กระบี่จงมา Sword of Coming – บทที่ 222.3 การจากลาบางครั้งก็สามารถกลับมาพบกันได้ใหม่

บทที่ 222.3 การจากลาบางครั้งก็สามารถกลับมาพบกันได้ใหม่

ผู้เฒ่าสวมหมวกขนเตียวโบกมือ “ไปเถอะๆ ข้าไม่ใช่หนุ่มน้อยหล่อเหลาอะไร เจ้าเป็นสาวเป็นนาง มายืนดูพระอาทิตย์ตกกับตาแก่คนหนึ่ง เจ้าไม่รู้สึกกระอักกระอ่วน แต่ข้ากลับครั่นเนื้อครั่นตัว”

เด็กสาวเดินจากไปเงียบๆ พอกลับมาถึงเรือนของตัวเองก็กลั้นหายใจทำสมาธิ รอการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมาถึง

ผู้ฝึกตนวัยชราจากกุรุทวีปที่มีฉายาว่าเจี้ยนเวิ่งจุ๊ปากเดาะลิ้น ถอดหมวกขนเตียวลง ตบลงไปบนหมวกหนักๆ สองครั้ง แล้วโยนมันออกไปนอกเรือคุน ปล่อยให้มันปลิวไปกับสายลม “ไปเถอะ เจ้าเพื่อนยาก”

ผู้เฒ่าหันกลับไปมองทางทิศเหนือ ตอนที่ยังเป็นเด็กหนุ่ม เขาเคยเป็นเมล็ดพันธ์บัณฑิตที่มีคุณสมบัติว่าจะได้เป็นวิญญูชนของกุรุทวีป แต่เพราะนิสัยเลวร้ายเกินไป หยิ่งยโสโอหังด้วยถือดีว่ามีความรู้ความสามารถ ตั้งแต่เช้ายันเย็น ตั้งแต่ต้นปียันท้ายปีก็เอาแต่ด่าทอ ด่าว่าขุนนางในราชสำนักว่าเข้าครองตำแหน่งเป็นหมาหวงก้างโดยไม่ยอมทำงาน ด่าขุนพลฝ่ายบู๊ว่าดีแต่กินข้าวร่ำสุราแต่ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ด่าฮ่องเต้ว่าเป็นกษัตริย์โง่เขลา ด่าไปด่ามาก็ด่ามาถึงตัวเองที่เป็นบัณฑิตไร้ประโยชน์

ภายหลังเมื่อไม่มีทั้งบ้านและแคว้น ผู้เฒ่าก็ด่าไม่ออกอีก

ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อที่ไม่มีหมวกขนเตียวแล้วเดินกลับไปยังลานบ้านขนาดเล็ก ตลอดทางที่เจอกับพวกคนงานหรือผู้คุมของภูเขาต่าเจี้ยว ทุกคนต่างก็ปฏิบัติต่อเขาด้วยความนอบน้อม ในใจผู้เฒ่ารู้สึกละอายเล็กน้อย แต่รอยยิ้มบนใบหน้ายังคงเป็นปกติ เอ่ยทักทายพวกเขา พูดคุยหยอกล้อ ทำให้ผู้คนรู้สึกใกล้ชิดสนิทใจมากขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว เทียบกับคุณชายหูลวี่ที่ไม่ชอบพูดไม่ชอบยิ้ม หรือชิงกู่ฮูหยินที่มีนิสัยเหี้ยมอำมหิตแล้ว ผู้เฒ่าเจี้ยนเวิ่งคนนี้ ‘น่ารัก’ กว่าเป็นไหนๆ

ท่ามกลางแสงสายัณห์ ผู้เฒ่าเดินกลับห้องของตัวเอง หยิบตำราเล่มหนึ่งของลัทธิขงจื๊อมานั่งอยู่ในลานบ้าน ไม่ได้เปิดหน้าหนังสือออกอ่าน เพียงแค่หลับตาลงแล้วเริ่มงีบหลับ

อาณาเขตของแจกันสมบัติทวีปที่อยู่ด้านล่างเรือคุนคือพื้นที่ของราชวงศ์จูอิ๋ง เป็นราชวงศ์ที่แข็งแกร่งซึ่งมีผู้ฝึกกระบี่มากที่สุดในแจกันสมบัติทวีป เล่าลือกันว่าปีนั้นที่เว่ยจิ้นเซียนกระบี่พสุธาแห่งศาลลมหิมะออกเดินทางในยุทธภพเป็นครั้งแรก เคยได้มาอยู่ในราชวงศ์จูอิ๋งเป็นเวลานานมาก เขาเปิดฉากสังหารอยู่หลายครั้ง คู่ต่อสู้ของเขาล้วนเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่ประสบความสำเร็จของราชวงศ์จูอิ๋ง

ราชวงศ์จูอิ๋งคือกองกำลังที่เจริญรุ่งโรจน์ทางภาคใต้ตอนกลางของแจกันสมบัติทวีปที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ รัฐเล็กๆ ใต้อาณัติมีมากถึงสิบกว่าแห่ง ลำพังเพียงแค่ที่ดินของแคว้นก็เป็นรองแค่ต้าหลีที่ฮุบรวมสกุลหลูทางทิศเหนือเท่านั้น และในบรรดาลูกหลานมังกรของอดีตฮ่องเต้แคว้นจูอิ๋ง ลำพังเพียงแค่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเก้าที่ตัดสินใจสละบัลลังก์ตั้งแต่แรกอย่างเด็ดขาดก็มีถึงสองคน ในกลุ่มสี่ผู้ถวายงานของเชื้อพระวงศ์ ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบคนหนึ่งเคยประมือกับหลี่ถวนจิ่งแห่งสวนลมหิมะซึ่งมีชื่อเสียงว่าเป็นบุคคลอันดับหนึ่งเบื้องล่างห้าขอบเขตบนของแจกันสมบัติทวีปมาถึงสามครั้ง แม้ว่าจะแพ้ทั้งสามครั้ง แต่ก็เพราะขีดจำกัดด้านความต่าง ไม่อย่างนั้นหลี่ถวนจิ่งก็ไม่มีทางตอบรับการท้ารบสองครั้งสุดท้าย

ก่อนหน้านี้สองราชวงศ์ใหญ่ที่อยู่ทางเหนือของสำนักศึกษากวานหูทำสงครามกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ทั้งสองฝ่ายต่างก็บาดเจ็บสาหัส สูญเสียพลังต้นกำเนิดไปอย่างมหาศาล ราชวงศ์จูอิ๋งที่อยู่ทางทิศใต้ห่างมาไม่ไกลนักทำเพียงนั่งดูไฟชายฝั่ง คนทั่วทั้งราชสำนักต่างก็รู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น

แจกันสมบัติทวีปมีแคว้นมากมายเหมือนต้นไม้ในผืนป่า ทว่า ‘ราชวงศ์’ ที่สมกับชื่ออย่างแท้จริงก็มีจำนวนแค่สองมือนับเท่านั้น

ราชวงศ์สกุลหลูทางทิศเหนือเป็นดั่งกลุ่มควันที่ลอยผ่านสายตาไปแล้ว ว่ากันว่าเหล่าเชื้อพระวงศ์ที่แขวนคอตายก็แขวนคอตาย ที่กระโดดบ่อน้ำก็กระโดดบ่อน้ำ คนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็กลายไปเป็นนักโทษลี้ภัย ถูกบีบให้ไปบุกเบิกภูเขาขุดดินให้กับสกุลซ่งต้าหลี สกุลเกาต้าสุยเป็นดั่งฝ่ามือข้างเดียวที่ตบไม่ดัง ขยับลงใต้ไปอีกก็คือสองราชวงศ์คู่แค้นที่ทำสงครามกันอย่างดุเดือด แม้แต่สมบัติน้อยนิดที่บรรพบุรุษเหลือไว้ให้ก็เอาไปทุ่มในสงครามจนหมด สู้กันจนพินาศวอดวายทั้งสองฝ่าย ศพกลาดเกลื่อนเต็มพื้น เลือดไหลนองไปพันลี้ สถานที่ที่สองราชวงศ์เลือกเป็นสนามตัดสินชะตากรรมถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องกลายเป็นซากปรักหักพังของสมรภูมิรบแห่งหนึ่งที่ถูกบันทึกไว้ในตำราประวัติศาสตร์

ทางทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีปซึ่งอยู่เหนือแคว้นหนันเจี้ยนและสำนักศึกษากวานหูขึ้นมาเข่นฆ่ากันอย่างดุเดือดเลือดพล่าน

