กระบี่จงมา Sword of Coming – บทที่ 235.2 วัดโบราณที่แวะค้างแรมมีปราณปีศาจ

บทที่ 235.2 วัดโบราณที่แวะค้างแรมมีปราณปีศาจ

ตอนเที่ยงของวันนี้ บัณฑิตหลิ่วชื่อเฉิงติดตามพวกเฉินผิงอันเดินทางออกนอกเมือง หลิวเกาหวาและพี่สาวใหญ่ของเขา รวมไปถึงจ้าวซู่เซี่ย หลวนหลวนและอวี๋เวิงเซียนเซิงที่มีชาติกำเนิดเป็นปัญญาชนลัทธิขงจื๊อต่างก็พากันเดินทางมาส่ง ส่งถึงศาลาข้างทางที่อยู่ห่างจากเมืองมาห้าลี้ถึงได้หยุดบอกลากันอย่างอาลัยอาวรณ์

หลิ่วชื่อเฉิงบอกลากับแม่นางหลิวอยู่ใต้ร่มไม้ ไม่รู้ว่าพูดคำรักหวานหูอะไร เพราะถึงแม้สตรีจะมีท่าทางเสียใจ แต่กลับมีรอยยิ้ม สายตามีความคิดถึงและคาดหวังปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน

เฉินผิงอันเดินไปหาอวิ๋เวิงเซียนเซิงเพียงลำพัง มอบตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงให้กับอีกฝ่าย รวมไปถึงกระดาษยันต์สีทองหนึ่งแผ่น บอกว่านี่คือของขวัญกราบอาจารย์ที่เขาช่วยมอบให้แทนจ้าวซู่เซี่ยและหลวนหลวน ขอร้องให้ผู้เฒ่าโปรดรับเอาไว้ ผู้เฒ่าเองก็มีนิสัยตรงไปตรงมา รับของทั้งหมดไว้อย่างไม่อิดออด พูดยิ้มๆ บอกให้เฉินผิงอันวางใจ เขาจะต้องปฏิบัติต่อจ้าวซู่เซี่ยและหลวนหลวนให้เหมือนเป็นบุตรในอุทรของตนเอง จะไม่ทำให้พวกเขาต้องน้อยเนื้อต่ำใจเป็นอันขาด สุดท้ายเฉินผิงอันจึงกุมหมัดคารวะ “คุณธรรมของท่าน สูงยิ่งกว่าขุนเขา ยาวไกลยิ่งกว่าแม่น้ำ”

นี่คือถ้อยคำที่ออกมาจากใจจริงของเฉินผิงอัน

ดังนั้นแม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันพูดจาสุภาพไพเราะดั่งปัญญาชน แต่เขากลับไม่รู้สึกลำบากใจแม้แต่น้อย

ผู้เฒ่าจูงมือเด็กน้อยไว้คนละข้าง มองส่งคนทั้งสี่เดินจากไปไกล แล้วเอ่ยกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “มีมาดแห่งเซียนควบคู่กับคุณธรรมในยุทธภพ ประเทศชาติจึงมีบุคคลที่ยอดเยี่ยม”

หลิวเกาหวาใช้ข้อศอกกระทุ้งแขนของพี่สาวเบาๆ ถามด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านพี่ หลิ่วชื่อเฉิงกรอกยาเสน่ห์อะไรให้ท่าน ถึงทำให้ท่านกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้?”

สตรียิ้มบางๆ ตอบรับ “หลิ่วหลางบอกว่ารอเขาประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงเมื่อไหร่ จะต้องกลับมาสู่ขอข้า ถึงเวลานั้นจะต้องนั่งดื่มสุรากับพ่อตา ให้ท่านพ่อของพวกเราเรียกเขาว่าลูกเขยทุกคำให้จงได้”

หลิวเกาหวายิ้มกว้าง “คำพูดผายลมของบัณฑิต ท่านก็เชื่ออย่างนั้นหรือ?”

สตรีสาวยกสองมือกุมไว้ตรงหัวใจ เหม่อมองแผ่นหลังของบัณฑิตที่บนศีรษะสวมมงกุฎกิ่งหลิว (ธรรมเนียมชาวจีนมักจะหักกิ่งหลิวส่งให้คนที่ต้องเดินทางเพื่อแสดงถึงการอำลา) แล้วพึมพำว่า “ในตำราก็กล่าวไว้แบบนี้นี่นา”

หลิวเกาหวาระอาใจอย่างยิ่ง “เป็นบุรุษเต็มตัว แถมอายุก็ตั้งมากขนาดนี้แล้วยังสวมมงกุฎกิ่งหลิวได้ไม่รู้จักอาย ซิ่วไฉยากจนแบบนี้จะมีโอกาสลืมตาอ้าปากได้อย่างไร?”

หญิงสาวกระทืบหลังเท้าของน้องชายหนึ่งที กล่าวอย่างขุ่นเคือง “ห้ามพูดถึงว่าที่พี่เขยของเจ้าแบบนี้”

หลิวเกาหวาเจ็บจึงรีบหดเท้าหนี ขยับไปยืนห่างอีกหน่อย สอดสองมือรองไว้ตรงท้ายทอยด้วยท่าทางสบายอารมณ์

ผลคือถูกคนตบหัวหนักๆ ดังป้าบ

หลิวเกาหวาหันขวับกลับไปหมายจะด่าให้ลั่น ทว่ากลับเหมือนถูกคนบีบคอไว้ ให้ตายก็เปิดปากไม่ได้ กลั้นเอาไว้จนหน้าแดงก่ำ ครู่ใหญ่ถึงพูดเสียงหงอ “ท่านพ่อ”

หญิงสาวยิ่งตื่นตระหนก

เจ้าเมืองหลิวที่ถอดชุดขุนนางเปลี่ยนมาสวมชุดเขียวของปัญญาชนยืนอยู่ตรงกลางระหว่างบุตรชายหญิง “เจ้าเป็นเพื่อนกับเฉินผิงอันงั้นรึ?”

หลิวเกาหวาเดาไม่ถูกว่าบิดาอยู่ในอารมณ์ไหน แล้วคำพูดของเขานี้มีนัยยะลึกซึ้งหรือไม่ จึงตอบอย่างระมัดระวังว่า “ถือว่าใช่กระมัง”

เจ้าเมืองหลิวชำเลืองตามามอง หัวเราะหึหึ แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก เขาหมุนตัวเดินไปหาอวี๋เวิงเซียนเซิง พูดคุยกับผู้เฒ่าเรื่องบทความคุณธรรม

หญิงสาวแอบตบอกตัวเองเบาๆ รู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก

หลิวเกาหวาถามเบาๆ “ท่านพี่ ข้าพูดอะไรผิดอีกงั้นหรือ?”

นางกล่าวอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “นี่แหละที่เขาบอกว่าอย่าก่อหนี้ท่วมตัว เจ้าจะกลัวอะไรล่ะ”

หลิวเกาหวาร้องคร่ำครวญ

สองพี่น้องไม่กล้าขยับเข้าไปใกล้บิดา กลัวว่าจะโดนเขม่นใส่ ยิ่งกลัวว่าจะพาตัวเองโยนเข้าไปในแห จึงเดินตามมาด้านหลังไม่ห่างและไม่ใกล้เกินไปนัก

เด็กชายจ้าวซู่เซี่ยแอบชะลอฝีเท้าเดินไปหยุดอยู่ข้างกายหลิวเกาหวา เอ่ยเบาๆ ว่า “พี่ใหญ่หลิว อาจารย์ข้ากำลังชมท่านอยู่แน่ะ บอกว่าท่านมีใจกตัญญู นิสัยเดิมดีงาม บิดาท่านบอกว่าที่ไหนกันๆ ก็แค่ไม่สร้างความอัปยศให้กับวงศ์ตระกูลเท่านั้น”

ผลกลับกลายเป็นว่าบุรุษตัวโตๆ อย่างหลิวเกาหวาที่เพิ่งค่อนแคะว่าที่พี่เขยไปหยกๆ ว่าไม่เอาไหน ตอนนี้ตัวเองกลับวิ่งเร็วๆ ไปล้างหน้าที่ริมลำธารซะแล้ว

หาได้ยากที่คนทั้งกลุ่มจะมีเวลาว่างแบบนี้ พวกเขาจึงเดินตามถนนทางหลวงกลับไปยังเมืองอย่างไม่รีบไม่ร้อน ทยอยกันเดินสวนไหล่กับเด็กหนุ่มหน้าตางดงามคนหนึ่ง

ในมือของเด็กหนุ่มถือกิ่งหลิวกำใหญ่ กลางหว่างคิ้วมีตราประทับสีแดงพุทราอยู่หนึ่งจุด

หน้าตาของเขางดงามมากจริงๆ

……

ค่ำคืนหนึ่งหลังผ่านมาได้สามวัน ระหว่างเส้นทางภูเขาเงียบสงัดที่มุ่งหน้าไปยังแคว้นซูสุ่ย เฉินผิงอันสี่คนพักค้างแรมอยู่ในวัดโบราณรกร้างแห่งหนึ่ง ก่อนหน้านี้เจ้าเมืองหลิวพูดถึงเรื่องหนึ่ง บอกว่าภูเขาตี้หลงของแคว้นซูสุ่ยมี ‘ท่าเรือ’ ประหลาดที่ไม่ได้รับการบันทึกอย่างเป็นทางการ ซึ่งมีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นสถานที่ที่เฉินผิงอันต้องการตามหา หรือก็คือจุดออกเดินทางที่เหล่าเทพเซียนบนภูเขาใช้โดยสารเรือทะยานลมไปท่ามกลางทะเลเมฆ

ถึงเวลานั้นสวีหย่วนเสียจะบอกลากับคนทั้งสองที่นั่น เพื่อเดินทางไปยังแคว้นชิงหลวนทางตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีปเพียงลำพัง นำเถ้ากระดูกของสหายกลับคืนสู่บ้านเกิด

สวีหย่วนเสียชอบเดินเท้าท่องเที่ยวระหว่างแม่น้ำและขุนเขา อีกทั้งยังชอบเขียนบันทึกการเดินทาง บันทึกทัศนียภาพและลักษณะภูมิศาสตร์ที่แปลกประหลาดอันตราย ดังนั้นจึงไม่ชอบโดยสารเรือข้ามทวีปของตระกูลเซียน ส่วนหลิ่วชื่อเฉิงจะเดินทางไปแถบทิศตะวันตกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีป ไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่ไม่ว่าใครก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน แม้แต่สวีหย่วนเสียที่มีความรู้และมากประสบการณ์ก็ไม่เคยได้ยิน

เมื่อต้องมาอยู่ในวัดเก่าแก่ที่ถูกปล่อยร้างมานานแห่งนี้ยามค่ำคืนก็ค่อนข้างจะน่าขนลุก เทวรูปท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ของลัทธิพุทธล้มกองอยู่บนพื้น อีกอย่างพื้นที่ของวัดโบราณก็กว้างขวางมาก มองไปทางใดก็ว่างโล่งไปหมด ลมเย็นยะเยือกพัดโชยมาเป็นระลอก ทั้งลมที่พัดผ่านมาทางห้องโถง ทั้งลมที่พัดลอดระเบียง บวกกับนกกลางคืนในผืนป่าที่ส่งเสียงร้องเป็นระยะ ทำเอาหลิ่วชื่อเฉิงหวาดผวาจนปากสั่น ต่อให้จะจุดไฟกองใหญ่ เขาก็ยังพยายามทำตัวแนบชิดติดกับชายฉกรรจ์เคราดก เพราะเขามักรู้สึกว่าพี่ชายท่านนี้หน้าตาดุร้ายที่สุด ต้องสามารถสยบภูตผีหรือสิ่งชั่วร้ายได้แน่นอน เด็กหนุ่มอย่างเฉินผิงอันและจางซานเฟิงน่าจะเอาไม่อยู่

ส่วน ‘ผีเฒ่าเจ้าสำอาง’ ที่มาพักพิงอยู่ในร่างของเขาชั่วคราว หลิ่วชื่อเฉิงไม่เคยรู้สึกว่าอีกฝ่ายร้ายกาจสักเท่าไหร่ แม้แต่เทพเซียนขอบเขตโอสถทองก็ยังไม่ใช่ ดีแต่คุยโวโอ้อวดอยู่เบื้องหลัง หากร้ายกาจจริงจะถูกคนกำราบมานานหลายปีขนาดนั้นหรือ ยังต้องให้เขาหลิ่วชื่อเฉิงไปช่วยอีกหรือไง? ดังนั้นจะแข็งแกร่งได้สักเท่าไหร่กันเชียว? อีกอย่างหากเป็นเทพเซียนตัวจริง ใครบ้างที่ไม่มีมาดของเซียน มีสง่าราศีอันโดดเด่น ใครแม่งจะสวมชุดเต๋าสีชมพูหวานแหววเดินกรีดกรายไปตามตลาด? เขาหลิ่วชื่อเฉิงคนหนึ่งล่ะที่จะรู้สึกอับอายขายหน้าหากต้องทำอย่างนั้น

ทุกสิ่งที่หลิ่วชื่อเฉิงพบเห็นหรือได้ยิน เจ้าคนที่มีฉายาว่า ‘ผีเฒ่าเจ้าสำอาง’ ซึ่งถูกเขาเก็บมาผู้นั้นล้วนเห็นและได้ยินอย่างชัดเจนตามไปด้วย

แต่หลังจากที่ผีเฒ่าสวมชุดชมพูปรากฏกายแทนที่เขา มีหลายครั้งที่หลิ่วชื่อเฉิงเหมือนจะเสียความทรงจำไปอย่างสิ้นเชิง จนกระทั่งผีเฒ่ายินดีคืนร่างให้เขา อาการเหล่านั้นถึงจะหายไป

นี่ทำให้หลิ่วชื่อเฉิงกัดฟันกรอดๆ ด้วยความเจ็บแค้น วันหน้าหากเขาแต่งภรรยาที่งามล่มเมือง มีอนุภรรยางดงามปานบุปผาปานหยกสลักหลายต่อหลายบ้าน เพิ่มด้วยสาวใช้ห้องข้างอวบอิ่มเพรียวบางคอยห้อมล้อม แล้วถ้าตนขึ้นเตียง เพิ่งจะลูบคลำมือน้อย อยู่ดีๆ หน้ามืดสติดับวูบ ไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น พอลืมตาขึ้นมาอีกทีเป็นตอนกลางวันสว่างจ้า ตัวเองสวมเสื้อผ้าลงจากเตียงมาเรียบร้อยแล้ว นั่นจะเป็นเรื่องเฮงซวยถึงเพียงใด? ประเด็นสำคัญคือความขมขื่นที่เป็นเรื่องส่วนตัวขนาดนี้ เขาหลิ่วชื่อเฉิงจะระบายให้ใครฟังก็ไม่มีประโยชน์

หลิ่วชื่อเฉิงยกก้นขึ้นมานั่งยอง ยื่นมือไปอังไฟหาความอบอุ่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม เขากลุ้มใจจริงๆ นะ

ภายใต้ม่านรัตติกาลในวัดร้าง หลิ่วชื่อเฉิงเงยหน้ามองซ้ายมองขวาก็ยิ่งกลัวมากกว่าเดิม ยังดีที่สวีหย่วนเสียกำลังดื่มเหล้า นักพรตจางน้อยที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งชักกระบี่ไม้ท้อออกจากฝัก กำลังฝึกวิชากระบี่ จึงพอจะทำให้หลิ่วชื่อเฉิงวางใจได้บ้างเล็กน้อย ส่วนเฉินผิงอันกำลังไปหากิ่งไม้แห้งมาก่อไฟหุงข้าวจึงอยู่ห่างไปไกล หลิ่วชื่อเฉิงรู้สึกนับถือเด็กหนุ่มแซ่เฉินคนนี้จากใจจริง ฟ้าไม่กลัวดินไม่เกรง แถมยังเป็นคนหัวดื้อมากคนหนึ่ง ทุกวันจะต้องฝึกวิชาหมัดสองท่านั้นซ้ำไปซ้ำมา ฟ้าผ่าก็ไม่สะเทือน หลิ่วชื่อเฉิงรู้สึกว่าหากตัวเองตั้งใจเรียนหนังสือได้สักครึ่งหนึ่งของการฝึกหมัดเฉินผิงอัน เขาแม่งก็คงได้เป็นเมล็ดพันธ์บัณฑิตในสำนักศึกษากวานหูไปนานแล้ว

เพียงไม่นานหลิ่วชื่อเฉิงก็เห็นว่าเฉินผิงอันวิ่งเหยาะๆ กลับมา นอกจากหอบกิ่งไม้แห้งหอบใหญ่มาด้วยแล้ว ยังถือวัตถุโบราณเก่าแก่สูงประมาณสี่ห้าฉื่อมาอีกชิ้นหนึ่ง สอบถามว่ามันคืออะไรกันแน่ มีค่าหรือไม่ หลิ่วชื่อเฉิงเห็นแล้วก็เหลือกตา กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “นั่นมันแท่นตะเกียงแบบยาว เอาไว้วางตะเกียงน้ำมัน ครอบครัวยากจนจะใช้แต่แบบสั้น ไม่ได้พิถีพิถันอะไรมากนัก ตามบันทึกในเกร็ดพงศาวดาร อดีตเมื่อนานมากมาแล้ว วัดวาอารามที่มีมากมายดุจผืนป่าของลัทธิพุทธเคยมีเงินมากที่สุดในหลายๆ ราชวงศ์ของแจกันสมบัติทวีป มีเงินยิ่งกว่าฮ่องเต้เสียอีก นี่ไม่ถือว่าขัดต่อสวรรค์หรอกหรือ ดังนั้นจึงมีการพยายามโค่นล้มพระพุทธศาสนาอยู่หลายครั้ง แท่นวางตะเกียงแบบยาวในมือเจ้าชิ้นนี้ หากยังใหม่เอี่ยมก็ถือว่าพอจะมีค่า แต่ตอนนี้เป็นเพียงแค่โลหะผุๆ ชิ้นหนึ่ง มีค่าแค่ไม่กี่อีแปะ”

เฉินผิงอันรู้สึกเสียดายเล็กน้อย หลังวางกิ่งไม้แห้งลงแล้วก็วิ่งเอาแท่นวางตะเกียงกลับไปวางไว้ที่เดิม

หลิ่วชื่อเฉิงกุมขมับ รู้สึกว่าการที่ตัวเองต้องมาเดินทางในยุทธภพร่วมกับเด็กบ้านนอกแบบนี้ช่างเป็นเรื่องที่น่าอายนัก

หลังจากหุงข้าวและทำกับข้าวเสร็จแล้ว หลิ่วชื่อเฉิงผู้เลือกกินและมากเรื่องที่กินอาหารค่ำเสร็จแล้วก็เตรียมเอาผ้ามาปูนอนหลับฝันหวาน

ชายฉกรรจ์เคราดกดื่มเหล้าจนพอใจแล้วก็ทิ้งตัวไปด้านหลัง เริ่มส่งเสียงกรนดังสนั่นราวฟ้าผ่า

วันนี้นักพรตจางซานเฟิงรับผิดชอบเฝ้ายามครึ่งคืนแรก เฉินผิงอันเฝ้าครึ่งคืนหลัง

เฉินผิงอันช่วยเก็บเศษซากเทวรูปของราชาแห่งสวรรค์ทั้งหลายที่ผุพังมารวมกัน แล้วแยกนำไปกองไว้ในมุมที่สามารถบังลมบังฝนได้ ทำเรื่องพวกนี้เสร็จก็เริ่มฝึกเดินนิ่งบนพื้นที่เป็นหลุมเป็นบ่อ

ตอนนี้หมัดของเฉินผิงอัน หากกล่าวตามคำพูดของหลิ่วชื่อเฉิงก็คือออกหมัดครั้งหนึ่งช้าจนเขานอนหลับเต็มอิ่มไปงีบหนึ่ง

คืนนี้ช่วงหลังของการฝึกหมัด อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็เริ่มเพิ่มความเร็ว สุดท้ายก็เร็วราวสายฟ้าแลบ รอบกายเหมือนมีพายุเกิดขึ้น ครู่หนึ่งต่อมาเฉินผิงอันถึงชะลอความเร็วลง

จางซานเฟิงขยับมามองใกล้ๆ ครู่หนึ่งก็ถามขึ้นยิ้มๆ “ทำไม มีเรื่องหงุดหงิดใจหรือ?”

เฉินผิงอันยืนนิ่งเก็บหมัด กล่าวอย่างจนใจ “สัมผัสโดนธรณีประตูได้เล็กน้อย แต่กลับข้ามมันไปไม่ได้ ไม่ขึ้นไม่ลง ก็เลยรู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้าง”

จางซานเฟิงยิ้มพูดว่า “นี่หมายความว่าเจ้าจะฝ่าทะลุขอบเขตแล้วน่ะสิ ปรมาจารย์น้อยขอบเขตสี่วิถีวรยุทธ์ ต่อให้เป็นในยุทธภพอุตรกุรุทวีปของพวกเราก็เรียกว่าแกร่งกร้าวมากแล้ว”

เฉินผิงอันถอนหายใจ “ก่อนจะออกจากบ้านมีคนบอกกับข้าว่า ก่อนที่จะถึงนครมังกรเฒ่า ทางที่ดีที่สุดคือสามารถเลื่อนสู่ขั้นขอบเขตหลอมลมปราณของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวให้ได้”

แล้วทันใดนั้น

กระดิ่งสดับปีศาจที่จางซานเฟิงวางไว้บนห่อสัมภาระก็พลันสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เสียงกระดิ่งดังลั่น

จางซานเฟิงหัวใจหดรัดตัวแน่น “มีปราณปีศาจขยับเข้ามาใกล้วัด!”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เจ้าเก็บกระดิ่งสดับปีศาจลงไปก่อน จะได้ไม่แหวกหญ้าให้งูตื่น”

ชายฉกรรจ์เคราดกลุกขึ้นมานั่งอย่างรวดเร็ว หัวเราะร่าเสียงดัง “กิจการของพวกเราสามคนช่างรุ่งเรืองซะจริง โชคลาภมาเยือนแล้ว จะขวางก็ขวางไม่อยู่!”

หลังจากเสียงหัวเราะผ่านพ้นไป สวีหย่วนเสียก็ลูบเคราครุ่นคิด มือสองข้างวางไว้บนด้ามดาบสั้นยาวตรงเอว กล่าวเสียงหนัก “แต่จำไว้ว่า กำจัดปีศาจปราบมารก็จริง ทว่ารักษาชีวิตต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง”

เฉินผิงอันกับจางซานเฟิงหันมายิ้มให้กัน นักพรตหนุ่มหัวเราะหึหึ “ข้ายังมียันต์เทพเดินทางอีกแผ่นหนึ่ง”

เฉินผิงอันเงียบไปครู่หนึ่งก็กล่าวเสียงอัดอั้น “แต่ข้าวิ่งได้เร็ว!”

—–

กระบี่จงมา Sword of Coming

กระบี่จงมา Sword of Coming

Status: Ongoing
” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “
เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา
เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม
และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง
ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท