เฉินผิงอันรับฟังผู้เฒ่าพูดจนจบอย่างอดทน แล้วจึงถามเสียงเบาว่า “ท่านผู้เฒ่า สรรพคุณของถ้วยใบนี้คือ?”
“ขอโทษทีๆ พอพูดถึงความร้ายกาจของหอชิงฝูเรา ข้าก็หยุดปากตัวเองไม่ได้ทุกที จะพูดเข้าประเด็นให้คุณชายฟังเดี๋ยวนี้แหละ”
ผู้เฒ่าเอ่ยขอโทษแล้วก็ชี้ไปที่ถ้วยสีขาวพลางอธิบายด้วยรอยยิ้ม “ดินห้าสีของผืนแผ่นดินคือสิ่งที่ราชวงศ์ของทุกแคว้นจำเป็นต้องมี ดินห้าสีมาจากไหน? นอกจากจะมาจากพื้นที่วิเศษแห่งภูเขาและแม่น้ำที่บ่มเพาะขึ้นมาได้ด้วยตัวเองแล้ว คนก็สร้างขึ้นมาเองได้เช่นกัน ดินห้าสีจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อนำดินที่เอามาจากห้าขุนเขามาใส่ไว้ในถ้วยประเภทนี้สักระยะเวลาหนึ่ง สั้นหน่อยก็สี่ห้าวัน ยาวหน่อยก็สิบวัน ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับวัสดุที่ทำถ้วยห้าขุนเขาด้วยว่าดีหรือไม่ดี ระดับสูงหรือต่ำ แน่นอนว่าดินห้าสีก็เอามาขายได้เช่นกัน ดูจากลักษณะของถ้วยห้าขุนเขาใบนี้ของคุณชาย หากมีดินห้าขุนเขาของแคว้นกู่อวี๋ที่มากพอ ผลผลิตต่อหนึ่งปีก็สามารถขายได้ประมาณ…เท่านี้!”
ผู้เฒ่าแบมือออกมาข้างหนึ่ง
สตรียังสาวปิดปากแอบหัวเราะอีกครั้ง
เฉินผิงอันถามหยั่งเชิง “ห้าสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ?”
ผู้เฒ่าหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ “ห้าเหรียญ”
จากนั้นผู้เฒ่าก็อธิบายอีกว่า “อาวุธวิเศษจำนวนมากที่สามารถช่วยต่อเงินเพิ่มทรัพย์สินให้ได้แบบนี้ บนภูเขาจะใช้เวลาหกสิบปีในการคิดราคา หนึ่งปีห้าเหรียญ หกสิบปีให้หลังก็สามร้อยเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ฮ่าๆ คุณชายอย่าได้รีบร้อนเข้าใจผิดคิดว่าหอชิงฝูของพวกเราหลอกลวงคน คิดจะซื้อถ้วยนี้แค่ครึ่งราคา แต่นี่เป็นเพราะถ้วยห้าขุนเขาค่อนข้างจะพิเศษ หากเป็นแคว้นที่บ้านเมืองระส่ำระส่ายไม่มั่นคง ถ้วยภาพห้าขุนเขาของพวกเขาอาจจะไม่มีค่าเลยแม้แต่อีแปะเดียว ลองคิดตามดูสิว่าในเมื่อบ้านเมืองไม่เหลืออยู่แล้ว ห้าขุนเขาจะยังเหลืออยู่ได้อย่างไร? ถ้าอย่างนั้นจะเอาดินห้าสีมาจากที่ไหน? หากไม่เป็นเพราะตอนนี้สถานการณ์ของแคว้นกู่อวี๋ยังพอจะถือว่ามั่นคง แต่ไหนแต่ไรมาหอชิงฝูก็ไม่ค่อยสนใจจะซื้อถ้วยห้าขุนเขาอยู่แล้ว การที่ยอมจ่ายครึ่งราคาก็เรียกได้ว่า ‘ยุติธรรม’ แล้ว”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็กล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าไม่ขายถ้วยนี้ได้ไหม?”
