้ถึงการดำรงอยู่ของคนผู้นั้นแล้ว หรือไม่คนผู้นั้นก็อาจจงใจทำให้เขาสัมผัสได้

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงไม่ได้ใช้กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตทั้งสองเล่ม

คนผู้นั้นใช้เสียงในใจบอกกับเฉินผิงอันว่า ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะต้องตัดสินถึงขั้นเป็นตาย แค่ต่อสู้อย่างเต็มกำลังก็พอ เขารับรองว่าคนทั้งสองจะแบ่งแค่แพ้ชนะเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเฉินผิงอันที่มีโอกาสสังหารหม่าขู่เสวียน หรือหม่าขู่เสวียนที่จะได้ฆ่าเฉินผิงอัน คนผู้นั้นก็จะลงมือขัดขวาง

บุรุษที่ตอนนั้นเป็นตัวแทนของภูเขาเจินอู่เดินทางไปยังถ้ำสวรรค์หลีจูของต้าหลีก้าวออกมาหนึ่งก้าว มาเดินเคียงข้างหม่าขู่เสวียนที่ใบหน้านองไปด้วยน้ำตาของความเจ็บปวด บุรุษหันไปเอ่ยกับเฉินผิงอันว่า “เพื่อแสดงการขอโทษและขอบคุณ ข้าได้ช่วยเจ้าจัดการนักฆ่าคนหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในที่มืดแล้ว หาไม่แล้วหากเส้นเอ็นหัวใจของเจ้าที่เพิ่งคลายลงต้องขึงตึงขึ้นมาอีกครั้งในเวลาสั้นๆ ก็ง่ายที่จะเปิดช่องว่างให้นักฆ่าคนนั้นฉกฉวย”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ

ที่บอกว่าขอบคุณ

ก็เพราะคนผู้นั้นมองออกว่าเท้าที่เหยียบออกนอกวงของเฉินผิงอัน แท้จริงแล้วไม่ได้สัมผัสกับพื้นดิน แต่ลอยค้างอยู่กลางอากาศ เพียงแต่ว่าตอนนั้นหม่าขู่เสวียนเป็นม้าตีนปลายแล้วจึงมองความจริงไม่ออก

ส่วนข้อที่ว่าทำไมเฉินผิงอันต้องระวังถึงเพียงนี้

เพราะเขาไม่เชื่อคำพูดของเทพเซียนสำนักการทหารจากภูเขาเจินอู่ท่านนั้น

อาจารย์ฉีมีแค่คนเดียว และอาเหลียงก็มีแค่คนเดียว

—–

กระบี่จงมา Sword of Coming

กระบี่จงมา Sword of Coming

Status: Ongoing
” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “
เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา
เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม
และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง
ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท