ซ่งอวี่เซานึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ความขัดแย้งในศาลาริมน้ำครั้งนั้น ดูเหมือนว่าเจ้าจะสั่งสมไฟโทสะไว้จนเต็มท้อง ข้ารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย หากข้าซ่งอวี่เซาใช้สายตาของคนนอกที่เป็นเพียงคนในยุทธภพธรรมดาคนหนึ่งมามอง ตามหลักแล้ว ถ้ายังไม่รู้รากฐานของเจ้า หวังอี้หรานเป็นถึงผู้นำแห่งหมู่บ้านเหิงเตา เป็นปรมาจารย์ที่มีชื่อเสียงในยุทธภพมานาน สามารถปฏิบัติต่อเด็กหนุ่มเช่นเจ้าอย่างมีมารยาท ไม่เพียงแต่ไม่อาศัยกำลังที่มากกว่ารังแกคนอื่น ยังยินดีขอโทษแทนบุตรสาว เหตุใดถึงดูเหมือนว่าเจ้าจะ…ไม่ค่อยเต็มใจอยากยอมแพ้?”
เฉินผิงอันเรอเอิ้กหนึ่งที ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวลง แต่ไม่ได้ดื่มเหล้า ใช้เวลาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็กล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าไม่ได้มีอคติต่อหวังอี้หราน แต่ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้มีจุดที่ไม่ถูกต้อง”
ซ่งอวี่เซาถามอย่างแปลกใจ “หมายความว่าอย่างไร?”
เฉินผิงอันดื่มเหล้าอีกหนึ่งคำตามจิตใต้สำนึก อาศัยฤทธิ์เหล้าที่ทำให้มึนงงเอ่ยเนิบช้าว่า “ข้าเคยได้ยินอาจารย์ผู้เฒ่าคนหนึ่งเอ่ยถึงเรื่องของลำดับขั้นตอน ข้าไม่เคยเรียนหนังสือ ตัวอักษรที่อ่านออกมีไม่มาก ความเข้าใจจึงตื้นเขินมาก แต่เวลาที่ไม่มีอะไรทำก็ยินดีเอาความรู้พวกนี้มาขบคิด รู้สึกว่าผิดถูกมีก่อนหลัง แน่นอนว่ายังมีแบ่งเล็กใหญ่ ไม่สามารถเอาความถูกต้องในภายหลังมากลบทับความผิดในเบื้องหน้า ต่อให้ความถูกต้องในภายหลังจะมีสูงมาก ความผิดในช่วงก่อนหน้ามีน้อยนิด แต่ก็ยังต้องเอาความผิดในตอนแรกมาพูดคุยกันให้กระจ่างเสียก่อน เมื่ออธิบายเหตุผลได้อย่างชัดเจนครบถ้วนแล้ว ความถูกต้องในภายหลังถึงจะสามารถหยัดยืนได้อย่างมั่นคง นี่ก็เหมือนกับการที่…คนคนหนึ่งไม่สามารถเดินด้วยการกระโดดได้”
“แต่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ที่ข้าใคร่ครวญออกมาได้ อาจจะไม่มีเหตุผลเลย เพราะการเดินทางลงใต้ในครั้งนี้ ข้าได้อ่านตำรามากมาย ในตำราล้วนไม่มีเรื่องพวกนี้กล่าวไว้ ดังนั้นข้าก็เลยไม่กล้าแน่ใจว่าตัวเองคิดผิดหรือคิดถูก แต่หากอิงตามหลักการของข้า ยกตัวอย่างเช่นเรื่องในศาลาริมน้ำ อันที่จริงเจ้าหวังอี้หรานไม่จำเป็นต้องขอโทษข้าเลย แค่ให้ลูกสาวของเจ้าเดินออกมาพูดกับข้าว่าขอโทษ แค่คำเดียวก็พอแล้ว ไม่อย่างนั้นพอถึงท้ายที่สุดเจ้าหวังอี้หราน ปรมาจารย์ใหญ่ในยุทธภพผู้มีชื่อเสียงต้องคอยมาขอโทษแทนคนอื่น แล้วข้าจำเป็นต้องรับไว้ด้วยหรือไง? ต่อให้ถอยไปพูดหนึ่งก้าว ข้ายินดียอมรับคำขอโทษ ก็จะถือว่าลูกสาวของเจ้าไม่มีความผิดแล้วอย่างนั้นหรือ? ข้าคิดว่าไม่ควรเป็นอย่างนี้ ต่อให้เจ้าหวังอี้หรานจะทำถูกแค่ไหน คำพูดและการกระทำของลูกสาวเจ้าผิด ก็คือผิด วันนี้เป็นอย่างนี้ พรุ่งนี้เป็นอย่างนี้ วันหน้าอีกสิบปีเปลี่ยนคู่กรณีเป็นคนอื่น หญิงสาวพกดาบที่ชื่อว่าหวังซานหูคนนั้นก็อาจจะยังทำผิดอยู่ดี”
เฉินผิงอันมือหนึ่งถือน้ำเต้าบรรจุกระบี่ อีกมือหนึ่งเกาหัว “ผู้อาวุโสซ่ง เรื่องพวกนี้ข้าพูดไปส่งเดชอย่างนั้นเอง ขายหน้าท่านแล้ว”
ซ่งอวี่เซาอึ้งตะลึงไปก่อน จากนั้นก็เลื่อนลอย สุดท้ายเผยสีหน้ากระจ่างแจ้ง รู้สึกเพียงว่ายุทธภพที่ตนเคยรู้จักพลิกคว่ำคะมำหงายไปอย่างสิ้นเชิง
สุดท้ายซ่งอวี่เซาย้อนนึกถึงเรื่องราวตลอดชีวิตที่ผ่านมา โดยเฉพาะความทรงจำเกี่ยวกับบุตรชายซ่งเกาเฟิงที่เขาไม่อยากหวนนึกถึง เดิมทีผู้เฒ่าไม่อยากจะคิดถึงมันอีกต่อแล้ว ยิ่งไม่อยากสืบสาวราวเรื่องถึงบุญคุณความแค้นทั้งหลาย แต่จนกระทั่งวันนี้ จนกระทั่งบัดนี้ ผู้เฒ่าถึงได้ค้นพบว่าแท้ที่จริงแล้วปมในใจของตนอยู่ตรงไหน แล้วเหตุใดทั้งๆ ที่ตนละอายใจเจ็บแค้นถึงเพียงนี้ แต่กลับไม่เคยคลายปมในใจนี้ได้เลย
ผู้เฒ่าตาแดงก่ำ มือสั่นๆ ยกตะเกียบขึ้นคีบอาหารชิ้นหนึ่งที่อยู่ในก้นหม้อไฟ ยัดใส่ปากเคี้ยวช้าๆ บนใบหน้าค่อยๆ ปรากฏรอยยิ้ม
กฎเกณฑ์เก่าแก่ที่คนรุ่นเก่าในยุทธภพตั้งเป็นมาตรฐาน ถูกมองเป็นกฎเหล็กไม่อาจเปลี่ยนแปลง ที่แท้ ที่แท้ก็มีส่วนที่ผิดอยู่เหมือนกัน!
ปีนั้นซ่งเกาเฟิงบุตรชายของตนผิดตรงไหน? ต่อให้มีความผิด ก็เป็นคนสันดานหยาบช้าในยุทธภพที่ผิดก่อน!
เป็นอดีตผู้นำยุทธภพที่มีชาติกำเนิดเป็นแม่ทัพแห่งสมรภูมิรบคนนั้นที่ผิดก่อน ความแค้นครั้งนั้นไม่ใช่เรื่องที่แขนข้างเดียวจะหายกันได้!
เป็นลูกสาวของเจ้าที่ติดค้างลูกชายของข้าซ่งอวี่เซา ติดค้างคำว่าขอโทษกับลูกสะใภ้ของข้า!
ซ่งอวี่เซาที่ปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้มต่อหน้าเด็กหนุ่มโดยไม่อายค่อยๆ วางตะเกียบลง ลุกขึ้นยืน หัวเราะเสียงดังอย่างปล่อยวางกับเฉินผิงอัน “อาหารมื้อนี้ ข้าซ่งอวี่เซาขอเป็นตัวแทนลูกชายและลูกสะใภ้ เป็นตัวแทนของหมู่บ้านวารีกระบี่เลี้ยงเจ้าเอง!”
เสียงฮือฮาดังขึ้นบนชั้นสองของภัตตาคาร
เพราะคำว่าซ่งอวี่เซาและคำว่าหมู่บ้านวารีกระบี่!
เพราะนี่หมายถึงชื่อเสียงและความสง่างามครึ่งหนึ่งของยุทธภพแคว้นซูสุ่ย
สุดท้ายผู้เฒ่ากุมหมัดเอ่ยกับเฉินผิงอันว่า “ข้ามีเรื่องจะพูดกับหลานชาย คงต้องขอตัวกลับหมู่บ้านก่อน หลังจากนี้อาจไม่ได้บอกลาเจ้า ถ้าอย่างนั้นก็ขอเอ่ยประโยคเก่าแก่ในยุทธภพ ภูเขาเขียวไม่เปลี่ยน น้ำใสไหลยาว หวังว่าวันหน้าพวกเราจะมีโอกาสได้พบกันใหม่!”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนด้วยความมึนงง เห็นเพียงว่าผู้เฒ่าพุ่งตัวออกจากหน้าต่าง ทะยานตัวไปตามหลังคา
ซ่งอวี่เซาพกกระบี่เหล็กที่มีสนิมเขรอะเล่มนั้นมานานหลายปีแล้ว ผู้เฒ่าเหินทะยานไปจนถึงหน้าประตูของหมู่บ้านภายใต้การจับจ้องมองมาของคนมากมาย จากนั้นก็ก้าวยาวๆ ข้ามผ่านธรณีประตูเข้าไป ไม่สนใจคำทักทายอย่างมีมารยาทจากใครอื่น มุ่งหน้าตรงไปยังเรือนเล็กแห่งหนึ่งที่ไม่มีคนอยู่อาศัยมานานหลายปี แล้วจึงเจอกับคนหนุ่มที่กำลังยืนหลับตาทำสมาธิอยู่ห่างไปไกล ซึ่งก็คือซ่งเฟิ่งซานหลานชายของเขา
ซ่งเฟิ่งซานลืมตาขึ้น ไม่เอ่ยคำใดเหมือนปีนั้นที่นั่งเฝ้าอยู่หน้าเตียงของบิดามารดาที่ป่วยไข้ตอนเขายังเป็นเด็ก
ซ่งอวี่เซาปลดกระบี่เหล็กตรงเอวลง กำไว้ในมือข้างเดียว ยื่นส่งมันให้กับซ่งเฟิ่งซานที่สีหน้าเฉยเมย ฝ่ายหลังถามว่า “ทำไม?”
ซ่งอวี่เซากล่าวเสียงหนัก “นี่คือกระบี่ของซ่งเกาเฟิงบิดาของเจ้า บุตรสืบทอดกิจการของบิดา ก็ควรมอบมันให้กับมือของเจ้าซ่งเฟิ่งซาน”
ซ่งเฟิ่งซานไม่ได้ยื่นมือมารับ เขากล่าวเย้ยหยันว่า “อ้อ มีเรื่องประหลาดอีกแล้วหรือนี่ ก่อนหน้านี้ท่านปู่กลับมาถึงก่อนกำหนด ร่วมแสดงความยินดีกับข้าเรื่องงานพิธีแต่งตั้งผู้นำยุทธภพ ตอนนี้ยังจะมามอบกระบี่ผุๆ เล่มหนึ่งให้ข้าอีก ทำไม จู่ๆ ท่านปู่ก็อยากปลดภาระที่มีต่อแคว้นซูสุ่ยและหมู่บ้านวารีกระบี่ คิดจะหาความสงบสุขในบั้นปลายแล้วอย่างนั้นหรือ?”