ผู้เฒ่ายิ้มให้ “ต้องได้แน่อยู่แล้ว บอกตามตรง หากวันนี้ข้าซื้อถ้วยนี้แทนหอชิงฝู หากแคว้นกู่อวี๋เกิดหายนะผลัดเปลี่ยนแผ่นดินในชั่วข้ามคืน ถึงเวลานั้นข้าก็ต้องเป็นคนแบกรับความเสี่ยงเรื่องรายได้ไว้แทน”
เฉินผิงอันหัวเราะพลางเก็บถ้วยขาวกลับมา
แม้ว่าจะไม่มีรายได้ห้าสิบเหรียญทุกปี แต่พอนึกถึงว่าหนึ่งปีห้าเหรียญ นั่นก็เท่ากับห้าพันตำลึงเงินเต็มๆ รู้หรือไม่ว่าบ้านหลังหนึ่งที่ตรอกเถาเย่เมืองเล็กหลงเฉวียนในช่วงแรกเริ่มสุดมีราคาเท่าใด? ไม่ถึงหนึ่งพันตำลึงเงินด้วยซ้ำ? แน่นอนว่าตอนนี้ถ้ำสวรรค์หลีจูปริแตกแล้วร่วงลงมา อาณาเขตอยู่ติดกับพื้นที่ของราชวงศ์ต้าหลี ราคาของบ้านเรือนในเมืองเล็กจึงเพิ่มขึ้นแบบพลิกฟ้าพลิกดิน ทว่าบ้านที่เขตการปกครองหลงเฉวียนนั้น มีเงินห้าพันตำลึงเงินก็สามารถซื้อได้หลายหลัง
ตอนนี้สิ่งสำคัญที่ต้องทำก็คือรีบเขียนจดหมายไปบอกเว่ยป้อและผู้เฒ่าแซ่ชุย ให้พวกเขาพยายามช่วยกันเก็บรวบรวมดินห้าขุนเขาของแคว้นกู่อวี๋…จากนั้นตอนที่ตนเดินทางกลับจากภูเขาห้อยหัว ก็จะต้องเดินทางไปที่ขุนเขาทั้งห้าลูกของแคว้นกู่อวี๋ด้วยตัวเองรอบหนึ่ง สามารถเอามาได้กี่จินก็เอามาเท่านั้น หวังว่าเวลานั้นวัตถุฟางชุ่นสืออู่จะยังมีพื้นที่ว่างเหลืออยู่
จู่ๆ สวีหย่วนเสียก็เอ่ยเบาๆ ว่า “ถ้วยใบนี้สามารถขายได้”
แม้ว่าผู้เฒ่าจะเสียอาการไปเพราะตะเกียบไม้ไผ่ภูเขาชิงเสินคู่หนึ่ง แต่เวลาที่ทำธุรกิจผู้เฒ่ากลับฉลาดเฉลียวอย่างมาก “น้องชายท่านนี้คงรู้สึกว่ากองทัพม้าเหล็กของต้าหลีต้องยกลงใต้แน่นอนกระมัง? ดังนั้นจึงไม่แน่เสมอไปว่าแคว้นกู่อวี๋จะรักษาแผ่นดินเอาไว้ได้? ข้าว่าไม่แน่เสมอไป มีสำนักศึกษากวานหูนั่งบัญชาการณ์ตอนกลางของแจกันสมบัติทวีป เชื่อว่าสกุลซ่งต้าหลีคงไม่ถึงขั้นสามารถกรีฑาทัพยาวไปถึงตอนใต้ได้ ต่อให้มีวันนั้นจริงๆ ตอนกลางมีราชวงศ์กั้นขวางมากมายขนาดนั้น ไล่โจมตีไปทีละแคว้น ม้าของต้าหลีควบลงใต้ไปอย่างต่อเนื่อง จำเป็นต้องใช้เวลานานกี่ปี?”
ในเมื่อผู้เฒ่าพูดอย่างตรงไปตรงมาแล้ว สวีหย่วนเสียก็ไม่คิดปิดบังอีกต่อไป เขาเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ต่อให้มีสำนักกวานหูขัดขวาง ข้าก็ยังรู้สึกว่าการเดินทางลงใต้ของต้าหลีใช้เวลาไม่นานนัก”
ผู้เฒ่าเพียงยิ้มรับ ไม่คิดจะโต้เถียงกับอีกฝ่ายด้วยเรื่องนี้ หอชิงฝูเพียงแค่ทำการค้า แสวงหาความร่ำรวยอย่างสันติเท่านั้น
สวีหย่วนเสียหันไปกล่าวกลั้วหัวเราะกับเฉินผิงอัน “อยู่ในกระเป๋าอุ่นใจที่สุดไงล่ะ!”
เฉินผิงอันมองไปทางชายฉกรรจ์เคราดก สายตาของฝ่ายหลังเด็ดเดี่ยว เฉินผิงอันจึงพยักหน้ารับแล้วหยิบถ้วยขาวออกมาวางลงบนโต๊ะอย่างไม่ลังเล “ท่านผู้เฒ่า ยังซื้ออยู่อีกหรือไม่?”
ผู้เฒ่าหัวเราะเสียงดังกังวาน “ไม่รังแกเด็กและคนชรา ย่อมซื้ออย่างไม่ต้องสงสัย! หากการซื้อขายครั้งนี้หอชิงฝูของเราขาดทุน ก็ถือซะว่าสายตาข้าแย่เกินไป จะหักเงินข้าก็หักไป!”
มือหนึ่งยื่นเงิน อีกมือหนึ่งยื่นสินค้า
เฉินผิงอันได้เงินหนึ่งร้อยห้าสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะมาไว้ในมือ ก็เหมือนอย่างที่สวีหย่วนเสียบอก มีเงินอยู่ในกระเป๋าแล้วอุ่นใจจริงๆ
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็หยิบท่อนไม้สีดำและยันต์ที่มีผีงามสิงสู่ออกมาพร้อมกัน ผู้เฒ่าทยอยตรวจสอบ สำหรับท่อนไม้สีดำเขาพูดชมไม่หยุดปาก รับปากว่ายินดีจ่ายเงินสามร้อยเหรียญหิมะน้อย บอกว่าผู้ฝึกลมปราณของสำนักกสิกรรมและสำนักแพทย์ต่างก็สนใจวัตถุประเภทนี้ เพียงแต่ว่ากับยันต์ที่วัสดุพอจะถือว่าไม่ธรรมดาแผ่นนั้น เขากลับยินดีให้ราคาแค่ห้าสิบเหรียญ
เฉินผิงอันคิดดูแล้วก็ขายแค่ท่อนไม้สีดำ เก็บยันต์แผ่นนั้นกลับมา
เฉินผิงอันและจางซานเฟิงต่างก็ไม่มีของให้ขายแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ถึงเวลาที่ต้องจ่ายเงินราวกับสายน้ำไหลแล้ว
ผู้เฒ่าเดินมาส่งแขกที่หน้าประตูพร้อมรอยยิ้มชื่นบาน ไม่ลืมหันไปเอ่ยกับสวีหย่วนเสียว่า “วันหน้าหากมีโอกาสก็มาเยือนอีกนะ พวกเรามาดูกันว่าสถานการณ์ของแคว้นกู่อวี๋เป็นอย่างไร ใครแพ้คนนั้นเลี้ยงเหล้า ตกลงไหม?”
สวีหย่วนเสียยิ้มตอบ “ได้สิ อันที่จริงไม่ว่าใครแพ้ใครชนะ ได้ดื่มเหล้ากับท่านหงมื้อหนึ่งก็ล้วนไม่ขาดทุน”
ผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “เพราะประโยคนี้ของเจ้า เอาเป็นว่าคราวหน้าพี่ชายจะเลี้ยงเหล้าเจ้าก่อนเลยแล้วกัน!”
