บนโต๊ะตัวหนึ่งที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวมีผู้นั่งคือชายร่างกำยำกับเด็กสาวอายุน้อย พวกเขานั่งอยู่ตำแหน่งตรงกลางค่อนไปทางฝั่งซ้ายมือ ค่อนข้างห่างไกลกับโต๊ะที่ขนาบอยู่สองฝั่งอย่างเห็นได้ชัด เพราะคนในยุทธภพต่างก็รู้สถานะที่ชัดเจนของคนผู้นี้ บุคคลอันดับหนึ่งของสายดำแคว้นซูสุ่ย มีชื่อว่าโต้วหยาง ลักษณะคล้ายชายฉกรรจ์ แต่เล่าลือกันว่าเขามีอายุสูงถึงหนึ่งร้อยปีมานานมากแล้ว เขาเรียกตัวเองต่อภายนอกว่าเป็นเจ้าแห่งลัทธิมาร มารใต้บังคับบัญชาที่เป็นผู้คุ้มกันมีมากหลายสิบคน สามารถเรียกลมเรียกฝนทางแถบตอนใต้ของแคว้นซูสุ่ย ยังดีที่สำนักของเขาอยู่ในพื้นที่ห่างไกล ตั้งอยู่บนเส้นชายแดนระหว่างแคว้นซูสุ่ยกับแคว้นซงซี หลายปีมานี้ถือว่าอยู่อย่างสงบพอสมควร ไม่ได้สร้างฝนคาวลมเลือดอะไรขึ้นมา แต่คนในยุทธภพรุ่นเก่าที่อยู่ตรงนี้ต่างก็เคียดแค้นคนผู้นี้อย่างลึกล้ำ ทว่าขณะเดียวกันกลับหวาดกลัวและกริ่งเกรงเขามากกว่า เพราะแคว้นซูสุ่ยเมื่อห้าสิบปีก่อน ฝ่ายธรรมะกับฝ่ายอธรรมเปิดศึกนองเลือดกันสามครั้งเพื่อช่วงชิงอาณาเขตในยุทธภพ พวกเขาเข่นฆ่ากันจนมืดฟ้ามัวดิน ยอดฝีมือฝ่ายธรรมะนับพันคนต้องตายไปในศึกครั้งนั้น
หมู่บ้านวารีกระบี่กล้าจัดที่นั่งแบบนี้ ไม่ได้ให้โต้วหยางและสาวใช้ของเขานั่งในตำแหน่งประธาน ก็ทำให้ทุกคนเกิดความนับถือ รู้สึกเลื่อมใสในตัวของซ่งเฟิ่งซานที่อายุยังน้อยเพิ่มขึ้นมาอีกหลายส่วน
แม้ว่าซ่งเฟิ่งซานจะเป็นประธานในครั้งนี้ เขานั่งอยู่บนตำแหน่งสูงสุด แต่กลับพูดน้อยมาก เพียงแค่ดื่มเหล้าช้าๆ ไม่ได้จงใจพูดคุยกับใครเป็นพิเศษ บางครั้งมีคนยกความสัมพันธ์กับอริยะกระบี่เฒ่ามาพูดถึง หวังจะตีสนิทกับว่าที่ผู้นำแห่งยุทธภพผู้นี้ ซ่งเฟิ่งซานที่สวมชุดดำพกกระบี่สั้นก็ทำเพียงแค่คารวะสุรากลับหนึ่งจอกเท่านั้น ส่วนใหญ่เป็นสตรียังสาวข้างกายเขาที่ชวนคุย นางรู้เรื่องราวในยุทธภพดุจสมบัติในบ้านตัวเอง บวกกับคำวิจารณ์ที่เคยได้ยินมาจากผู้อาวุโสในตระกูล แม้แต่ความสำเร็จของเด็กรุ่นหลังในตระกูลตน นางก็รู้อย่างชัดเจน นี่จึงทำให้อีกฝ่ายไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกว่าถูกเพิกเฉย กลับยังปลอดโปร่งโล่งสบายไปทั้งตัว รู้สึกมีหน้ามีตาอย่างถึงที่สุด
คนอื่นเคารพข้าหนึ่งฉื่อ ข้าเคารพกลับหนึ่งจั้ง
สตรียังสาววางตัวได้อย่างดีเยี่ยมจนใครก็หาข้อตำหนิไม่ได้
บนใบหน้างดงามที่อ่อนเยาว์เหมือนเด็กของหมัวมัวในวัดร้างที่ถูกเข้าใจผิดคิดว่าเป็นสาวใช้ประจำกายของมารใหญ่โต้วหยางมีประกายแสงสดใสวาบผ่าน นางแอบกวาดสายตามองไปตามใบหน้าของแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน บางครั้งประสานสายตาเข้ากับหานหยวนซ่านก็จะรีบผละออกทันที ทว่ามุมปากของเด็กสาวกลับตวัดโค้ง สายตาหวานหยาดเยิ้ม ส่วนบัณฑิตนั้นก็รู้ใจนางเป็นอย่างดี จึงตอบสนองกลับคืนด้วยท่าทางแบบเดียวกัน หัวใจรักของเด็กสาวยิ่งผลิบาน ตอนที่ก้มหน้าจิบเหล้าจึงแอบแลบลิ้นเลียรอบปากแก้วครึ่งรอบ ทำเอาหานหยวนซ่านที่มองอยู่ถึงกับหรี่ตาลง ปากคอแห้งผาก ฝีไม้ลายมือบนเตียงของปีศาจชราตนนี้ เขาเคยมีประสบการณ์กับตัวเองมาก่อนแล้ว แถมยังติดใจจนต้องคอยเรียกหาผีสาวร่างกายสะโอดสะองงดงามหลายตนให้มาปรนนิบัติอยู่บ่อยๆ ต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์โดดเด่น อีกทั้งยังฝึกเวทลับของพรรคมาร ไม่อยากยอมแพ้ก็ยังยาก
โต้วหยางเก็บภาพทั้งหมดนี้อยู่ในสายตา แค่นเสียงหยันกล่าวว่า “นังแพศยาร่านราคะ เจ้านี่มันเกิดอารมณ์ใคร่ได้ทุกเวลาจริงๆ!”
เด็กสาวตอบด้วยรอยยิ้ม “โอ๊ะโอ เจ้าลัทธิโต้วหึงหรือนี่?”
โต้วหยางคีบอาหารรสจืดขึ้นมากิน ไม่สนใจคำหยอกเย้าจากคนบนมรรคาเดียวกันผู้นี้
อารมณ์รักใคร่ระหว่างชายหญิง ความรื่นรมย์ระหว่างปลาและน้ำ เมื่อเทียบกับการช่วงชิงบนมหามรรคา การเดินขึ้นสู่ยอดสูงเพียงลำพัง จะนับเป็นอะไรได้!
หวังอี้หรานสัมผัสถึงอารมณ์เซื่องซึม รวมไปถึงสายตาอาลัยรักและผิดหวังอย่างเข้มข้นที่คอยแอบมองซ่งเฟิ่งซานอยู่หลายครั้งของบุตรสาวที่นั่งข้างกายได้อย่างชัดเจน
ความรักระหว่างชายหญิงที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่มีทางจบลงด้วยดีนี้ หวังอี้หรานรู้ชัดเจนอยู่แก่ใจ แต่ชายฉกรรจ์ไม่คิดว่าตนจำเป็นต้องยื่นมือเข้าแทรก ตีคู่ยวนยางให้แยกจากกัน หนึ่งก็เพราะกรอบป้ายทองคำของหมู่บ้านวารีกระบี่ไม่ใช่สิ่งที่หมู่บ้านเหิงเตาซึ่งต่ำกว่าหนึ่งระดับจะสามารถวิจารณ์ได้ตามใจชอบ อีกอย่างหากบุตรสาวคิดจะเป็นผู้นำหมู่บ้านที่มีคุณสมบัติครบถ้วนในอนาคต เจ็บปวดกับความรักบ้างเล็กน้อย หรืออย่างวันนี้ที่ถูกคนต่อยสลบด้วยหมัดเดียว ขายหน้าผู้คนมากมาย ก็ล้วนไม่ถือว่าเป็นเรื่องร้าย อย่างไรก็ดีว่าทำผิดมหันต์ ต้องลำบากยิ่งกว่าเดิมในอนาคต
หวังอี้หรานตัดสินใจว่าจะทำเป็นมองข้ามเรื่องนี้ ในยุทธภพ ปรมาจารย์ใหญ่ในสายตาชาวโลกอย่างพวกเขา ใครบ้างที่ตอนเป็นหนุ่มสาวไม่เคยมีคนในใจ? สุดท้ายคนที่สามารถประคับประคองช่วยเหลือกันจะเหลืออยู่สักกี่คน แล้วคนที่ถูกลืมเลือนไปในยุทธภพล่ะมีกี่คน? รอจนได้ยืนอยู่บนยอดสูงสุดของยุทธภพอย่างแท้จริงแล้วก็จะค้นพบเองว่า ทุกอย่างล้วนเป็นเพียงหมอกและควันที่ลอยผ่านไปเท่านั้น
ยกตัวอย่างเช่นหานหยวนซ่านลูกหลานตระกูลชนชั้นสูงที่มีอุบายลึกล้ำคนนั้น ว่ากันว่าเขาเชี่ยวชาญเรื่องการเอาอกเอาใจสตรีมากที่สุด ประเด็นสำคัญคือยังทำให้สตรีติดตามเขาด้วยความยินยอมพร้อมใจ สตรีที่เป็นขุนนางซึ่งกุมอำนาจไว้ในมือ สตรีลูกหลานของปรมาจารย์ในยุทธภพ ปีศาจสาวอายุยังน้อยที่หน้าตางดงามแต่กระหายการเข่นฆ่า เทพธิดาที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วยุทธจักร ทุกคนล้วนถูกรวบเก็บไว้ในกระเป๋าของเขา
หากหวังซานหูบุตรสาวของเขาหลงรักคนผู้นี้ หวังอี้หรานถึงจะยื่นมือก้าวก่าย ไม่มีทางอนุญาตให้นางมีความเกี่ยวข้องอะไรกับหานหยวนซ่านเด็ดขาด หาไม่แล้วถึงเวลานั้นเกรงว่าแม้แต่หมู่บ้านเหิงเตาก็คงต้องยกสองมือประคองมอบให้เป็นสินสอดแก่เขาด้วยกระมัง? เห็นได้ชัดว่าหานหยวนซ่านวางแผนไว้อย่างยิ่งใหญ่ อีกทั้งยังลึกล้ำกว้างไกล แน่นอนว่าเบื้องหลังเขาต้องมียอดฝีมือตัวจริงคอยให้การช่วยเหลือ หากคิดจะทำการค้ากับคนผู้นี้ไม่มีปัญหา เพราะไม่มีทางที่จะได้กำไรน้อย แต่อย่าคิดจะเป็นเพื่อนกับเขาเด็ดขาด เพราะนั่นคือการรนหาที่ตายอย่างไม่ต้องสงสัย
ส่วนเรื่องที่บุตรสาวแอบรักซ่งเฟิ่งซาน หวังอี้หรานกลับไม่คิดมาก เพราะซ่งเฟิ่งซานต่างหากที่ถือว่าเป็นคนในยุทธภพที่แท้จริง หากมีวันหนึ่งซ่งเฟิ่งซานยินดีแต่งบุตรสาวของเขาไปเป็นภรรยาที่เท่าเทียมกัน (มาจากคำว่าผิงชี 平妻เป็นคำเรียกภรรยาของพ่อค้าที่แต่งเข้ามาภายหลัง แม้จะบอกว่าเท่าเทียม แต่ในความเป็นจริงแล้วสถานะก็เท่ากับภรรยารอง หรืออนุภรรยา) หวังอี้หรานไม่ถือสาหากจะควบรวบหมู่บ้านเหิงเตาเป็นหนึ่งเดียวกับหมู่บ้านวารีกระบี่ แต่ชื่อของหมู่บ้านใหม่นี้จะต้องมีคำว่าเตาหนึ่งตัว รวมไปถึงในบรรดาบุตรของลูกสาวเขา จำเป็นต้องให้คนหนึ่งใช้แซ่หวัง เมื่อเป็นเช่นนั้นยุทธภพของแคว้นซูสุ่ยในอนาคตอีกร้อยปีข้างหน้าก็จะมีแค่สองแซ่ นั่นคือซ่งและหวังเท่านั้น!
มีใครบางคนตะโกนเสียงดังว่าขอดื่มคารวะ หวังอี้หรานจึงยิ้มแล้วยกจอกเหล้าคาระกลับคืน แม้ว่าหวังซานหูจะใจลอย แต่ก็ยังคงรักษามารยาทในข้อนี้ไว้เป็นอย่างดี ดื่มเหล้าคารวะพร้อมบิดาไปด้วย
หลังวางแก้วเหล้าลง สายตาของหวังอี้หรานมองตรงไปข้างหน้า แต่ปากกลับเอ่ยเบาๆ ว่า “ยังคิดถึงเรื่องเด็กหนุ่มสะพายกระบี่คนนั้นอีกหรือ? รู้สึกว่าหากไม่ฆ่าอีกฝ่ายก็ไม่สามารถระบายความอัปยศที่ได้รับออกไปได้หมด? พ่อขอแนะนำเจ้าสักคำ เด็กหนุ่มไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป แม้แต่ซ่งเฟิ่งซานก็ยังแอบมองเขาเป็นคู่ต่อสู้อย่างลับๆ แล้ว เพียงแต่ว่าดูเหมือนอริยะกระบี่ผู้เฒ่าจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับเด็กหนุ่ม มีข้อหนึ่งที่หานหยวนซ่านเดาไม่ผิด นั่นคือมีความเป็นไปได้มากว่าเด็กหนุ่มจะเป็นลูกศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจของเทพกระบี่แคว้นไฉ่อี เพราะอาจารย์ผู้มีพระคุณตายเฉียบพลัน ศัตรูมีพละกำลังมากกว่า เด็กหนุ่มออกเดินทางครั้งนี้ก็เพื่อหลบเลี่ยงอันตราย อริยะกระบี่ซ่งสนิทสนมกับเทพกระบี่แคว้นไฉ่อีมาก ดังนั้นถึงได้ลงมือสั่งสอนหม่าลู่ด้วยตัวเองอย่างไม่ไว้หน้าใคร”
หญิงสาวกำด้ามดาบไว้แน่น หลุบสายตาลงต่ำ “ท่านพ่อ จะให้ข้าปล่อยเขาไปแบบนี้น่ะหรือ? หากเจ้าคนน่ารังเกียจที่อำพรางตัวตนคนนั้นต่อยข้าให้ตายในศาลาด้วยหมัดเดียว ข้าก็ยอมแพ้ ต่อให้หนึ่งหมัดของเขาทำให้ข้าบาดเจ็บสาหัส ข้าก็ยอม! แต่เขากลับหมิ่นเกียรติข้าแบบนี้! แถมยังมีคนนอกอยู่ตั้งมากมายขนาดนั้น วันหน้าข้าจะยังมีหน้าเดินอยู่ในยุทธภพได้อย่างไร? หรือว่าข้าต้องหลบซ่อนตัวอยู่ในหมู่บ้านเหิงเตาไปตลอดชีวิต?”
หวังอี้หรานกระแทกจอกเหล้าลงบนโต๊ะแรงๆ แค่นเสียงหยัน “ไอ้เรื่องหน้าตาเนี่ย ต้องอาศัยชัยชนะที่ได้มาจากศึกใหญ่ในยุทธภพ ยุทธภพคือสถานที่ที่คนความจำดีที่สุดแล้วก็แย่ที่สุดเช่นกัน หลายสิบปีให้หลัง รอจนเจ้าหวังซานหูกลายเป็นปรมาจารย์วิชาดาบที่แข็งแกร่งกว่าพ่อ เลื่อนขั้นสู่ขอบเขตปรมาจารย์ใหญ่ขั้นหกในตำนานได้เหมือนเทพกระบี่แคว้นไฉ่อี หรืออริยะกระบี่ซ่ง ก็ลองดูเถอะว่าใครจะพูดถึงเรื่องขี้หมาในศาลาวันนี้? มีแต่จะจำได้ว่าเจ้าหวังซานหูเอาชนะปรมาจารย์วิถีกระบี่คนไหนได้ สังหารมารสายดำไปได้กี่ตน หนึ่งดาบชักออกจากฝัก พายุดาบซัดกระหน่ำดุจน้ำตก คนที่ชมศึก ใครบ้างจะไม่ปรบมือร้องให้กำลังใจ? ใครยังจะกล้า?!”
ไหล่ของหญิงสาวสั่นสะท้านเบาๆ ก้มหน้าพูดอย่างหม่นหมอง “แต่ขนาดมือกระบี่ที่อายุน้อยกว่าข้า ข้ายังเอาชนะไม่ได้ แค่หมัดเดียวของเขายังรับไม่ไหว ในอนาคตจะยืนเคียงบ่ากับท่านพ่อได้อย่างไร? ยังจะพูดถึงขอบเขตปรมาจารย์ใหญ่ในตำนานได้อย่างไร?”
สำหรับแคว้นซูสุ่ยที่อยู่ตอนกลางของแจกันสมบัติทวีปนี้ วิถีวรยุทธ์ขอบเขตหกก็คือขีดสุดของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว หากจะพูดถึงระดับสูงกว่านี้ ตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมาไม่มีใครได้เห็นทัศนียภาพของขอบเขตนั้นมานานแล้ว ถือว่าเป็น ‘เทพนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่’ ที่ไร้ศัตรูใดจะทัดทานได้แล้ว เล่าลือกันว่าช่วงที่เทพกระบี่แคว้นไฉ่อียืนอยู่บนจุดสูงสุดก่อนจะเร้นกายเข้าป่า เคยได้สัมผัสกับธรณีประตูนั้น แต่สุดท้ายไม่รู้ว่าทำไมขอบเขตถึงถดถอย หมดอาลัยตายอยาก ถอนตัวออกจากยุทธภพอย่างสิ้นเชิง
ส่วนซ่งอวี่เซาอริยะกระบี่เฒ่าก็เคยพูดอย่างชัดเจนว่า ชีวิตนี้เขาไม่มีหวังที่จะได้เลื่อนสู่ขอบเขตเทพแห่งการต่อสู้แล้ว
หากเฉินผิงอันรู้เรื่องพวกนี้ บางทีเขาอาจจะอ้าปากค้าง เพราะถึงอย่างไรจูเหอชาวบู๊ขอบเขตสี่ที่เดินออกมาจากถ้ำสวรรค์หลีจูก็ยังรู้ว่าขอบเขตที่เก้าต่างหากถึงเป็นขอบเขตปลายทางของวิถีวรยุทธ์ แน่นอนว่าจูเหอเองก็ไม่เคยเห็นภาพรวมทั้งหมดของวิถีวรยุทธ์ และในความเป็นจริง ไม่นานหลังจากนั้นซ่งจ่างจิ้งกับหลี่เอ้อร์ก็ทยอยกันเลื่อนขั้นสู่ขอบเขตสิบ ขอบเขตสิบเอ็ดต่างหากที่ถึงจะถือว่าเป็นยอดบนสุดของวิถีวรยุทธ์ที่แท้จริง ถึงจะเรียกได้ว่าเทพแห่งการต่อสู้อย่างสมชื่อ และผู้เฒ่าแซ่ชุยที่ถ่ายทอด ‘ขอบเขตสามที่แข็งแกร่งที่สุด’ ให้กับเฉินผิงอันก็เพิ่งจะพลาดจากขอบเขตสิบเอ็ดไปต่อหน้าต่อตา
น้ำมีตื้นลึก ภูเขามีสูงต่ำ
ถ้ำสวรรค์หลีจูบ้านเกิดของเฉินผิงอัน หรือเขตการปกครองหลงเฉวียนของต้าหลีในปัจจุบันถือเป็นสถานที่ประหลาดที่น้ำลึกที่สุด ภูเขาสูงที่สุด สถานการณ์ยุ่งเหยิงที่สุดของแจกันสมบัติทวีป
เมื่ออยู่ในสถานที่แห่งนั้น เด็กชายชุดเขียวผู้แข็งแกร่งที่เป็น ‘ปีศาจใหญ่’ ขอบเขตหกซึ่งวางอำนาจบาตรใหญ่อยู่ในพื้นที่แถบหนึ่งของแคว้นหวงถิงยังถึงขั้นไม่กล้าทักทายใครตอนออกจากบ้าน เพราะกลัวว่าอยู่ดีๆ จะถูกคนต่อยตายด้วยหมัดเดียว ตอนนี้ความฝันสูงสุดของเขาก็คือตั้งใจฝึกตนเพื่อให้ตัวเองได้กลายเป็นวีรบุรุษที่ถูกคนต่อยตายด้วยสองหมัด
ก็ไม่แปลกที่เด็กชายชุดเขียวจะสับสนงงงวย คิดเรื่องหนึ่งจนหัวแทบแตกก็ไม่เข้าใจว่า “นายท่านของข้ามีชีวิตรอดอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ได้อย่างไร?”
อันที่จริงตัวเฉินผิงอันเองก็ไม่รู้คำตอบ แค่เหมือนว่าเขาค่อยๆ อดทนผ่านมันมาทีละนิด
ในความเป็นจริงแล้ว แรกเริ่มมีคนไม่ต้องการให้เขาตาย มาภายหลังเมื่อถึงเวลาสุดท้ายที่นกสิ้นเก็บเกาทัณฑ์ บุคคลยิ่งใหญ่บางส่วนที่ต้องการให้เขาตายได้เจอกับอาจารย์สอนหนังสือคนหนึ่งหลายครั้ง อาจารย์คนนั้นบอกกับเฉินผิงอันว่าอย่าสิ้นหวังกับโลกใบนี้ ส่วนชายฉกรรจ์พกดาบสวมงอบก็บอกกับเฉินผิงอันว่าควรจะคบค้าสมาคมกับโลกใบนี้อย่างไร ขณะเดียวกันเฉินผิงอันก็เติบโตอย่างรวดเร็ว สุดท้ายจึงหลุดพ้นจากการเป็นหมากในกระดานมาได้แต่เนิ่นๆ
แต่ความทุกข์ทนยากเข็ญของชีวิต การเลือกที่ยากลำบากหลายครั้งหลายคราที่เกี่ยวพันกับเจตจำนงเดิม คลื่นใต้น้ำและสภาพแวดล้อมที่อันตรายมากมาย การขัดเกลาเรือนกายและจิตใจที่เด็กหนุ่มจากตรอกหนีผิงต้องเผชิญท่ามกลางการเติบโตนี้ มากเกินกว่าจะบอกกล่าวแก่คนนอกได้
ตอนนี้เมื่อเด็กหนุ่มจากตรอกหนีผิงที่มีสมบัติอาคมและน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ล้ำค่าติดกายต้องออกมาท่องยุทธภพเพียงลำพัง เขาก็ยังเต็มใจซื้อแค่สุราราคาถูกอย่างเดียวเท่านั้น
แน่นอนว่าตอนนี้เขาเริ่มฝึกวิชาหมัดรูปแบบใหม่ที่ไม่เหมือนกับการเดินนิ่งหกก้าวและยืนนิ่งเจี้ยนหลูแล้ว
ตรงศาลาริมน้ำตก ครั้งนี้เฉินผิงอันไม่ได้สะพายกล่องกระบี่มาด้วย เขาเลือกจะทิ้งไว้ที่เรือน เพราะที่นั่นมีชายฉกรรจ์เคราดกและนักพรตหนุ่มที่เขาเชื่อใจอยู่
แต่น้ำเต้าบรรจุเหล้าใบนั้นยังคงพกห้อยไว้ที่เอว
ระหว่างที่เดินทางท่ามกลางแม่น้ำและภูเขานอกบ้าน อย่าหาเรื่องใส่ตัว อย่ากลัวว่าจะเกิดเรื่อง จากนั้นให้ระวังในทุกๆ เรื่อง รักษาชีวิตเป็นอันดับหนึ่ง นี่ก็คือยุทธภพของเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันขึ้นไปเหยียบบนราวระเบียงศาลาอีกครั้ง เขาจะอาศัยแรงดีดตัวกระโจนเข้าหาน้ำตกที่สาดเทลงมาอย่างน่าครั่นคร้ามสายนั้น แต่คิดดูแล้วก็เลือกจะเดินไปข้างหน้าก่อนหนึ่งก้าว เหยียบลงบนพื้นหินฐานของศาลา จะได้ไม่เหยียบให้ราวระเบียงหักเพราะออกแรงเต็มกำลัง ต่อให้ผู้อาวุโสซ่งจะไม่เก็บเงินจากเขา แต่หากเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นจริงย่อมไม่ดี
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึก ใช้พื้นรองเท้าถูพื้นหิน หมุนข้อมือเบาๆ สองสามที
หมัดแรกนี้ลองหยั่งเชิงระดับความหนาบาง ความหนักเบาของกระแสน้ำที่ตกลงมาดูก่อน
ลองใช้พละกำลังสักเจ็ดแปดส่วน
เท้าหนึ่งของเฉินผิงอันเหยียบออกไป พื้นดินก็เกิดเสียงปังกัมปนาท ยังดีที่เสียงของน้ำตกดังพออยู่แล้ว จึงสามารถกลบทับเสียงจากฝีเท้าข้างนี้ได้
ครั้นแล้วร่างของเฉินผิงอันก็กระโจนเข้าหาน้ำตกดุจลูกธนูที่พุ่งออกจากสาย
หนึ่งหมัดต่อยออกไปด้วยพละอำนาจอันกร้าวแกร่ง
หมัดทะลุทะลวงไปยังจุดลึกของน้ำตก แต่ตอนที่แขนทั้งแขนลอดผ่านม่านน้ำ หัวและไหล่ล้วนถูกน้ำตกกระแทกใส่อย่างรุนแรง ร่างทั้งร่างของเฉินผิงอันถูกบีบให้เอนเอียงลงมา พริบตาเดียวก็ถูกสายน้ำกดให้จมหายไปในจุดลึกของบ่อน้ำ ถูกกระแสน้ำที่ซัดลงมาอย่างไร้ระเบียบกระชากดึงจนร่างพลิกตลบไม่รู้หัวรู้หาง สุดท้ายศีรษะก็มาโผล่อยู่ตรงผิวน้ำที่ค่อนข้างราบเรียบใกล้กับศาลา เฉินผิงอันตบผิวน้ำหนึ่งครั้ง ร่างก็ดีดผลุงขึ้นไปทางศาลา พลิ้วกายยืนอยู่บนหินฐานนอกราวระเบียง รู้สึกเพียงหัวสมองมึนงงหนักอึ้ง โดยเฉพาะแขนข้างที่ออกหมัดและไหล่สองข้างที่ปวดแสบปวดร้อน ประเด็นสำคัญคือในบ่อน้ำยังมีหินตะปุ่มตะป่ำเต็มไปหมด ศีรษะของเฉินผิงอันจึงโดนกระแทกไม่เบานัก
ยังดีที่การขัดเกลาร่างกายในเรือนไม้ไผ่ทำให้เฉินผิงอันกินความเจ็บปวดเหมือนกินอาหารพื้นๆ อาการบาดเจ็บภายนอกที่อยู่ไกลเกินว่าจะทำร้ายไปถึงรากฐานของร่างกายและส่วนลึกของจิตวิญญาณนี้ ต่อให้ไม่ถือว่าแค่เจ็บๆ คันๆ แต่เฉินผิงอันก็ยังรู้สึกว่าอดทนได้สบายมาก
หมัดที่สองเฉินผิงอันใช้แรงเก้าส่วน อีกทั้งยังเปิดทางด้วยกระบวนท่าม้าเหล็กทะลวงขบวนรบที่ผู้เฒ่าแซ่ชุยสอนเขา พยายามจะพาทั้งหมัดทั้งตัวคนแหวกม่านน้ำไปพร้อมกัน หมัดเดียวกระแทกโดนผนังหินที่อยู่ด้านหลังม่านน้ำ
เสียดายก็แต่หมัดนั้นสัมผัสพื้นผิวของผนังหินได้แค่ผิวเผิน ร่างทั้งร่างก็ถูกกระแสน้ำที่หนักอึ้งดุจขุนเขากระแทกให้จมลงไปใต้น้ำโดยแรงอีกครั้ง
เฉินผิงอันโผล่พ้นผิวน้ำเป็นครั้งที่สอง ย้อนกลับไปยืนนอกศาลา คราวนี้เขาไม่ได้ผลัดเปลี่ยนลมปราณที่ไหลเวียนอย่างรวดเร็วเฮือกนั้น แต่ฝืนกลั้นปราณที่แท้จริงซึ่งเป็นดั่งมังกรไฟลาดตระเวนไปสี่ทิศนี้ ปล่อยหมัดใส่น้ำตกด้วยพละกำลังเต็มสิบส่วนอีกครั้งในรวดเดียว
คราวนี้หมัดของเฉินผิงอันกระแทกบนผนังหินที่เย็นเฉียบอันเป็นปลายทางของม่านน้ำตกได้สำเร็จ แต่กลับแผ่วเบาไร้เรี่ยวแรงเต็มที อย่าว่าแต่ต่อยให้เกิดหลุมเว้าได้เลย เกรงว่าแม้แต่ร่องรอยสักนิดก็คงไม่เหลือทิ้งไว้
—–