กระบี่ที่พกอยู่ตรงเอวของซ่งอวี่เซา เขาไปเอามาจากน้ำตกเมื่อวาน คืออาวุธเทพที่ผู้ฝึกลมปราณทุกคนต้องหลบเลี่ยงประกายแหลมคม มีชื่อว่า ‘ตั้งตระหง่าน’
ในความเป็นจริงแล้วครั้งแรกที่ซ่งอวี่เซาพบกระบี่เล่มนี้คือที่บ่อลึกเบื้องใต้น้ำตก อีกอย่างในหินยักษ์ที่เป็นดั่งเสาเอกของบ่อน้ำที่เฉินผิงอันใช้ฝึกยืนนิ่งเจี้ยนหลูก็มีกลไกลับซ่อนอยู่ ปีนั้นเพราะโชควาสนาซ่งอวี่เซาจึงได้เจอกับกระบี่เล่มนี้โดยบังเอิญ ทั้งเวทกระบี่และชื่อกระบี่ต่างก็เติมเต็มซึ่งกันและกัน กาลต่อมาถึงได้มีอริยะกระบี่แห่งแคว้นซูสุ่ย
หลังจากซ่งเกาเฟิงบุตรชายตายไป ซ่งอวี่เซาก็เปลี่ยนกระบี่เล่มใหม่ เอากระบี่ตั้งตระหง่านที่ฝักกระบี่ทำขึ้นจากไม้ไผ่เขียวเล่มนี้กลับไปซ่อนไว้ในหินยักษ์อีกครั้ง ซ่งอวี่เซาเคยพลิกเปิดตำรามากมาย สุดท้ายพบบันทึกประวัติศาสตร์หน้าหนึ่ง ว่ากันว่ากระบี่เล่มนี้ถูกเทพแห่งการต่อสู้คนหนึ่งของทวีปอื่นสร้างขึ้นมาเองกับมือ แต่มาทำหายที่แจกันสมบัติทวีป จากนั้นก็ไม่พบร่องรอยอีก มีบันทึกท่อนหนึ่งกล่าวไว้ว่า ‘ประกายแสงผ่าห้าขุนเขา ปราณกระบี่ฟันแม่น้ำใหญ่’
ซ่งอวี่เซาในเวลานี้พกกระบี่เล่มยาวที่ฝักกระบี่เริ่มกลายเป็นสีเหลือง ทอดสายตาไปทางขบวนทัพของราชสำนักที่พลันลดความเร็วลง ไม่ผิดต่อนามของกระบี่คู่ใจ ผู้เฒ่าชุดดำก็ยืนตระหง่าน สีหน้าไร้ความกริ่งกลัวเช่นกัน
‘ทัพใหญ่ปราบกบฏ’ ที่มีเกือบหมื่นคนของแคว้นซูสุ่ยทัพนี้ พลทหารม้าสามพันนายในนั้นคือญาติสายตรงของแม่ทัพใหญ่ฉู่หาว ทุกคนล้วนมีชาติกำเนิดมาจากสมรภูมิชายแดน คือทหารกล้าอันดับหนึ่งของแคว้นซูสุ่ย นอกจากนี้ยังมีทหารกล้าที่ระดมมาจากฐานทัพของท้องถิ่นอีกสี่ห้าพันนาย ส่วนอีกพันกว่าคนคือมือปราบที่ดึงตัวมาจากที่ว่าการของเมือง รวมไปถึงจอมยุทธ์ในยุทธภพที่ถูกซื้อตัวมาด้วยเงินจำนวนมาก แน่นอนว่ายังมียอดฝีมือในยุทธภพอีกบางส่วนที่แม่ทัพใหญ่ฉู่หาวรวบรวมมาด้วยตัวเอง ซึ่งทุกคนแทบจะมาจาก ‘สินเจ้าสาว’ ที่อุดมสมบูรณ์ซึ่งปีนั้นโอรสสวรรค์เป็นพ่อสื่อสู่ขอสตรีผู้นั้นให้เขาด้วยตัวเอง แม้ว่าพ่อตาของเขาจะตายไปเพราะถูกตามล้างแค้น แต่ก่อนหน้านั้นจะดีจะชั่วเขาก็เคยเป็นผู้นำในยุทธภพมานานถึงยี่สิบปี แถมยังมีราชสำนักเป็นที่พึ่ง แอบเลี้ยงกองกำลังอย่างลับๆ ไว้มากมาย หลังจากเขาตาย กองกำลังเหล่านั้นก็กลายมาเป็นข้ารับใช้ เป็นหน่วยกล้าตายของลูกเขยอย่างฉู่หาว
