ทางฝั่งของแท่นสูงใจกลางทะเลสาบ เทพเซียนเฒ่าแสดงฝีมืออันเยี่ยมยอดอีกครั้ง จำแลงกระดาษยันต์สีเหลืองสี่แผ่นให้เป็นสาวงามสี่คน ต่างคนต่างมีความงามในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป ท่วงท่าบุคลิกไม่แพ้สตรีชุดสีสันสดใสก่อนหน้านี้เลยแม้แต่น้อย
จากนั้นก็บอกให้ข้ารับใช้ในเรือนที่เตรียมการรอมานานแล้วยกพิณโบราณ โต๊ะตั้งพิณ กระดานและโถใส่เม็ดหมากล้อม รวมไปถึงโต๊ะตัวใหญ่และสี่สมบัติในห้องหนังสือมา
มนุษย์ทั่วไปมีของสำคัญในชีวิตประจำวันอยู่เจ็ดอย่างอันได้แก่ฟืน ข้าว น้ำมัน เกลือ ซีอิ๊ว น้ำส้มสายชูและชา ส่วนปัญญาชนผู้มีชื่อเสียงก็ย่อมต้องมีพิณ หมากล้อม พู่กัน ภาพวาด สิบนิ้วไม่เคยได้แตะต้องงานหยาบ ในชายแขนเสื้อมีแต่สายลมเย็น
เทพเซียนเฒ่าชี้นิ้วไปยังสตรีที่นั่งอย่างสงบเสงี่ยมอยู่หน้าโต๊ะหมากล้อม กุมมือคารวะแล้วเอ่ยเสียงดังกังวานว่า “ในเมืองแยนจือมียอดฝีมือด้านการเล่นหมากล้อมหรือไม่? ขอแค่เอาชนะนางได้ก็เอาโต๊ะและเม็ดหมากล้อมสองโถที่มีมูลค่าเทียบเท่าทองพันชั่งไปได้เลย”
สิ่งของที่อยู่ในจวนแห่งนี้ไม่มีชิ้นใดที่เป็นของราคาถูก
กล้าเอาของออกมาแสดงในจวนของเศรษฐีก็ต้องไม่ใช่ของที่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ศาสตร์และศิลป์ในเมืองแยนจือแคว้นไฉ่อีค่อนข้างจะรุ่งเรือง ยอดฝีมือที่ชื่นชอบประลองหมากล้อมจึงมีไม่น้อย และเพียงไม่นานก็มีผู้เฒ่าสวมชุดสีเขียวคนหนึ่งลุกขึ้นยืน เดินไปทางแท่นสูงใจกลางทะเลสาบ พอผู้เฒ่าเผยตัว คนบางคนที่คิดว่าตัวเองมีความสามารถในการเล่นหมากล้อมสูงพอก็ได้แต่นั่งกลับลงไปโดยดี นี่แสดงให้เห็นว่าผู้เฒ่าชุดเขียวต้องเป็นอันดับหนึ่งในวงการหมากล้อมซึ่งได้รับการยอมรับจากทุกคนอย่างแน่นอน
เทพเซียนเฒ่าและผู้เฒ่าชุดเขียวต่างก็พยักหน้าให้กัน ฝ่ายหลังเดินตรงไปหน้าโต๊ะหมากล้อมแล้วนั่งลง ก่อนจะแข่งขันกัน ทั้งสองฝ่ายต่างก็ต้องมีการเดาก่อน ไม่รู้ว่าผู้เฒ่าอวดดีว่าตัวเองมีฝีมืออยู่ในขั้นเจ็ด หรือคิดว่าคนที่มีระดับขั้นเท่าเทียมกันจะต้องให้ผู้อาวุโสเลือกก่อน เขาถึงได้คว้าหมากสีขาวขึ้นมากำหนึ่งอย่างไม่เกี่ยงงอน สตรีเล่นหมากล้อมที่จำแลงมาจากกระดาษเหลืองยิ้มบางๆ ก้มตัวลงไปคีบหมากสีดำขึ้นมาสองเม็ด ผลคือผู้เฒ่าได้เดินก่อน
เสียงโห่ร้องให้กำลังใจดังสนั่นไปทั้งริมทะเลสาบ
ในฐานะนักเล่นระดับแคว้นที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ของแคว้นไฉ่อี เดิมทีผู้เฒ่าก็เป็นความภาคภูมิใจของคนในเมืองแยนจืออยู่แล้ว พวกคนดูกู่ร้องให้กำลังใจเขาจึงสมเหตุสมผลดีแล้ว คนบ้านเดียวกันย่อมต้องช่วยเหลือกันเอง
จากนั้นเทพเซียนเฒ่าก็ชี้นิ้วไปยังสตรีสองคนที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะเขียนพู่กันโดยชี้ไปทางคนที่นั่งอยู่ทางฝั่งซ้ายมือ “ได้ยินว่าช่วงนี้ท่านเจ้าเมืองมีเรื่องให้กังวลใจ ที่วัดซึ่งเพิ่งสร้างใหม่ยังขาดอักษรกลอนคู่ หลังจากนางเขียนเสร็จแล้ว จะนำไปใช้หรือไม่ ใต้เท้าท่านเจ้าเมืองมีฝีมือด้านการเขียนบทความเป็นที่เลื่องลือไปทั่วราชสำนัก มีสายตาเฉียบคมเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว หลังจากมองดูเนื้อหาคร่าวๆ แล้วก็น่าจะตัดสินใจได้”
ใต้เท้าเจ้าเมืองลูบหนวดยิ้มๆ แม้จะปลาบปลื้มกับคำชมก็ยังรักษากิริยาเอาไว้
จากนั้นเทพเซียนเฒ่าก็มองไปยังแม่ทัพฝ่ายบู๊ที่นั่งอยู่ข้างเจ้าเมืองหลิวในศาลาริมน้ำ กล่าวกลั้วหัวเราะเสียงดัง “แม่ทัพหม่าคือแม่ทัพผู้ห้าวหาญในสมรภูมิรบผู้มีคุณูปการอันโดดเด่น เคยเป็นหนึ่งในเสาหลักพิทักษ์ชายแดนของแคว้นไฉ่อี ผ่านสงครามมานับร้อย แม้ว่าข้าผู้อาวุโสจะเป็นคนต่างถิ่น แต่ก็เคารพเลื่อมใสท่านอย่างถึงที่สุด จึงตั้งใจให้นางแสดงฝีมืออันอัปลักษณ์ (เป็นคำที่แสดงถึงการถ่อมตัว) วาดภาพหิมะพร่างพราวให้แก่ท่าน!”
แม่ทัพฝ่ายบู๊ยกเหล้าขึ้นดื่มรวดเดียวหมดจอก หัวเราะเสียงดังอย่างชอบใจ “หากวาดได้ดี สามารถวาดกลิ่นอายของความกว้างใหญ่ไพศาลในสนามรบออกมาได้ วันที่ท่านเทพเซียนเฒ่าออกจากเมือง ข้าผู้แซ่หม่าจะไปส่งท่านเดินทางด้วยตัวเองเป็นระยะทางสามสิบลี้!”
เทพเซียนผู้เฒ่ากุมหมัดขอบคุณแม่ทัพฝ่ายบู๊ สุดท้ายเดินไปหยุดอยู่หน้าโต๊ะพิณ ธูปก้านหนึ่งกลิ้งออกมาจากชายแขนเสื้อ ปักอยู่ในกระถางธูปสีทองเหลืองที่ว่างเปล่า เขาจุดไฟด้วยตัวเอง ควันธูปสีม่วงลอยอวลขึ้นมากลางอากาศ
จากนั้นก็หันไปผงกศีรษะให้กับสตรีที่ดีดพิณ ฝ่ายหลังคลี่ยิ้มหวานหยดย้อย ก่อนจะก้มหน้าเริ่มสร้างอารมณ์ให้กับตัวเอง
เมื่อเสียงพิณที่สั่นคลอนจิตใจคนดังขึ้น หัวใจของคนหลายร้อยที่ได้ยินก็ผ่อนคลายตามไปด้วย
ในยุคบรรพกาลอันห่างไกล อริยะสร้างพิณขึ้นมาเพื่อปรับเสียงแห่งใต้หล้า เป็นที่มาของคำกล่าวที่ว่าเสียงพิณสามารถระงับความลามกอนาจาร ปรับจิตใจคนให้เที่ยงตรง
ในระเบียงทางเดินที่ทอดยาว ชายฉกรรจ์เคราดกนั่งแทะเมล็ดแตง จุ๊ปากพูดชม “ลูกเล่นเยอะจริงๆ เพียงแต่ว่าอืดอาดชักช้าไปหน่อยเลยไม่ค่อยน่าสนใจนัก”