สวีหย่วนเสียกุมหมัดบอกลา
ได้ยินว่าจางซานเฟิงจะซื้อกระบี่ของพรรคมหายันต์ลัทธิเต๋าเล่มหนึ่งที่สามารถกำจัดปีศาจปราบมารได้ สตรียังสาวจึงพาคนทั้งสามตรงไปยังชั้นสี่ เลือกห้องใหญ่ที่แขวนป้ายไม้คำว่า ‘แสงหนาว’ หน้าประตูมีคนของหอชิงฝูยืนเฝ้าโดยเฉพาะ หลังจากสตรีผู้นั้นทักทายกับคนเฝ้าประตูแล้วก็ผลักประตูเปิดเข้าไปเบาๆ จึงเห็นว่าด้านในมีชั้นวางกระบี่จัดเรียงกันเป็นแถว ปราณกระบี่ส่งกลิ่นอายน่าสะพรึงกลัว กระบี่หลากหลายรูปแบบมีมากละลานตา
จางซานเฟิงเพิ่งจะก้าวเข้าประตูไป จู่ๆ ก็พูดว่าไม่ดูแล้ว
นี่ทำให้หญิงสาวรู้สึกผิดหวังอย่างยิ่ง
แต่เฉินผิงอันกลับเอ่ยขึ้นว่า “อย่าไปสนใจเขา พวกเราจะดูกระบี่”
ให้ตายจางซานเฟิงก็ไม่ยอมเข้าไปในห้อง ชายฉกรรจ์เคราดกจึงลากเขาเข้าไป
สตรียังสาวทยอยแนะนำกระบี่อาคมสิบกว่าเล่มที่มีราคาสูงต่ำไม่เท่ากัน สุดท้ายจางซานเฟิงที่แม้จะหน้าม่อยคอตก แต่สายตาก็ยังอดชำเลืองมองไปยังกระบี่ทองสัมฤทธิ์โบราณเล่มหนึ่งหลายครั้งไม่ได้ ฝักกระบี่หายไปนานแล้ว ด้านบนสลักสองตัวอักษรว่า ‘เจินอู่’ ที่เลือนรางมองเห็นได้ไม่ชัดเจน เนื่องจากตัวกระบี่มีร่องรอยบาดแผลเยอะมาก ต่อให้จะทำจากวัสดุที่ดีเยี่ยม แต่หอชิงฝูก็ยังขายแค่สี่ร้อยเหรียญเงินเกล็ดหิมะ เฉินผิงอันไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ควักเงินซื้อทันที ตอนที่จะจ่ายเงิน เฉินผิงอันมีท่าทีลังเลเล็กน้อย สตรียังสาวจึงยิ้มบางๆ แล้วเป็นฝ่ายเดินออกจากห้องไปเอง รอจนนางกลับมาในห้อง ‘แสงหนาว’ อีกครั้ง เฉินผิงอันก็เอาเงินเกล็ดหิมะสี่ร้อยเหรียญวางไว้ตรงมุมหนึ่งบนชั้นกระบี่ นางนับจนแน่ใจแล้วจึงนำกระบี่โบราณ ‘เจินอู่’ ใส่เข้าไปในฝักกระบี่ที่เตรียมรอไว้นานแล้ว ยื่นส่งให้เฉินผิงอัน
พอเดินออกมาจากห้องกระบี่แสงหนาว สตรีสาวไม่ได้พาคนทั้งสามเดินออกจากประตูหลักของแคว้นชิงฝู แต่พาพวกเขาเดินผ่านระเบียงกลางอากาศของชั้นสองไปยังหอสูงที่อยู่ด้านหลัง จากนั้นก็ออกจากหอชิงฝูด้วยประตูด้านข้างของเรือนหลังแห่งหนึ่ง สตรีสาวบอกเส้นทางการเดินทาง กฎเกณฑ์บางอย่างและค่าใช้จ่ายของท่าเรือแห่งนั้นกับคนทั้งสามแล้วก็โบกมืออำลากับพวกเขา ตอนที่หมุนตัวเดินกลับ ผู้ฝึกยุทธ์ที่ช่วยคุ้มกันหอชิงฝูก็ปิดประตูตามหลัง นางที่หันหลังให้กับประตูแอบกำหมัดแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความปิติยินดี เพียงไม่แต่นานก็กลับมาเป็นปกติ เดินเร็วๆ ไปทางหอหลักของหอชิงฝู พอไปถึงสีหน้าของนางก็กลายมาเป็นกลุ้มอกกลุ้มใจ ถอนหายใจเฮือกๆ บ่นให้สหายฟังถึงความขี้เหนียวของคนทั้งสาม
หอชิงฝูห่างจากท่าเรือไม่ถึงสองลี้ มีเรือข้ามฟากลำหนึ่งจะไปที่แคว้นอวิ๋นซงพอดี แม้ว่ายังห่างจากแคว้นชิงหลวนอีกไกลมาก แต่เมื่อเทียบกับการให้สวีหย่วนเสียเดินเท้าไปเองแล้ว ย่อมต้องเร็วกว่านับเท่าไม่ถ้วน อีกอย่างเมื่อลงเรือที่แคว้นอวิ๋นซงก็สามารถขึ้นเรือข้ามฟากไปที่แคว้นชิงหลวนได้โดยตรง ด้วยเหตุนี้สวีหย่วนเสียจึงจะนั่งเรือลำนี้ไปจากแคว้นซูสุ่ย ส่วนเรือที่เฉินผิงอันจะโดยสารไปถือเป็นเรือที่มีเส้นทางการเดินเรือเก่าแก่มาเป็นพันปี มีที่มาที่ลึกซึ้งมาก แม้จะไม่ได้ตรงไปยังนครมังกรเฒ่าที่อยู่ทางทิศใต้สุดของแจกันสมบัติทวีป แต่ก็สามารถลดระยะทางหลายแสนลี้ให้สั้นลงได้เช่นกัน
ขณะที่ใกล้จะถึงท่าเรือ เฉินผิงอันที่ในมือถือกระบี่อาคม ‘เจินอู่’ ก็หยุดเดินแทบจะพร้อมกับนักพรตหนุ่ม
นักพรตหนุ่มก้มหน้าลงต่ำ ไม่กล้าพูดอะไร
สวีหย่วนเสียถอนหายใจ พูดกับเฉินผิงอันยิ้มๆ ว่า “นักพรตจงเมี่ยวที่เมืองแยนจือเคยพูดขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจว่า อีกครึ่งปีให้หลังทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีป หรือก็คือบริเวณใกล้เคียงกับแคว้นชิงหลวนที่ข้าจะไป จะมีการจัดงานสัมมนามหายานครั้งใหญ่ ถึงเวลานั้นจะมีเทพเซียนของลัทธิเต๋าจำนวนนับไม่ถ้วนมารวมตัวกัน และยิ่งมีเซียนซือลัทธิเต๋าที่มีชื่อเสียงโด่งดังอีกหลายท่านของแจกันสมบัติทวีปมาเปิดการอภิปรายถกปัญหากันอย่างเปิดเผย แน่นอนว่าจางซานเฟิงต้องอยากไปดู เพียงแต่ไม่รู้ว่าควรจะบอกเจ้าอย่างไร ด้วยรู้สึกว่าการที่เขาเปลี่ยนแผนการเดินทางกะทันหันดูเป็นการแล้งน้ำใจ ผิดต่อเจ้า ตอนนี้ดีนัก เจ้าซื้อกระบี่เล่มนี้มาอีก ไอ้หมอนี่ก็ยิ่งไม่มีหน้าบอกลาเจ้า เพราะถึงอย่างไรตอนแรกก็ตกลงกันไว้แล้วว่าจะเดินทางไปยังนครมังกรเฒ่าเป็นเพื่อนเจ้า ข้าว่าตอนนี้ไอ้หมอนี่คงมีใจคิดอยากตายแล้วด้วย ก็ดีเหมือนกัน เฉินผิงอัน เจ้าก็ใช้เจินอู่เล่มนี้ขุดหลุมแล้วฝังกลบเขาให้จบๆ กันไปเลยเถอะ”
เฉินผิงอันกระโดดตบหัวจางซานเฟิงดังป้าบ “ดูท่าทางหงอยซึมของเจ้าเข้าสิ ทำราวกับผู้หญิงอย่างไรอย่างนั้น! พวกเราสนิทกันขนาดไหน? เจ้าโง่หรือไงเนี่ย! กระบี่ รับไว้ เงิน ติดไว้ก่อน คน ไสหัวไปเลย!”
นักพรตหนุ่มไม่กล้าเงยหน้า ไหล่ของเขาสั่นสะท้านเบาๆ
เฉินผิงอันไม่พูดอะไรอีก หลังจากโยนกระบี่เจินอู่ให้สวีหย่วนเสียที่อยู่ด้านหลังแล้วก็เดินเร็วๆ จากไปเพียงลำพัง
เมื่อนักพรตหนุ่มเงยหน้าที่ดวงตาแดงก่ำขึ้นมา เด็กหนุ่มสะพายกระบี่ที่มาจากหลงเฉวียนต้าหลีคนนั้นก็เดินจากไปไกลแล้ว ราวกับจะสัมผัสได้ถึงสายตาของจางซานเฟิง เด็กหนุ่มรองเท้าแตะจึงชูแขนข้างหนึ่งขึ้นสูง กำมือเป็นหมัดแล้วโบกแรงๆ
—–