ต่อให้ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ สตรีที่นอนเคียงหมอนฉู่หาวก็ยังอาฆาตแค้นหมู่บ้านวารีกระบี่อย่างลึกล้ำ กลายเป็นเงื่อนตายในใจที่ไม่อาจคลายออกได้
สำหรับเรื่องนี้ฉู่หาวเองก็รู้ดี แม้ปากจะเออออคล้อยตาม แต่เขาไม่มีทางทำอะไรบุ่มบ่ามแน่นอน หากฮ่องเต้ยังไม่เปิดปาก เขาก็ไม่มีทางใช้สถานะของจวนแม่ทัพใหญ่ออกหน้าไปท้าทายปรมาจารย์ใหญ่แห่งวิถีวรยุทธ์ที่มีวิชากระบี่เป็นเลิศของแคว้นซูสุ่ย ดังนั้นสตรีผู้นั้นจึงคอยพร่ำตำหนิอย่างไม่พอใจ ยังดีที่คราวนี้หมู่บ้านวารีกระบี่รนหาที่ตายเอง ฮ่องเต้ทรงพิโรธอย่างหนัก ฉู่หาวจึงได้โอกาสนำทัพตามคำบัญชา ทุกอย่างจึงสอดคล้องกันไปหมด
บอกตามตรง ภรรยามีปมในใจที่ยากจะคลายออก ฉู่หาวที่เป็นบุคคลผู้ทรงอิทธิพลซึ่งใช้ชีวิตอยู่ริมชายแดนมานานหลายปี เคยเห็นการวางแผนเพื่อความสามัคคีและความแตกแยกในวงการขุนนางมาก่อน เขาเองก็มีปมในใจเหมือนกัน เจ้าเป็นแค่สตรีคนหนึ่ง ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าซ่งเกาเฟิงแต่งงานนานแล้ว พวกเขาสองสามีภรรยารักใคร่กันดี แถมยังมีบิดาเป็นอริยะกระบี่ เจ้าอาศัยอะไรถึงจะทำให้เขาต้องหย่าภรรยามาแต่งงานกับเจ้า เพียงแค่เพราะเจ้าเป็นบุตรสาวของผู้นำยุทธภพ? จากนั้นพอเจ้าโมโห ก็เลยจ้างคนไปทำลายสวนดอกไม้? ทำลายชีวิตของผู้หญิงคนนั้น? หากเปลี่ยนมาเป็นเขาฉู่หาวก็คงยกทัพใหญ่ใต้บังคับบัญชาของตัวเองเข่นฆ่าให้เลือดนองเป็นสายน้ำไปแล้ว
แต่จะว่าไปแล้ว ฉู่หาวก็ไม่ใช่ซ่งเกาเฟิงผู้น่าสงสารที่ต้องรับเคราะห์กรรมอย่างไร้สาเหตุผู้นั้น ในเมื่อเป็นสามีภรรยากันแล้ว ได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้ ได้แต่งงานกับสตรีที่งดงามดุจบุปผา ในมือยังมียอดฝีมือของยุทธภพให้เรียกใช้งานอีกหลายสิบคน ยิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัว ทำการค้าที่ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำแบบนี้ ฉู่หาวผู้กล้าแกร่งจึงไม่ได้ยึดติดกับปมในใจเล็กๆ น้อยๆ นี้ อีกอย่างวันที่อดีตผู้นำยุทธภพล้างมือลาจากวงการ ซ่งเกาเฟิงที่รูปโฉมถูกทำลายใช้กำลังของเขาคนเดียวสังหารผู้เฒ่า ก็ทำให้สตรีผู้นั้นสงบสำรวมขึ้นกว่าเก่าเยอะมาก โดยรวมแล้วก็พอจะเรียกได้ว่าเป็นภรรยาที่ดี ช่วยเหลือสามีดูแลอบรมบุตร ผูกสัมพันธไมตรีกับผู้คนในเมืองหลวงและฮูหยินตราตั้งคนอื่นๆ เป็นวงกว้าง ช่วยเพิ่มเกียรติยศหน้าตาให้กับฉู่หาวไม่น้อย หนทางในอนาคตของเขาจึงราบรื่นกว้างไกลขึ้นมาก ฉู่หาวรู้สึกว่าข้อนี้ต้องขอบคุณเจ้าคนแซ่ซ่งผู้นั้นที่มอบบทเรียนให้นาง หาไม่แล้วคนที่ต้องลำบากย่อมเป็นตน
ครั้งนี้ก่อนจะออกจากเมืองหลวง ภรรยาของเขาแอบติดตามมาด้วย ตอนนี้นางแอบอาศัยอยู่ในเมืองอย่างลับๆ นางเสนอว่าหลังจากเหยียบย่ำหมู่บ้านวารีกระบี่ให้ราบเป็นหน้ากลองได้แล้ว ซ่งอวี่เซาอริยะกระบี่เฒ่าไม่ต้องตายก็ได้ หากเขาหนีได้ก็ปล่อยไป แต่เจ้าเศษสวะซ่งเฟิ่งซานที่ว่ากันว่าหน้าตาเหมือนมารดาผู้นั้นต้องแหลกสลายกลายเป็นผุยผง ถึงเวลานั้นนางจะเอาโกศใส่อัฐิของซ่งเฟิ่งซานไปทุบทำลายที่หน้าหลุมศพสุนัขชายหญิงคู่นั้นให้เละ ให้พวกเขาได้เห็นว่าควันธูปของสกุลซ่งขาดหายไปกับตาตัวเอง
พิษงูเขียวใบไม้ หรือพิษตัวต่อเหลือง หากรักษาทันเวลายังหายได้ แต่พิษที่ร้ายที่สุดก็คือใจของสตรี
ไม่เสียแรงที่เป็นภรรยาเอกซึ่งเขาฉู่หาวแต่งเข้าบ้านมา ดีจริงๆ!
ฉู่หาวเก็บความคิดทั้งหมดลง มือหนึ่งดึงเชือกบังคับม้า อีกมือหนึ่งยกขึ้นบังแสงอาทิตย์ ควบม้าเหยาะย่างพลางมองไกลไปเบื้องหน้าอย่างสบายอารมณ์
ถนนทางหลวงของที่แห่งนี้กว้างขวาง สองข้างทางก็เป็นพื้นที่ราบเรียบ ไม่เพียงแต่เหมาะให้พลเดินเท้าเดินขบวนผ่าน ต่อให้ควบม้าศึกพุ่งไปก็ไม่ลำบากมากนัก ตาแก่ซ่งที่ถืออำนาจวางโตในยุทธภพช่างเป็นคนบุ่มบ่ามไม่รู้จักกลัวตาย ไม่เข้าใจการทำสงครามเลยจริงๆ แล้วยังกล้าทำตัวเป็นวีรบุรุษ สมควรจะแหลกเป็นจุลไปพร้อมกับหมู่บ้านวารีกระบี่ของเขานั่นแหละ
ฉู่หาวมองผู้เฒ่าที่ต่อให้เป็นคนอยู่ไกลถึงเมืองหลวงก็ยังเคยได้ยินชื่อแล้วกระตุกมุมปาก ลดมือลง ใช้ฝ่ามือถูดาบตัดกระดาษสีทองที่ฮ่องเต้พระราชทานให้ เอ่ยพร้อมยกยิ้ม “น่าเสียดายมาดที่ห้าวหาญนี้นัก ก็ดีเหมือนกัน วันหน้าเวลาคนรุ่นหลังพูดถึงเรื่องนี้ก็มีแต่จะพูดว่าข้าฉู่หาวสังหารอริยะกระบี่คนหนึ่งหน้ากองทัพ”
คำกล่าวที่ว่าต้านทานศัตรูนับหมื่นในสนามรบก็เป็นเพียงถ้อยคำสวยหรูเกินจริงของนักประพันธ์ห่วยๆ เท่านั้น บนอาณาเขตที่กว้างขวางของหลายสิบแคว้นซึ่งรวมถึงแคว้นซูสุ่ยนี้ มีทหารกล้าที่ไม่อาจดูแคลน พละกำลังเปี่ยมล้น เชี่ยวชาญการวางกับดักหลุมพรางก็จริง หากมีม้าเทพ (เป็นคำเปรียบเปรยถึงม้าที่ดีมีพละกำลังแข็งแรง เดินทางได้พันลี้) ให้ขี่ก็ยิ่งเหมือนพยัคฆ์ติดปีก ทว่าหนึ่งคนต่อกรหมื่นศัตรู? ไม่เคยมีอยู่จริง
ฉู่หาวมีประสบการณ์การต่อสู้มาเป็นร้อยๆ ครั้ง ไม่ใช่ปัญญาชนที่ดีแต่นอนเสพสุขอยู่บนเตียง แต่กระนั้นเขาก็ไม่เคยเห็นใครที่เทพขนาดนั้นมาก่อน
ซ่งอวี่เซายืนอยู่ที่เดิม ในเมื่อเดินมาถึงที่นี่แล้ว ผู้เฒ่าก็ไม่คิดจะถอยกลับแม้เพียงก้าวเดียว เพียงแต่ว่าพอหันมองไปข้างหลังก็ให้รู้สึกจนใจไม่น้อย
เจ้าเฉินผิงอันจะมาร่วมวงสนุกอะไรด้วย?
คราวนี้เฉินผิงอันสะพายกล่องกระบี่ที่บรรจุกำจัดปีศาจปราบมารมาด้วย อีกทั้งยังรัดเชือกไว้อย่างแน่นหนา
เขาวิ่งเหยาะๆ มาตลอดทางจนมาถึงข้างกายของซ่งอวี่เซา
ผู้เฒ่ากล่าวด้วยน้ำเสียงมีโทสะเล็กน้อย “ตอนที่เจ้าทะเลาะกับคนของหมู่บ้านเหิงเตาที่ศาลาริมน้ำ ข้าเคยพูดว่า ‘เดินทางอยู่ในยุทธภพ เป็นตายต้องรับผิดชอบเอง’ เฉินผิงอัน เจ้ารู้ความหมายของประโยคนี้หรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
ซ่งอวี่เซาโมโหจัดจนกลายเป็นขำ “เจ้าเข้าใจกะผีน่ะสิ! หวังซานหูผู้นั้นชี้ปลายฝักดาบเข้าใส่เจ้า นี่ก็คือการท่องอยู่ในยุทธภพของนาง ข้ารับใช้ของหัวหน้าหมู่บ้านที่ง้างธนูยิงใส่คนลับหลัง นี่ก็ใช่ ทุกครั้งที่หลานชายของข้าซ่งเฟิ่งซานหาคนมาประลองกระบี่ก็ใช่เหมือนกัน และการที่ข้าซ่งอวี่เซามาขวางอยู่หน้ากองทัพใหญ่ในวันนี้ก็ยิ่งไม่แตกต่าง!”
ซ่งอวี่เซากล่าวด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดรวบรัด สุดท้ายหลงเหลือเพียงเสียงถอนหายใจ “เฉินผิงอัน เจ้าไม่ควรมา”
เฉินผิงอันพูดเบาๆ “ไม่ว่าวันนี้ผู้อาวุโสซ่งจะทำอะไร เรื่องที่ข้าต้องรับผิดชอบมีเพียงเรื่องเดียว นั่นคือพาผู้อาวุโสซ่งออกไปจากที่นี่โดยที่ยังมีชีวิตอยู่ เพียงแค่นี้เท่านั้น ข้าจะไม่ฆ่าใคร”
เฉินผิงอันเอ่ยเสริมอีกประโยคว่า “จะพยายามไม่ฆ่าใคร”
ซ่งอวี่เซาสูดหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง พยายามปรับอารมณ์ให้สงบนิ่งเพื่อพูดเกลี้ยกล่อมอีกฝ่าย “ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายเท่ากับเป็นสองทัพที่คุมเชิงกันอยู่ เจ้าบอกว่าจะไม่ฆ่าคนก็ไม่ฆ่าคนได้หรือ? เจ้าคิดว่านี่เป็นเหมือนเด็กเล่นขายของหรือไง ในกองทัพใหญ่มีทหารม้าหลายพันนายที่สามารถควบตะบึงอย่างอิสระเสรี มีพลเดินเท้าสวมเกราะหนักที่จัดขบวนรบยิ่งใหญ่ดุจขุนเขา และยังมีพลธนูอีกหลายพันที่เล็งธนูมาที่เจ้า ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็พร้อมระดมยิงใส่เจ้าเหมือนฝนห่าใหญ่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมือดีอีกหลายสิบคนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของฉู่หาว รวมไปถึงพวกนายกองที่ได้ครอบครองธนูเทพของสำนักการทหารอยู่ในมือ ธนูเทพนี้คืออาวุธหนักที่ทางราชสำนักสร้างขึ้นเพื่อใช้รับมือกับผู้ฝึกลมปราณและปรมาจารย์ในยุทธภพโดยเฉพาะ ต่อให้เป็นข้าซ่งอวี่เซา หากโดนยิงเข้าที่จุดสำคัญก็ต้องบาดเจ็บสาหัสเหมือนกัน!”
เฉินผิงอันถามกลับ “ในเมื่ออีกฝ่ายร้ายกาจขนาดนี้ ผู้อาวุโสมาที่นี่ก็เพื่อพาตัวเองมาตายหรือ?”
ซ่งอวี่เซาพูดเสียงหนัก “ข้าจะใช้หลักคิดจะจับโจรต้องจับหัวหน้าโจรก่อน จะพยายามจับตัวฉู่หาวแม่ทัพใหญ่ให้ได้ในคราวเดียว กองทัพใหญ่จะได้เป็นดั่งมังกรหัวขาด จากนั้นก็ข่มขู่ฉู่หาวให้มอบตัวสตรีผู้นั้นมา หากข้าทำเรื่องนี้คนเดียวก็มีความมั่นใจห้าส่วน แต่หากเจ้าติดตามข้าบุกเข้าไปใจกลางวงล้อมศัตรู หากถูกล้อมขึ้นมา ก็มีแต่จะกลายเป็นภาระของข้า ดังนั้นฟังข้าสักคำ รีบกลับไปที่หมู่บ้าน พาเพื่อนสองคนของเจ้าออกห่างจากสถานที่อันตรายแห่งนี้”
ซ่งอวี่เซาเงยหน้าขึ้น ตอนนี้เริ่มเข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว แต่ยังมีท้องนภางดงามกับแสงแดดอบอุ่นแบบนี้ได้ นับว่าไม่เลวเลยจริงๆ เขาหันหน้าไปมองเด็กหนุ่มจากทิศเหนือ ยิ้มบางๆ ให้อีกฝ่าย “เฉินผิงอัน ความหวังดีของเจ้า ข้ารับไว้แล้ว แต่ข้าซ่งอวี่เซาจะเป็นหรือตาย หมู่บ้านวารีกระบี่จะอยู่หรือรอด เมื่อเจ้าถามใจตัวเองก็ไม่จำเป็นต้องละอาย ท่องอยูในยุทธภพ แค่นี้ยังไม่พออีกหรือ? พอมากแล้ว!”
เฉินผิงอันตบไปที่น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอว กล่าวพร้อมยิ้มเจิดจ้า “ข้าไม่ได้โม้จริงๆ นะ แต่หากข้าวิ่งขึ้นมา ขาสองข้างของข้าต้องเร็วกว่าสี่ขาของม้าศึกอย่างแน่นอน อีกอย่างข้ายังมีสมบัติก้นกรุที่ช่วยคุ้มครองชีวิต ผู้อาวุโสไม่ต้องเป็นห่วงข้า เชิญท่านจัดการกับฉู่หาวผู้นั้นได้ตามสบาย หากไม่มีความมั่นใจนี้ วันนี้ข้าก็คงไม่ปรากฏตัว”
ซ่งอวี่เซาร้อนใจอย่างยิ่ง ใจคิดอยากจะเขกมะเหงกใส่ศีรษะของเจ้าเด็กบื้อผู้นี้แรงๆ “เจ้าทึ่ม! เจ้าคิดจริงๆ หรือว่ากาเหล้าผุๆ ของเจ้าคือน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ของเทพเซียน? อีกอย่างเจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่หล่อหลอมเรือนกาย ต่อให้มีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่จริง แล้วจะมีประโยชน์อะไร?”
เฉินผิงอันขยับเท้ามายืนอยู่ด้านหลังซ่งอวี่เซาตรงตำแหน่งที่กองทัพของราชสำนักซูสุ่ยจะมองไม่เห็น แล้วตบลงไปบนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ด้านใต้สลักคำว่า ‘เจียงหู’ หนักๆ หนึ่งที เอ่ยเสียงทุ้ม “ชูอี มีคนดูถูกเจ้าแน่ะ ออกมา”
ซ่งอวี่เซายืนอึ้งอยู่ตรงนั้น
ทำอะไรน่ะ?
น้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาดไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ
เฉินผิงอันกระอักกระอ่วนเล็กน้อย “สืออู่”
เสียงสวบดังหนึ่งครั้ง แสงกระบี่สีมรกตน่าครั่นคร้ามกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมาจากน้ำเต้าอย่างรวดเร็ว ความเร็วนั้นเทียบเคียงได้กับสายฟ้าลมกรด กระบี่เล่มเล็กที่เป็นสีใสแวววาวพลันหยุดนิ่งอยู่ตรงกลางระหว่างคนทั้งสอง จากนั้นก็ส่ายไหวน้อยๆ ราวกับจะขอรางวัลจากเจ้านายอย่างเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันรู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่าบรรพบุรุษน้อยสองตนในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ใบนี้ กระบี่บินสืออู่อ่อนโยนว่าง่าย เฉินผิงอันเล็งเป้าหมายไปที่ไหน ปลายกระบี่ของสืออู่ก็จะชี้ไปที่นั่น เรียกได้ว่าเป็นเหมือนสำลีน้อยผู้เอาใจใส่ ส่วนนายท่านใหญ่อย่างชูอีนั้นชอบวางมาดใหญ่โตยิ่งกว่าแผ่นฟ้าเสียอีก เว้นเสียแต่ว่าเป็นสถานการณ์อันตรายที่ตัดสินเป็นตาย หรือตัวมันเองเกิดความสนใจ นอกเหนือจากนี้เฉินผิงอันก็แทบจะเรียกใช้งานมันไม่ได้ แต่เฉินผิงอันก็ไม่คิดจะบีบบังคับ ไม่คาดหวังให้ชูอีทำทุกอย่างตามที่เขาต้องการอย่างสืออู่ อย่างน้อยในช่วงเวลาสำคัญหลายครั้งที่ผ่านมา ชูอีก็ไม่เคยกลั่นแกล้งเล่นงานเขามาก่อน
ซ่งอวี่เซากล่าวอย่างตกตะลึง “นี่คือน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ของเซียนกระบี่ใหญ่จริงๆ รึ?!”
เฉินผิงอันยิ้มกว้าง
แต่การตัดสินใจและคำพูดถัดมาของซ่งอวี่เซาก็ยังคงเต็มไปด้วยความคร่ำครึของยุทธภพเก่า เขาตบไหล่เฉินผิงอันพลางกล่าวว่า “เฉินผิงอัน จำเอาไว้ ผู้มีสถานะสูงส่งไม่มีทางพาตัวเข้าหาอันตรายง่ายๆ! ไปเถอะ แค่เจ้ามาส่งข้าที่นี่ก็ถือว่ามีน้ำใจมากแล้ว ในเมื่อเส้นทางวิถีวรยุทธ์ของเจ้าราบรื่นมากแล้ว อีกทั้งยังมีสมบัติล้ำค่าติดกาย ก็ยิ่งควรถนอมความปลอดภัยที่มีในเวลานี้เอาไว้ ไปๆๆ ไม่ต้องพูดจู้จี้จุกจิกแล้ว ไม่อย่างนั้นเชื่อหรือไม่ว่าก่อนจะประมือกับกองทัพใหญ่ ข้าจะตบให้เจ้าหน้าทิ่มเปื้อนดินไปซะก่อน?!”
ซ่งอวี่เซาพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน “ข้าซ่งอวี่เซาพูดคำไหนคำนั้น!”
แต่ก็ยังมีข้อยกเว้น
กลิ่นอายแห่งยุทธภพที่เปี่ยมล้นอยู่ทั่วกายของเด็กหนุ่มผู้เพิ่งออกมาผจญโลกกว้างกลับไม่เป็นรองซ่งอวี่เซาคนเก่าแก่ในยุทธภพเลยแม้แต่น้อย
เด็กหนุ่มจากทิศเหนือที่สวมรองเท้าแตะ สะพายกล่องกระบี่ ตรงเอวห้อยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ในน้ำเต้ามีกระบี่บิน เดินข้ามพันภูเขาหมื่นแม่น้ำมาแล้วคนนี้กล่าวกับผู้เฒ่าด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าเฉินผิงอันที่มาจากตรอกหนีผิงอำเภอไหวหวางเขตการปกครองหลงเฉวียนต้าหลีก็กำลังท่องอยู่ในยุทภพเช่นกัน!”
ผู้เฒ่าหมุนตัวกลับ กล่าวกลั้วหัวเราะเสียงดัง “เจ้าเด็กน้อย เจ้าโง่หรือไง?”
เฉินผิงอันก้าวไปข้างหน้า ขยับมาเดินเคียงไหล่ผู้เฒ่า “ข้ายังต้องเลี้ยงหม้อไฟท่านคืนหนึ่งมื้อ”
ผู้เฒ่ายังคงไม่วางใจ แม้ว่าสายตาจะทอดมองไปข้างหน้า แต่ก็ยังจำต้องถามว่า “หากท่าไม่ดี เจ้าคิดหนีก็จะหนีได้จริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้าไม่เพียงแต่มีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่และกระบี่บินป้องกันกาย เมื่อคืนวานข้ายังเขียนยันต์ย่อพื้นที่รวดเดียวยี่สิบแผ่น สามารถช่วยให้ข้าย่อพื้นที่ให้สั้นลง หากคิดจะหนีจริงๆ ความเร็วนั้นรับรองว่าดังสวบๆๆ แม้แต่ข้าเองก็ยังอดยกนิ้วโป้งให้ไม่ได้”
แม้ฟังดูแล้วจะเหมือนพูดตลก แต่ผู้เฒ่าหันหน้าไปมองประเมินสีหน้าของเด็กหนุ่มอย่างละเอียดก็เห็นว่าเขาไม่เหมือนคนที่กำลังล้อเล่นเลยสักนิด
ผู้เฒ่าจึงวางใจลงได้ พลังอำนาจของเขาพลันทะลุสู่ชั้นเมฆ เอามือกดลงบนด้ามกระบี่ ‘ตั้งตระหง่าน’ “ดี! ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะรอเจ้าเลี้ยงหม้อไฟ!”
เฉินผิงอันพลันเอ่ยขึ้นมาเบาๆ ว่า “ไปกินหม้อไฟที่ภัตตาคาร เอาเหล้าไปเองได้หรือไม่?”
มีทั้งน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ กระบี่บินและยันต์ย่อพื้นที่อะไรนั่น ก็ยังไม่ยอมเปลี่ยนพฤติกรรมของคนขี้งก
ผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ทำไมจะเอาไปไม่ได้เล่า ต้องได้อยู่แล้ว!”
ซ่งอวี่เซากระโจนไปข้างหน้า ชักกระบี่ยาวออกจากฝัก ปราณกระบี่ล้อมวนไปทั่วฟ้าดิน กล่าวกลั้วหัวเราะเสียงกังวาน “ขอให้ข้านำหน้าไปก่อน เจ้าตามหลังข้ามาก็พอ!”
—–