คนหนุ่มยืนสองมือไพล่หลัง สายตาเฉียบคม ทว่าใบหน้ากลับคลี่ยิ้มบางๆ “แต่ต้องขอโทษด้วย หลานอกตัญญูต้องบอกข่าวร้ายข่าวหนึ่งแก่ท่านปู่ ฮ่องเต้เขียนราชโองการลับหลายฉบับ กองทัพใหญ่นับหมื่นคนของราชสำนักได้มารวมตัวกันอยู่นอกเมืองเรียบร้อยแล้ว วันพรุ่งนี้คงจะยกทัพเข้ามาล้อมปราบผู้นำยุทธภพคนใหม่ที่เป็นคนเนรคุณอย่างข้า ท่านปู่ หลานไม่หวังให้ท่านออกหน้าช่วยเหลือ จริงๆ นะ นี่คือคำพูดจากใจจริงของหลาน ขอแค่ท่านปู่ยืนดูอยู่เฉยๆ หวังแค่ท่านอย่าได้แทงข้าเพิ่มอีกหนึ่งแผลก็พอ”
ซ่งอวี่เซาจ้องนิ่งไปบนใบหน้าของหลานชายแล้วหัวเราะเสียงดังลั่น ก้าวออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ตบไหล่เขาหนักๆ หนึ่งที ไม่ปกปิดรอยยิ้มและความปลาบปลื้มของตัวเองแม้แต่น้อย ผู้เฒ่ากล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ไม่เสียแรงที่เป็นบุตรชายของซ่งเกาเฟิงและหลิ่วเชี่ยน! ปู่รู้ว่าคนที่นำทัพในครั้งนี้ก็คือแม่ทัพใหญ่ฉู่หาว สามีของสตรีผู้นั้น”
ใบหน้าของซ่งเฟิ่งซานเต็มไปด้วยความสงสัย ขมวดคิ้วเป็นปม
ซ่งอวี่เซาเอ่ยยิ้มๆ “ในเมื่อสตรีจิตใจอำมหิตผู้นั้นได้คืบจะเอาศอก นี่ก็ถือเป็นโอกาสอันดีที่ควรฉวยไว้ ข้าซ่งอวี่เซาเองก็จะมีเหตุผลในการขอคำอธิบายจากยุทธภพและราชสำนัก!”
กรอบตาผู้เฒ่าเปียกชื้น ยังคงกำมือไว้ข้างเดียว ยกมือข้างที่เหลืออยู่มาลูบหัวคิ้วที่ขมวดแน่นของหลานชายเบาๆ พลางพึมพำว่า “ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ ปู่ก็ควรจะทำอะไรเพื่อเจ้าบ้าง”
คนหนุ่มถอยหลังไปหนึ่งก้าว ก้มหน้าลง ยกมือข้างหนึ่งมาบังหน้าตัวเอง
ผู้เฒ่าเอ่ยเบาๆ “เฟิ่งซาน นับจากวันนี้ไป ปู่จะไม่พร่ำพูดถึงกฎเกณฑ์เก่าๆ พวกนั้นกับเจ้าอีกแล้ว แต่สุดท้ายหวังว่าเจ้าจะฟังปู่สักครั้ง ยุทธภพเก่าก็มีส่วนที่ไม่ถูกต้อง แต่ส่วนที่ถูกต้อง เรื่องที่ดีงามก็ยังมีเหลืออยู่ หวังว่าวันหน้าเจ้าที่อยู่ในยุทธภพจะไม่ปฏิเสธไปซะทุกอย่าง”
ผู้เฒ่าวางกระบี่เหล็กโบราณที่ให้ตายหลานชายก็ไม่ยอมรับไปวางลงบนโต๊ะหินกลางลานบ้าน จากนั้นก็เดินไปทางประตูเพียงลำพัง ระหว่างนี้ผู้เฒ่ายังหันไปมองที่ห้องหลักของเรือนเล็ก เพียงแต่ว่าคำพูดมารออยู่ตรงปากแล้ว ผู้เฒ่ากลับพูดไม่ออก
ซ่งเฟิ่งซานเอ่ยถามเสียงแหบ “ท่านปู่ ท่านจะไปไหน?”
ผู้เฒ่าที่ก้าวยาวๆ ไปด้านหน้าเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “หลายปีที่ผ่านมา กระบี่ของปู่ถูกเก็บอยู่ในบ่อน้ำใต้น้ำตกมาโดยตลอด ปู่จะไปเอากระบี่!”
จนกระทั่งผู้เฒ่าจากไปไกลแล้ว ซ่งเฟิ่งซานก็ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
ประตูห้องถูกเปิดออกช้าๆ สตรีแต่งงานแล้วที่ยังอายุน้อยเดินออกมา เอ่ยถามว่า “ไม่ห้ามท่านปู่หรือ?”
ซ่งเฟิ่งซานเช็ดน้ำตา ยื่นมือมากดลงบนกระบี่ที่วางไว้บนโต๊ะเบาๆ พูดพร้อมยิ้มบางๆ น้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ “ในเมื่อพวกเราวางแผนกันมานานแล้ว ทุกอย่างก็ล้วนอยู่ในการควบคุม เจ้าไม่อยากเห็นคนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ขวางอยู่หน้าขบวนรบจนกองทัพนับหมื่นไม่อาจเคลื่อนหน้าหรอกหรือ? แต่ข้าที่เป็นหลานอยากจะเห็น แล้วก็แอบคิดอย่างนี้มานานหลายปีแล้วด้วย”
สตรียังสาวพูดด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “ท่านบรรพบุรุษคิดตกได้อย่างไร?”
จากนั้นนางก็กล่าวอย่างเป็นกังวล “ทุกการกระทำของหมู่บ้านเราในอนาคต ท่านบรรพบุรุษอาจจะไม่ชอบก็ได้”
ซ่งเฟิ่งซานแค่นเสียงเย็น “อย่างมากก็ให้ท่านปู่แทงข้าอีกสักสองสามที ถึงเวลานั้นหากไม่ได้จริงๆ ก็เอากระบี่ของท่านพ่อข้าเล่มนี้ออกมา ดูสิว่าท่านปู่จะตัดใจลงมืออย่างอำมหิตได้อีกหรือไม่!”
สตรีแต่งงานแล้วเอ่ยสัพยอก “โอ้โห ไม่ได้เรียกท่านปู่มายี่สิบกว่าปีแล้ว วันนี้ดูท่าพระอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก เรียกซะคล่องปากเชียวนะ”
ซ่งเฟิ่งซานหันหน้ามาถลึงตาใส่นางหนึ่งที
สตรีแต่งงานแล้วหัวเราะเสียงหวาน
อันที่จริงนางเป็นหน่วยกล้าตายคนหนึ่งของต้าหลี สักวันหนึ่งเมื่อกีบม้าของต้าหลีย่ำลงบนพื้นที่ตอนกลางของแจกันสมบัติทวีป นางก็สามารถชูป้ายสงบสุขปลอดภัยที่ทางราชสำนักต้าหลีออกให้อย่างเปิดเผย
ข้อนี้ซ่งเฟิ่งซานเองก็รู้ดี
วันต่อมา งานคัดเลือกผู้นำยุทธภพคนใหม่ของแคว้นซูสุ่ยในหมู่บ้านวารีกระบี่ยังคงดำเนินไปตามกำหนด
จากถนนของเมืองแห่งหนึ่งในแคว้นซูสุ่ยมาจนถึงหมู่บ้านวารีกระบี่ กองทัพม้าควบตะบึง ฝุ่นคลุ้งตลบอบอวล มืดฟ้ามัวดิน
ท่ามกลางขบวนรบยิ่งใหญ่ มีแม่ทัพใหญ่สวมเสื้อเกราะหนักใหม่เอี่ยมคนหนึ่ง ขี่ม้าสูงใหญ่ มุมปากของบุรุษแต้มยิ้ม ทอดสายตามองไกลๆ ก็เห็นได้ชัดว่าเปี่ยมไปด้วยความลำพองห้าวเหิม หากครั้งนี้เหยียบหมู่บ้านวารีกระบี่ระยำนั่นให้ราบคาบได้ ตนก็จะกลายเป็นผู้มีคุณความชอบอันดับหนึ่งของแคว้นซูสุ่ย
แต่แล้วจู่ๆ แม่ทัพใหญ่ท่านนี้ก็หรี่ตาลง
เบื้องหน้ากองทัพใหญ่
หลังจากไปนำกระบี่ประจำกายมาจากน้ำตกแล้ว ผู้เฒ่าชุดดำคนหนึ่งที่ได้รับการขนานนามว่าอริยะกระบี่ของแคว้นซูสุ่ยก็มายืนขวางอยู่หน้าขบวนรบเกรียงไกร
เพียงแต่ด้านหลังผู้เฒ่ามีเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ ตรงเอวห้อยน้ำเต้าบรรจุเหล้าเดินตามมาไกลๆ ด้วย
ก่อนจะออกหมัดใส่กองทัพที่มีทั้งคนทั้งม้านับหมื่น เด็กหนุ่มปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลง แหงนหน้ากรอกเหล้าอึกใหญ่เข้าปาก ดื่มอักๆ อย่างสาแก่ใจ
—–