เขาไม่มีความรู้ด้านพิณ หมากล้อม พู่กันหรือภาพวาด จึงไม่รู้สึกสนใจ เต็มใจที่จะดูรำกระบี่มากกว่า เอวบางๆ ที่บิดยักย้ายและสะโพกที่ผลุบๆ โผล่ๆ ของคนงามสวมชุดสีสันสดใสกับพวกดรุณีน้อยชุดขาวต่างหากถึงจะเป็นทัศนียภาพอันสวยงามที่เขาอยากชม
บัณฑิตหลิวเกาหวาเป็นพวกที่หลงใหลในหมากล้อม จ้องมองไปที่การประลองฝีมือระหว่างผู้เฒ่าชุดเขียวกับสตรีผู้นั้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น เจ็บใจก็แต่ตนเป็นลูกหลานขุนนางที่นิสัยไม่เอาไหน เลยไม่มีโอกาสได้ขึ้นไปดูบนแท่นสูงให้เห็นกับตาตัวเอง
นักพรตจางซานเฟิงร้อนใจจริงๆ แล้ว เขาคอยหันซ้ายแลขวาก็ไม่เห็นว่าเฉินผิงอันจะปรากฎตัวเสียที คงไม่ได้ตกส้วมไปแล้วจริงๆ หรอกกระมัง เขาจึงไม่สนว่าใครจะมองมาอย่างไม่พอใจ หลังจากบอกให้คนทั้งสองรู้แล้วก็ลุกขึ้นเบียดฝูงชนไปตามหาเฉินผิงอัน
เทพเซียนเฒ่ายืนเอามือไพล่หลัง รอยยิ้มไม่ยินดียินร้ายในลาภยศสักการะ ท่าทางลึกลับเกินจะหยั่ง เขาเก็บภาพเหตุการณ์ทั้งหมดที่ริมทะเลสาบไว้ในสายตา รู้ดีว่าแผนการครั้งนี้ของตนสำเร็จไปเกินครึ่งแล้ว
……
บนถนนเส้นเล็ก หม่าขู่เสวียนหยิบขวดกระเบื้องใบหนึ่งออกมาเทยาเม็ดสีเงินสองเม็ด หลังจากโยนเข้าปากแล้วก็กล่าวอย่างจนใจว่า “อาจารย์ ท่านนี่เหมือนวิญญาณร้ายที่ตามติดจริงๆ”
ดูท่าการฝึกประสบการณ์ในยุทธภพครั้งนี้ อาจารย์คงแอบจับตามองเขาอย่างลับๆ อยู่ตลอดเวลา นี่ทำให้หม่าขู่เสวียนเอือมระอาอย่างยิ่ง เขาพอจะรู้นิสัยของบุรุษที่อยู่ข้างกายคร่าวๆ แล้วว่าเป็นเหมือนก้อนหินในห้องส้วม ทั้งเหม็นทั้งแข็งทื่อ เรื่องไหนที่เขาตัดสินใจแล้วก็จะต้องเดินไปให้สุดปลายทาง หม่าขู่เสวียนไม่ได้ร้อนตัวเหมือนวัวสันหลังหวะ บุรพาจารย์ท่านหนึ่งของภูเขาเจินอู่ที่ถ่ายทอดเวทลับสำนักการทหาร และมอบสมบัติอาคมล้ำค่าชิ้นหนึ่งให้กับเขาได้เคยอธิบายให้หม่าขู่เสวียนฟังถึงกฎเกณฑ์ของสำนัก นอกจากคำสั่งของเจ้าขุนเขาภูเขาเจินอู่แล้ว ข้ออื่นๆ ล้วนไม่ใช่กฎเกณฑ์ที่แท้จริง แต่เจ้าขุนเขาภูเขาเจินอู่ปิดด่านมาร้อยปีแล้ว กฎเกณฑ์ทั้งหลายจึงยิ่งหละหลวมและผ่อนคลายมากขึ้น
บุรุษไม่เอ่ยคำใด
การลงเขาในครั้งนี้หน้าที่ของเขาก็คือคุ้มกันให้หม่าขู่เสวียนไปหาเรื่องแม่ทัพใหญ่กองทหารม้าเหล็กไห่เฉา ซึ่งมีส่วนเกี่ยวพันไปถึงการตายของย่าหม่าขู่เสวียน และราชวงศ์ของกองทัพม้าเหล็กไห่เฉาก็เพิ่งจะทำสงครามใหญ่กับศัตรูคู่อาฆาตไป ทั้งสองฝ่ายต่างก็ต่อสู้กันจนฟ้าถล่มดินทลาย ฝ่ายหนึ่งถึงขั้นเอาทวยเทพร่างทองสูงร้อยจั้งมาใช้ อีกฝั่งหนึ่งก็ใช้วัวดินพิทักษ์แคว้นหนึ่งตัว เดิมทีนี่คือวัวเหล็กที่เซียนในยุคบรรพกาลใช้เฝ้าริมน้ำเวลาที่มีการขนส่งทางน้ำ สงครามครั้งนี้กองทัพม้าเหล็กไห่เฉาเสียหายอย่างสาหัส หม่าขู่เสวียนแอบแฝงตัวเข้าไปข้างใน เพียงค่ำคืนเดียวก็สังหารแม่ทัพฝ่ายบู๊ระดับกลางไปได้สามคน แล้วสะบัดมือจากมาอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด
หลังจากนั้นหม่าขู่เสวียนก็บอกว่าจะท่องอยู่ในยุทธภพ ใช้ยุทธภพมาเป็นหินลับร่างกายและจิตวิญญาณของตัวเอง บุรุษไม่ได้ห้ามปราม แต่ก็ยังแอบติดตามเขามาอย่างลับๆ เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้น
หม่าขู่เสวียนยื่นมือมาเช็ดคราบน้ำตา พ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาหนักๆ สอดสองมือไว้ที่ท้ายทอย ถามว่า “ถ้าหาก ข้าพูดว่าถ้าหากนะ เฉินผิงอันมีโอกาสสังหารข้า อาจารย์จะลงมือสังหารเขาหรือไม่?”
ในที่สุดบุรุษก็ยอมเปิดปากพูด “ข้าไม่กล้าฆ่าเขา แล้วก็ไม่อยากฆ่าเขาด้วย”
ไม่กล้า ก็เพราะว่าเคยมีคนคนหนึ่งไปที่วังหลวงต้าหลี ทำให้กระบี่บินของหอป๋ายอวี้เสียหายอย่างหนัก และก็เห็นได้ชัดว่าคนคนนั้นมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับเฉินผิงอัน หากเพียงเท่านี้ เมื่อกาลเวลาล่วงเลยผ่านก็จะต้องมีคนคิดอยากจะลงมืออีกครั้ง แต่คิดไม่ถึงว่าผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนที่เพิ่งบินขึ้นไปบนฟ้ากลับย้อนคืนมายังโลกมนุษย์อีกครั้งเร็วขนาดนี้ แม้จะบอกว่าโดนลูกศิษย์คนรองของมรรคาจารย์เต๋าที่ ‘ไร้เทียมทานอย่างแท้จริง’ คนนั้นต่อยให้ร่วงกลับลงมายังใต้หล้าไพศาล แต่หากจะพูดให้ไม่น่าฟังสักหน่อย ใต้หล้านี้จะมีสักกี่คนที่มีคุณสมบัติรับหมัดเต็มแรงจากยอดฝีมืออันดับสองของลัทธิเต๋าได้?
ไม่อยาก เพราะว่าความประทับใจที่บุรุษมีต่อเฉินผิงอันนั้นไม่เลว หากไม่เป็นเพราะมีกฎของสำนักบังคับอยู่ เขารู้สึกว่าแท้จริงแล้วเด็กหนุ่มจากตรอกหนีผิงที่บรรลุสัจธรรมแห่งหมัดได้อย่างรวดเร็วเหมาะจะเป็นลูกศิษย์ของเขามากกว่า
การที่เขารับหม่าขู่เสวียนเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดก็เพราะได้รับคำสั่งที่เข้มงวดจากเจ้าสำนักซึ่งกำลังอยู่ในช่วงที่สำคัญที่สุดของการปิดด่าน เจ้าสำนักกล่าวไว้ว่าทุกคนของภูเขาเจินอู่ต้องปฏิบัติต่อหม่าขู่เสวียนอย่างระมัดระวัง ห้ามให้เกิดข้อผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว ไม่อย่างนั้นเขาออกจากด่านมาเมื่อไหร่ก็คือช่วงเวลาของการถามหาความรับผิดชอบ ดังนั้นภูเขาเจินอู่ถึงได้ส่งเขาไปที่ถ้ำสวรรค์หลีจู ระหว่างที่แย่งชิงตัวหม่าขู่เสวียนกับกุมารทองและกุมารีหยกของสำนักโองการเทพ บุรุษไม่ยอมถอยให้แม้แต่ครึ่งก้าว ถึงขั้นบีบบังคับข่มขู่คนอื่น แสดงให้เห็นถึงความเหี้ยมอำมหิต
แต่ว่าการที่บุรุษถูกมองเป็นอาจารย์ในนามของหม่าขู่เสวียนก็ไม่ถือว่าถูกต้องนัก ลัทธิพุทธมีอาจารย์ผู้เทศนาพระคัมภีร์ มีพระสงฆ์ผู้บำเพ็ญทุกรกิริยา มีพระสงฆ์ผู้ถ่ายทอดพระธรรมคำสอน มีพระผู้ปกปักรักษาพุทธศาสนา เป็นต้น ตัวตนที่แท้จริงของเขาก็คือผู้ปกป้องมรรคาเต๋า เป็นคนที่คอยดูแลพิทักษ์หม่าขู่เสวียนลูกศิษย์ของภูเขาเจินอู่ยามที่เขาเดินไปบนมหามรรคา ส่วนข้อที่ว่าเส้นทางของหม่าขู่เสวียนจะสอดคล้องกับเขาหรือไม่ ไม่สำคัญ
จู่ๆ บุรุษก็เอ่ยว่า “เจ้าสามารถฆ่าเฉินผิงอันได้ ทว่าปัจจัยแรกคือเจ้าต้องมีความสามารถนั้นเสียก่อน”
นี่ไม่ใช่ว่าบุรุษตั้งใจพูดจายั่วยุ แต่เป็นการอธิบายถึงเรื่องจริงอย่างหนึ่ง
หม่าขู่เสวียนหลุดหัวเราะพรืด “มีความสามารถนั้น? ทำไมข้าถึงจะไม่มีความสามารถนั้น! ด้านในวัตถุจื่อชื่อของข้ามีสมบัติอาคมอยู่มากน้อยเท่าไหร่ คนอื่นไม่รู้ แต่อาจารย์ท่านจะไม่รู้งั้นหรือ?”
บุรุษกล่าวยิ้มๆ “เจ้ามี แล้วคนอื่นจะไม่มี?”
หม่าขู่เสวียนยิ้มกว้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยแววเย้ยหยัน “ต่อให้เขาเองก็มี แต่จะเทียบกับข้าได้หรือไง? ไม่ต้องพูดถึงคราบเซียนร่างทองที่บุรพาจารย์ภูเขาเจินอู่สืบทอดต่อกันมา เอาแค่จิตวิญญาณวีรบุรุษสองตนที่เฝ้าพิทักษ์อยู่ในร่างข้าก็คือผู้ฝึกกระบี่ที่มีพลังการทำลายล้างยิ่งใหญ่ที่สุด ขอแค่ไม่ใช่ห้าขอบเขตกลาง ต่อให้กระบี่บินของเขาจะพุ่งแทงข้าเป็นร้อยเป็นพันครั้ง แต่จะสามารถทำร้ายข้าได้จริงๆ หรือไร?”
บุรุษเอ่ยถาม “แล้วทำไมเจ้าถึงไม่ใช้ ดึงดันจะต่อสู้กับเขาจนตัวเองสภาพอเนจอนาถขนาดนี้?”
“การต่อสู้ครั้งนี้น่าสนใจกว่าการต่อยตีกันเล็กๆ น้อยๆ บนเขาเจินอู่มากนัก ข้าหรือจะตัดใจใช้สมบัติอาคมให้เจ้าหมอนั่นแพ้แล้วตายตาไม่หลับ นี่ไม่สอดคล้องกับนิสัยของข้า แล้วข้าเองก็ไม่เต็มใจจะรังแกเฉินผิงอันด้วยวิธีนี้ ดังนั้นข้าจะต้องใช้จุดที่แข็งแกร่งที่สุดของตัวเองเอาชนะให้เขายอมหมอบราบคาบแก้ว เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวไม่ใช่หรือ มีข้อได้เปรียบด้านร่างกายมาตั้งแต่เกิดไม่ใช่หรือ ข้ามีแค่เนื้อหนังมังสาที่หล่อหลอมจากวิชาของสำนักการทหารซึ่งนำมาใช้ปะทะกับเขาตรงๆ อาจารย์ ท่านคิดจริงๆ หรือว่าที่ข้าจำกัดพื้นที่ในการต่อสู้เพราะไม่รู้ความประหลาดของหมัดนั้นเฉินผิงอัน?”
หม่าขู่เสวียนเอ่ยยิ้มๆ “ข้ารู้ ไม่อย่างนั้นครั้งแรกก็คงไม่จงใจเดินวนรอบตัวเฉินผิงอัน หลบเลี่ยงประกายคมกริบของเขา แต่พอมาย้อนนึกดู ขนาดผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสาม ข้าก็ยังต้องอ้อมผ่าน วันหน้าเมื่อเจอกับปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตหก ขอบเขตเก้าขั้นสูงสุด หรือเจอกับปรมาจารย์ขอบเขตปลายทางอย่างพวซ่งจ่างจิ้ง ต่อให้ข้ามีข้อได้เปรียบด้านขอบเขต แต่ก็ต้องอ้อมผ่านอีกใช่ไหม?”
บุรุษถาม “ถ้าอย่างนั้นคำตอบของเจ้าคืออะไร?”
หม่าขู่เสวียนหันหน้ากลับไปมอง อาจารย์และศิษย์สองคนเดินห่างมาไกลมากจนใกล้จะถึงประตูเมืองแล้ว มองไม่เห็นเงาร่างของเด็กหนุ่มที่สะพายกล่องไม้นานแล้ว หม่าขู่เสวียนดึงสายตากลับมา สายตาของเขาฉายแววเด็ดเดี่ยว “วันหน้าหากปะทะกับคนอื่นสามารถดูที่สถานการณ์แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะอ้อมผ่านฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขาหรือไม่ ขอแค่ท้ายที่สุดข้าคือผู้ชนะก็พอแล้ว แต่กับเจ้าหมอนั่น ไม่ได้! ข้าจะต้องใช้เรือนกายของผู้ฝึกลมปราณขอบเขตห้าสู้กับเรือนกายผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสามของเขาให้สาแก่ใจ!”
บุรุษไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ
หม่าขู่เสวียนขมวดคิ้ว “ทำไมร่างกายและจิตใจขอบเขตสามของเฉินผิงอันถึงได้แข็งแกร่งขนาดนี้? แม้ว่าด้านการหล่อหลอมเรือนกายและจิตวิญญาณของข้าจะทำได้ไม่ดีนัก เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการชักนำวิญญาณวีรบุรุษของภูเขาเจินอู่ แต่คำว่าไม่ดีมากพอของข้าเป็นแค่การเปรียบเทียบกับตัวข้าเองเท่านั้น ทำไมเฉินผิงอันถึงมีเรือนกายและจิตใจที่แข็งแกร่งอย่างไร้เหตุผลแบบนี้ได้?”
บุรุษส่ายหน้า “ต่างคนต่างมีวาสนาเป็นของตัวเอง เรื่องดีๆ ใต้หล้านี้ไม่มีทางที่จะเป็นของเจ้าหม่าขู่เสวียนเพียงคนเดียว”
หม่าขู่เสวียนหลุดหัวเราะพรืด “ขอแค่เป็นจุดที่สายตาของข้ามองไปถึง ไม่ว่าจะเรื่องดีๆ หรือของดีๆ ก็ควรต้องเป็นของข้าหม่าขู่เสวียนเพียงคนเดียว!”
บุรุษคลี่ยิ้มเป็นคำตอบ
เหตุผลหลายอย่างที่ไม่ได้เอ่ยถึง ไม่ใช่ว่าหม่าขู่เสวียนทำถูกแล้ว คำชื่นชมมากมายที่ไม่ได้พูด ก็ไม่ได้หมายความว่าหม่าขู่เสียนทำได้ไม่ดีพอ
ผู้ปกป้องมรรคาเต๋าแค่ต้องปกป้องมหามรรคาใต้ฝ่าเท้าของบุคคลที่ตัวเองพิทักษ์คุ้มครอง ให้เขาเดินไปได้สูงยิ่งขึ้น เดินไปได้ไกลยิ่งขึ้น ไม่มีทางที่จะตายไปกลางคันก่อนวัยอันควร
และหม่าขู่เสวียนก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไปได้สูงมากและไกลมาก
ส่วนเรื่องที่ว่าจะเดินไปได้ถึงก้าวไหน จะสามารถยืนเคียงบ่ากับบุคคลใดในประวัติศาสตร์ อันที่จริงก็เป็นเรื่องที่บุคคลยิ่งใหญ่จำนวนมากของแจกันสมบัติทวีปซึ่งซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังตั้งตารอคอยอยู่เหมือนกัน
เดินไปเดินมา เด็กหนุ่มชุดดำก็ใช้มือหนึ่งกุมท้อง มือหนึ่งจับประคองซีกหน้า สบถด่าเสียงดัง “แม่งเอ๊ย เจ็บจริงๆ!”
———————