ทางทิศใต้กลับยังคงสงบสุข ผู้คนระบำรำฟ้อนเฉลิมฉลอง

ทว่ายามพลบค่ำของวันนี้ บนยอดเขาไม่ทราบชื่อในขอบเขตของราชวงศ์จูอิ๋งพลันมีปราณกระบี่นับพันนับหมื่นเส้นผุดพวยพุ่ง ส่องให้รัศมีหลายสิบลี้โดยรอบสว่างไสวราวกับยามกลางวัน ปราณกระบี่พุ่งเข้าไปยังชั้นเมฆเหมือนม่านน้ำตกที่ทวนกระแสพุ่งจากเบื้องล่างขึ้นสู่งเบื้องบน ระบายปราณอันเดือดพล่านเข้าใส่เรือคุนที่ลอยลำอยู่กลางอากาศพอดี

เพียงเสี้ยววินาที เรือคุณขนาดมโหฬารที่เดินทางข้ามผ่านทวีปก็ทะลุเป็นหลุมเป็นรูนับร้อยนับพัน คนหลายร้อยคนตายอนาถคาที่ ปลาคุนที่ถูกโจมตีบาดเจ็บสาหัสร้องโหยหวนดิ้นสะบัดอย่างรุนแรง เดิมทีเมื่อถูกปราณกระบี่โจมตี ค่ายกลที่ใช้ยึดสิ่งปลูกสร้างมากมายให้ตั้งอยู่บนบนสันหลังของเรือคุนอย่างมั่นคงก็พังทลายไม่เหลือชิ้นดีอยู่แล้ว พอปลาคุนสะบัดตัวแบบนี้ก็ยิ่งเป็นการเพิ่มเกล็ดน้ำค้างลงบนหิมะ บวกกับที่บนท้องฟ้ามีพายุลมกรดพัดกระโชกแรง คนอีกหลายร้อยคนจึงพัดวูบตกจากสันหลังปลาคุน ร่างกระแทกพื้นดินตายอยู่ในอาณาเขตของราชวงศ์จูอิ๋ง

เรือคุนถูกทำลายคือสถานการณ์ที่ถูกกำหนดมาไว้แน่นอนแล้ว ผู้ฝึกลมปราณของภูเขาต่าเจี้ยวซึ่งรวมไปถึงเจ้าของเรือต่างก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่มองปลาคุนที่ดิ้นรนก่อนตายดิ่งวูบลงไปบนพื้นอย่างต่อเนื่อง

ระหว่างนั้นมีนักพรตใหญ่ที่ตระหนกลนลานทะยานตัวขึ้นกลางอากาศเป็นระยะ พวกชิงกู่ฮูหยินก็คือคนกลุ่มหนึ่งในนั้น

ชิงกู่ฮูหยินที่ร่างผอมแห้งสูงโปร่งสีหน้าเขียวคล้ำ พอดวงตาที่แคบยาวหรี่ลงก็ยิ่งฉายประกายคมกริบ มือหนึ่งของนางอุ้มลูกชาย อีกมือหนึ่งคว้าคอของสามี จ้องเขม็งไปยังเรือคุนที่ดิ่งวูบลงด้านล่างอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ย้ายสายตาไปมองต้นกำเนิดของปราณกระบี่เหล่านั้น ราวกับว่าต้องการตามหาตัวการร้ายที่อยู่เบื้องหลังเรื่องครั้งนี้

มีนักพรตที่มองไกลๆ ร่างเล็กเหมือนเมล็ดข้าวสารทะยานตัวขึ้นกลางอากาศไม่ขาดสาย พยายามหนีห่างจากเรือคุนให้ได้โดยเร็วที่สุด

ทว่าพวกผู้ฝึกลมปราณที่ไม่อาจบินกลางอากาศกลับถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องปล่อยชะตาชีวิตให้เป็นไปตามลิขิตของสวรรค์ อีกอย่างหากร่างของปลาคุนกระแทกลงพื้นดิน ทุกคนต้องตายกันหมดอย่างแน่นอน ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะรอดหายนะครั้งนี้มาได้เลย

แต่เวลานี้เองกลับมีแสงสีทองที่ยาวมากเส้นหนึ่งวาดเส้นโค้งมาจากทางทิศเหนือ

แสงทองมาหยุดอยู่ใต้เรือคุน

นั่นคือหลวงจีนวัยกลางคนที่ใบหน้าแข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยว เห็นเพียงว่าเขาใช้สองมือยันปลาคุนเอาไว้ คำรามกร้าวอย่างเดือดดาล หัวเข่าสองข้างงอเล็กน้อย ใต้ฝ่าเท้ามีดอกบัวสีทองขนาดใหญ่ผุดลอยขึ้นมา

ทว่าการร่วงดิ่งของเรือคุนรุนแรงถึงเพียงนั้น นี่จึงไม่ต่างจากขุนเขาที่กดทับลงมาบนศีรษะของเขา

หลวงจีนถูกกดทับจนร่างลดต่ำลงมาอย่างต่อเนื่อง ดอกบัวใต้ฝ่าเท้าพากันปริแตก แม้ว่าการปรากฎตัวของเขาจะช่วยชะลอความเร็วในการร่วงลงของเรือคุนไว้ได้ แต่ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ เกรงว่าหลวงจีนเองก็คงต้องถูกศีรษะของปลาคุนพากระแทกลงไปใต้ดินหลายสิบจั้ง

เลือดสดๆ ไหลออกจากทวารทั้งเจ็ดของหลวงจีนวัยกลางคน ทว่าเลือดของเขาไม่ใช่สีแดง แต่เป็นสีเหลืองทอง

เขามีร่างอรหันต์ทองคำของศาสนาพุทธ!

หลวงจีนไม่มีความคิดที่จะล้มเลิก หลังจากตวาดกร้าวเสียงดังก็หมุนตัวกลับฉับพลัน โก่งหลังงอขึ้นเหมือนคนที่แบกของไว้บนหลังแล้วห้อตะบึงไปเบื้องหน้า มือสองข้างที่ว่างอยู่เริ่มสร้างตราผนึกขึ้นตรงหน้าอกของตัวเอง

ผู้บำเพ็ญตบะของศาสนาพุทธท่านนี้ตั้งปลายแขนข้างขวาขึ้น นิ้วกางขึ้นด้านบนเหมือนเทือกเขาหลายลูก ฝ่ามือหันออกไปด้านนอก

นี่ก็คือตราประทับไร้ยำเกรงของลัทธิพุทธ

เลือดสดสีทองของหลวงจีนวัยกลางคนหลั่งออกมาไม่ขาดสาย ทว่าสีหน้าของเขากลับยังนิ่งสงบ เขาไม่สนใจและเหมือนไม่รู้สึกรู้สากับความเจ็บปวดมหาศาลที่ร่างกายตัวเองได้รับ และตบะที่สั่งสมมาอย่างยากลำบากซึ่งไหลหายไปพรวดพราดแม้แต่น้อย

เมื่อเท้าทั้งสองข้างของหลวงจีนวัยกลางคนสัมผัสโดนพื้น การร่วงดิ่งลงของเรือคุนก็อยู่ในสภาวะที่มั่นคงแล้ว ทว่าสุดท้ายร่างของหลวงจีนก็ยังถูกกดทับให้จมลงไปใต้ดิน เมื่อเรือคุนจอดลงเสียงดังครืนครั่นก็มองไม่เห็นร่างของหลวงจีนแล้ว ผ่านไปพักใหญ่ ผิวดินเริ่มขยับคลายตัว หลวงจีนที่ร่างเต็มไปด้วยฝุ่นผงและเลือดสีทองแหวกหน้าดินขึ้นมา เดินออกจากใต้ท้องปลาคุน สีหน้าของหลวงจีนเต็มไปด้วยความเวทนาสงสาร เขาหมุนตัวกลับ ยกสิบนิ้วขึ้นพนม ก้มหน้าเอ่ยเบาๆ ว่าอามิตตาพุทธ

ท่ามกลางม่านราตรี หลวงจีนเดินอยู่บนสันหลังของปลาคุนที่ตายไปแล้ว สิ่งปลูกสร้างล้มระเนระนาด เศษอิฐเศษกระเบื้องแตกกระจาย ทุกที่มีแต่คนตายและคนบาดเจ็บพิการ

หลวงจีนเดินผ่านคนที่ยังรอดชีวิตพยายามให้การดูแลเท่าที่จะทำได้ สุดท้ายเขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเด็กสาวคนหนึ่งที่ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบเลือด หลวงจีนถอนหายใจเบาๆ หนึ่งครั้ง เห็นว่านางไม่เป็นอะไรมากจึงยกมือขึ้นพนมแล้วเดินจากไปเงียบๆ

สองตาของเด็กสาวไร้ประกายชีวิตชีวา อ้อมแขนของนางโอบกอดเด็กสาวที่อายุเท่ากันไว้คนหนึ่ง ใบหน้าของศพนั้นมองเห็นไม่ชัดเจนอีกแล้ว ทว่าตรงเอวของนางมีถุงหอมปักลายงดงามห้อยกระรุ่งกระริ่ง

เด็กสาวที่ยังมีชีวิตอยู่ตบไหล่ของศพนั้นเบาๆ พูดย้ำซ้ำๆ ว่า “ไม่ต้องกลัวนะ ไม่ต้องกลัว”

……

แคว้นไฉ่อี เมืองแยนจือ

ดวงอาทิตย์เจิดจ้าลอยตัวขึ้นสูง ถนนน้อยใหญ่ในเมืองเต็มไปด้วยผู้คนที่เบียดเสียดยัดเยียด บนถนนทางหลวงนอกเมืองมีพ่อค้าและนักเดินทางเดินสวนกันขวักไขว่

เทพเซียนเฒ่าเข้าพักที่เรือนขนาดใหญ่หลังหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากจวนเจ้าเมืองไม่ไกล เจ้าของบ้านที่เป็นเศรษฐีในท้องถิ่นแจกจ่ายเทียบเชิญ เชื้อเชิญคนตระกูลผู้สูงศักดิ์น้อยใหญ่ในเมืองมาเป็นแขกที่บ้านเขา ด้วยเรื่องในครั้งนี้เขายังตั้งใจสร้างหอสูงขึ้นมาใจกลางทะเลสาบ ไม่รอให้ฟ้ามืดก็แขวนโคมไฟหลากหลายสีสัน แขกที่ทยอยกันมาเยือนเดินตามกันมาไม่ขาดสาย แต่ละคนพาคนในครอบครัวตัวเองมาด้วย คาดการณ์ดูแล้วน่าจะไม่ต่ำกว่าสามร้อยคน

อาศัยใบบุญจากหลิวเกาหวาบุตรชายท่านเจ้าเมือง พวกเฉินผิงอันสามคนจึงได้เข้าร่วมงานด้วย เพียงแต่ว่าตำแหน่งที่นั่งไม่เหมาะนัก อยู่ในระเบียงทางเดินรอบทะเลสาบเส้นหนึ่ง มีม้านั่งยาววางไว้สองตัว แต่ยังดีที่มีโต๊ะเล็กซึ่งจัดวางผลไม้และของทานเล่นเอาไว้ให้ เมื่อเทียบกับแขกโต๊ะใกล้เคียงที่มีเพียงที่นั่ง ไม่มีการรับรองอย่างอื่นแล้ว นับว่ายังพอมีหน้ามีตาอยู่บ้าง และโต๊ะนี้ถูกเอามาจัดวางก็เพราะหลิวเกาหัวไม่ไปนั่งอยู่กับใต้เท้าเจ้าเมือง แต่จะนั่งอยู่กับสหาย ทางจวนถึงได้จัดเสริมมาให้เป็นพิเศษ

เฉินผิงอันอยากจะฝึกท่าเจี้ยนหลู แต่กังวลว่าจะสะดุดตาผู้คนมากเกินไป จึงได้แต่ปลดน้ำเต้าเอามาดื่มเหล้าช้าๆ

หลิวเกาหวานั่งคั่นกลางระหว่างชายฉกรรจ์เคราดกกับนักพรตจางซานเฟิง คุยกับคนทั้งสองเบาๆ ถึงความร่ำรวยของคนตระกูลนี้ รวมไปถึงความสัมพันธ์ลับๆ ที่พวกเขามีกับแม่ทัพใหญ่ท่านหนึ่ง

เทพเซียนเฒ่ากับสาวงามกระดาษเหลืองของเขามาถึงตามเวลานัดหมาย พวกเขาบินทะยานจากหอสูงที่อยู่ห่างไปไกลแห่งหนึ่งมาถึงกลางทะเลสาบ จากนั้นก็ค่อยๆ พลิ้วกายลงบนหอสูง ตอนที่สัมผัสโดนพื้นก็เหมือนกบแตะผิวน้ำ ชายแขนเสื้อกว้างใหญ่สะบัดพลิ้ว เปี่ยมไปด้วยมาดแห่งเซียน ท่วงท่านี้ของเขาเรียกเสียงปรบมือไชโยโห่ร้องจากผู้คนที่อยู่โดยรอบทะเลสาบดังสนั่นหวั่นไหว

ใบหน้าของเทพเซียนผู้เฒ่าแดงปลั่ง เรือนกายผอมเพรียวแต่สง่างาม แต่งกายเรียบๆ เหมือนสุภาพชนผู้มีชื่อเสียง หลังพลิ้วกายลงบนพื้นก็ไม่พูดไร้สาระมากความ แม้แต่พูดคุยตามมารยาทกับเจ้าเมืองและแม่ทัพฝ่ายบู๊พิทักษ์เมืองก็ยังไม่ทำ เขาสะบัดข้อมือหนึ่งครั้ง นิ้วทั้งสองที่ประกบกันก็มียันต์กระดาษสีเหลืองแผ่นหนึ่งเพิ่มขึ้นมา หากเป็นปรมาจารย์ในยุทธภพที่สายตาดีหน่อยจะเห็นได้ว่าด้านบนแผ่นยันต์วาดลายเส้นเป็นรูปร่างผู้หญิงเอาไว้ อยู่ไกลเกินกว่าจะเรียกได้ว่ามีชีวิตชีวาเสมือนจริง

เทพเซียนผู้เฒ่าดีดนิ้วเบาๆ กระดาษสีเหลืองที่อยู่ระหว่างร่องนิ้วก็ดีดตัวออกมา ตอนที่สัมผัสโดนพื้นก็ระเบิดกลายมาเป็นกลุ่มควันสีเขียวกลุ่มหนึ่งที่ค่อยๆ แผ่ขยายออกไป

หญิงสาวร่างอรชรสวมชุดสีสันสดใสคนหนึ่งเดินกรีดกรายออกมาจากในกลุ่มควัน ครั้นจึงหันไปยอบตัวคำนับแขกผู้มีเกียรติที่นั่งอยู่ในศาลาริมน้ำ

มือดาบเคราดกกับนักพรตหนุ่มเห็นแล้วก็จุ๊ปากชื่นชม หลิวเกาหวาก็ยิ่งปรบมือโห่ร้องชอบใจ

แต่เฉินผิงอันกลับเงยหน้าขึ้นมองไปยังจุดสูงกะทันหัน

เวลาเดียวกันนั้นก็มีคนมองมาที่เขาพอดี

คนผู้นั้นนั่งยองอยู่บนกำแพงเรือนที่ห่างไปไกล กำลังแสยะปากยิ้มกว้างมาให้เฉินผิงอัน

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนอย่างไม่กระโตกกระตาก บอกกับจางซานเฟิงว่าจะไปเข้าห้องน้ำ นักพรตหนุ่มบอกให้เขารีบไปรีบกลับ อย่าได้พลาดการแสดงที่ตระการตาเด็ดขาด เฉินผิงอันพยักหน้ารับยิ้มๆ

เมื่อเฉินผิงอันเดินลงบันไดของระเบียงที่ทอดยาวออกมา เด็กหนุ่มชุดดำที่อายุพอๆ กับเฉินผิงอันก็เริ่มออกเดินบนหัวกำแพงแล้วเช่นกัน

ระยะห่างของสองฝ่ายขยับเข้ามาใกล้กันมากขึ้นเรื่อยๆ

เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ

การจากลาบางครั้งก็ไม่หวังให้พบเจอกันอีก แต่ก็มักจะต้องพบเจอกันโดยบังเอิญเสมอ

ยกตัวอย่างเช่นเฉินผิงอันกับเจ้าเด็กที่ชื่อว่าหม่าขู่เสวียนคนนั้น

การจากลาบางครั้งซึ่งทั้งๆ ที่หวังว่าจะได้พบเจอกันอีก แต่กลับไม่มีโอกาสได้เจอกันอีกแล้ว ยกตัวอย่างเช่นเฉินผิงอันกับเด็กสาวที่ชื่อชิวสือคนนั้น

—–

กระบี่จงมา Sword of Coming

กระบี่จงมา Sword of Coming

Status: Ongoing
” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “
เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา
เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม
และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง
ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท