หลังจากจ่ายเงินเข้าประตูตะวันตกของนครมังกรเฒ่าแล้ว เดินผ่านบานประตูกำแพงเมืองที่แทบจะใช้คำว่ายาวเหยียดมาบรรยายได้นั้น ซุนเจียซู่ก็พาเฉินผิงอันเดินไปขึ้นรถม้าที่ใหญ่และกว้างขวางคันหนึ่ง มองปราดๆ นอกจากรถม้าจะใหญ่เล็กน้อย ม้าที่ลากรถมีนิสัยนุ่มนวลแล้ว ก็มองไม่ออกถึงลักษณะของคนมีเงินอีก สารถีคือผู้เฒ่าที่ไม่ชอบยิ้มและพูดคุยคนหนึ่ง รอจนเฉินผิงอันเข้าไปนั่งในห้องโดยสารแล้ว ถึงได้สังเกตเห็นว่าด้านในมีความเป็นเอกลักษณ์ วางเบาะรองนั่งสีขาวสะอาดไว้สี่ใบ ผนังที่ตรงข้ามกับหน้าต่างรถวางชั้นหนังสือที่สูงจรดเพดานซึ่งบรรจุหนังสือไว้จนเต็มแน่น มีกระถางธูปทองสัมฤทธิ์ที่เป็นมันวาวน่าหลงใหลใบหนึ่ง ควันธูปสีม่วงลอยอวล เฉินผิงอันกับซุนเจียซู่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน อันที่จริงเฉินผิงอันค่อนข้างระมัดระวังตัวด้วยกลัวว่าจะทำให้ ‘ห้องหนังสือ’ ที่สะอาดเอี่ยมไร้ฝุ่นผงแห่งนี้สกปรก ซุนเจียซู่มองรองเท้าแตะเฉินผิงอันแล้วก็พูดยิ้มๆ ว่า “ตอนยังเด็ก เนื่องจากทำตามกฎของตระกูล ท่านปู่จึงพาข้าเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ ก่อนจะอายุสิบแปด ข้าก็ต้องเปลี่ยนที่อยู่แทบทุกปี ดังนั้นจึงเคยเป็นลูกจ้างในร้านค้า เคยเป็นชาวนา ชาวประมง เคยตั้งแผงลอยขายข้าวสาร เคยเป็นเจ้าพนักงานในที่ว่าการ เคยทำมาหลายสิบอาชีพ อันที่จริงข้าเองก็ถักรองเท้าสานเป็น เพียงแต่ว่าถักได้แบบหยาบๆ ไม่แน่นหนาและละเอียดประณีตอย่างรองเท้าคู่นี้ของเจ้า”
ซุนเจียซู่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะรอง ไม่ได้มีท่าทางเกียจคร้านใดๆ แต่กลับให้ความรู้สึกผ่อนคลายใจเย็นแก่คนมอง เขาถามยิ้มๆ ว่า “เฉินผิงอัน รู้หรือไม่ว่าในอดีตข้ากลัวที่จะต้องทำงานแบบใดที่สุด?”
เฉินผิงอันไม่ใช่เทพเซียนที่เก่งด้านการคำนวณพยากรณ์ซะหน่อย แล้วก็ยิ่งไม่ใช่แมลงในท้องซุนเจียซู่ ย่อมเดาไม่ออก แล้วนับประสาอะไรกับที่ซุนเจียซู่คนนี้เป็นคนประหลาดมาก แม้ว่าคนทั้งสองจะเพิ่งพบหน้ากันไม่นาน แต่ความรู้สึกที่อีกฝ่ายมอบให้เฉินผิงอันกลับกลายเป็นว่ายิ่งนานก็ยิ่งพร่าเลือน
ซุนเจียซู่ยิ้มบางๆ “การเก็บใบต้นหม่อน กว่าจะเก็บได้เต็มตะกร้าไม่ใช่ง่ายๆ ท่านปู่ข้ายื่นมือไปกดบนตะกร้าเบาๆ หนึ่งทีก็หายไปครึ่งตะกร้าแล้ว พอเก็บเต็มตะกร้า เขาก็ยื่นมือมากดอีก ข้าต้องเก็บไปอีกเป็นครึ่งๆ วัน มันทำให้คนสิ้นหวังได้เลย อีกทั้งทุกครั้งที่ขึ้นเขาจะต้องถูกต้นไม้ใบหญ้าบาดจนเป็นแผลเล็กๆ เต็มไปหมด พอแดดส่อง เหงื่อออกก็จะปวดแสบปวดร้อน สรุปคือดำนาปลูกข้าว ถูกปลิงดูดเลือดกัดยังสนุกเสียกว่า ท่านปู่ของข้าชอบสูบยา พอถูกความร้อน พวกมันก็จะร่วงลงมาเอง”
เฉินผิงอันเห็นด้วยอย่างมาก “ตอนที่ข้าอยู่บ้านเกิด ถ้าถูกปลิงกัดในน้ำจะลำบากมาก เพราะเสียดายเกลือกับน้ำส้ม ไม่อยากเอามาใช้ เสียเวลาแข่งความฉลาดความกล้าหาญอยู่กับพวกปลิงที่น่ารำคาญเป็นครึ่งๆ วัน สุดท้ายเลือดไหลเป็นสายลงมาจากขา ยังดีที่ข้างเถียงนามีต้นหญ้าที่พวกเราคนท้องถิ่นเรียกว่า ‘ลวี่เหนียงเนียง’ ขึ้นอยู่ เอาหญ้ามาแปะลงบนบาดแผล เพียงไม่นานเลือดก็จะหยุดไหล พอข้าออกมาจากบ้านเกิดก็ไม่เคยได้เห็นอีก”
ซุนเจียซู่พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “คนที่เกิดมาในครอบครัวยากจนไม่มีอะไรให้ต้องพิถีพิถันมากมาย แถมยังอดทนกับความยากลำบากได้เก่งกว่า นายน้อยที่มีเงินอย่างข้าย่อมเทียบไม่ได้อยู่แล้ว ต่อให้จะลำบากแค่ไหนก็สู้พวกเจ้าไม่ได้ ตอนแรกที่ข้าติดตามท่านปู่ออกจากบ้านเดินทางไกล จะต้องร้องไห้งอแงว่าจะกลับบ้านทุกสามวันห้าวัน ตอนนี้มาย้อนนึกดูแล้ว หากวันหน้าข้าต้องพาหลานที่นิสัยเหมือนข้าไปไหนมาไหนด้วยกัน คงไม่มีความอดทนเท่าท่านปู่ข้าในตอนนั้น”
เฉินผิงอันพูดยิ้มๆ “หากมีวันนั้นจริงๆ ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะไม่เหมือนเดิมแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะนิสัยดีมากขึ้นก็ได้”
ซุนเจียซู่ตะลึงเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับ “มีความเป็นไปได้จริงๆ”
คนหนึ่งคือชายที่ได้ครอบครองถนนใหญ่ทั้งสายของนครมังกรเฒ่า อีกคนหนึ่งคือเด็กหนุ่มที่เขาบอกว่านครมังกรเฒ่าหลุดจากมือไป พูดคุยเรื่องหยุมหยิมที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความบ้านๆ เหล่านี้ คนทั้งสองกลับรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน ไม่ชวนกระอักกระอ่วนแม้แต่น้อย
รถม้าขับเคลื่อนไปอย่างมั่นคง แม้ว่าจะมีควันสีม่วงลอยขึ้นมาจากกระถางธูปตลอดเวลา แต่ในห้องโดยสารกลับไม่มีควันธูปฟุ้งอบอวล แค่มีกลิ่นอายของความสดชื่นเหมือนต้นไม้ใบหญ้าและสายลมเย็นในฤดูใบไม้ผลิเพิ่มขึ้นมาเท่านั้น
เฉินผิงอันกล่าว “เจ้าต้องดูแลกิจการที่ใหญ่โตขนาดนี้ แล้วยังมารับข้าด้วยตัวเอง ต้องสูญเงินไปมากน้อยเท่าไหร่กัน? อันที่จริงเจ้าให้คนอื่นมารับข้าก็ได้”
ซุนเจียซู่ส่ายหน้า “จะหาเงินอย่างไรคือเรื่องหนึ่ง ต้องคิดเล็กคิดน้อยไปซะทุกเรื่อง ต่อให้เป็นแค่เหรียญทองแดงเหรียญเดียวก็ต้องคิดให้ชัดเจน แต่ว่าพอมีเงินแล้วใช้เงินอย่างไร นั่นก็ต้องดูที่ความเคยชินของแต่ละคนแล้ว อย่างเช่นข้าที่ตั้งใจทำงานหาเงินตลอดทั้งปีนั้น ทำไปเพื่ออะไร? ก็เพื่อให้ตัวเองไม่ต้องขี้เหนียวกับสหายมากเกินไป ไม่ต้องคิดเล็กคิดน้อยกับเงินแค่อีแปะเดียว”
เฉินผิงอันเข้าใจโดยพลัน “มีเหตุผลมาก!”
ใจเขาอยากจะเอาแผ่นไม้ไผ่ใบเล็กในวัตถุฟางชุ่นออกมาจดเหตุผลข้อนี้ของซุนเจียซู่โดยเร็วเสียด้วยซ้ำ
รอจนตนมีเงินแล้วจริงๆ หากมีคนบอกว่าตนเป็นคนดีเกินเหตุอีกก็จะเอาประโยคนี้ของซุนเจียซู่โต้กลับไป
พูดคุยกันอย่างถูกคอไปตลอดทาง ซุนเจียซู่เล่าเรื่องน่าสนใจและเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มากมายที่พบเจอมาระหว่างที่ไปหาประสบการณ์ในอดีต เดิมทีเฉินผิงอันก็เป็นผู้ฟังที่ดีมากคนหนึ่งอยู่แล้ว อีกอย่างจากเรื่องที่พูดคุยกันก็ทำให้ภาพลักษณ์ที่เดิมทีพร่าเลือนของซุนเจียซู่เริ่มชัดเจนขึ้นทีละนิด นั่นคือเขาเป็นคน ‘สุภาพและเยือกเย็น’ ที่…มีเงินมาก
ข้าซูนเจียซู่มีเงินมากขนาดนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ร้ายกาจอะไร แต่ก็ไม่จำเป็นต้องจงใจข่มคนอื่น หรือจงใจลดระดับคุณค่าในตัวเอง เมื่อคบค้ากับสหายที่ได้รับการยอมรับจากเขาซุนเจียซู่ ก็จะได้รับการปฏิบัติที่เท่าเทียมอย่างแท้จริงตั้งแต่ในจรดนอก
เฉินผิงอันคิดว่านี่ต่างหากควรจะเป็นลักษณะที่คนมีเงินพึงมี
รถม้าขับมาถึงเส้นทางชนบทสายหนึ่ง ใต้กีบเท้าม้าคือถนนดินเหลือง เป็นเหตุให้รถม้าโยกคลอนขึ้นๆ ลงๆ เล็กน้อย ซุนเจียซู่เห็นว่าเฉินผิงอันมีท่าทีแปลกใจจึงยิ้มแล้วเลิกหน้าต่างขึ้น นอกหน้าต่างคือต้นกกกอใหญ่ใบดกหนาสีเขียวสดขึ้นเรียงราย เมื่อรถม้าขับเคลื่อนไปข้างหน้ากลับมีดอกน้ำมันสีเหลืองอร่ามปรากฏให้เห็น ทำให้คนมองรู้สึกสบายตาสบายใจ ตามหลักแล้วช่วงออกดอกของดอกน้ำมันควรจะผ่านไปนานแล้วถึงจะถูก เฉินผิงอันจึงได้แต่คิดว่าดินและน้ำของนครมังกรเฒ่าแตกต่างไปจากที่บ้านเกิดของตน
ซุนเจียซู่อธิบายว่า “ที่นี่คือที่ดินที่บรรพบุรุษสกุลซุนของพวกเรามาก่อตั้งตระกูล ลูกหลานรุ่นหลังพยายามรักษาสภาพเดิมไว้ให้ได้มากที่สุด เพราะกลัวว่าจะทำลายร่มเงาฮวงจุ้ยที่บรรพบุรุษสร้างไว้ให้ แล้วก็เพราะต้องการจะระลึกถึงบรรพบุรุษด้วย เวลาที่ตระกูลซุนรับรองแขกผู้มีเกียรติ ไม่ว่าจะเทพเซียนบนภูเขาหรือจักรพรรดิอัครเสนาบดีก็ล้วนพาไปรับรองที่จวนตระกูลซุนในเมืองทั้งหมด เป็นสถานที่ที่โอ่อ่าหรูหรา ไม่ด้อยไปกว่าจวนมังกรเฒ่าของตระกูลฝูเลย แต่หากรับรองสหายที่แท้จริงจะเต็มใจพามาที่นี่มากกว่า ไปข้างหน้าอีกสิบกว่าลี้ก็คือบ้านบรรพบุรุษของตระกูลซุนแล้ว มีพื้นที่ไม่มาก เป็นเรือนสามชั้น ตัวบ้านตั้งติดริมน้ำ หันหน้าเข้าหาแม่น้ำสายหนึ่ง สามารถตกปลาได้ หวังว่าเจ้าจะชอบ”
เฉินผิงอันยิ้มกว้าง “ชอบสิ จะไม่ชอบได้อย่างไร”
ซุนเจียซู่ถามยิ้มๆ “ไม่อย่างนั้นพวกเราลงรถแล้วเดินกันไปดีไหม?”
เฉินผิงอันย่อมไม่มีความเห็นต่างอยู่แล้ว คนทั้งสองจึงลงจากรถม้าเดินมุ่งหน้าไปยังบ้านบรรพบุรุษตระกูลซุน ซุนเจียซู่เล่าสถานการณ์ของที่ดินบรรพบุรุษแห่งนี้ให้ฟังอีกคร่าวๆ ประโยคเดียวที่อธิบายอย่างเรียบง่ายว่า ‘ในรัศมีหนึ่งร้อยลี้ล้วนเป็นของตระกูลซุนพวกเรา มีหมู่บ้านหกแห่ง ประมาณสองพันหลังคาเรือน เลี้ยงไหมปลูกชา ผลผลิตทั้งหมด ตระกูลซุนจะรับซื้อด้วยราคาที่สูงกว่าตลาดเล็กน้อย รายได้ของพวกชาวบ้านจึงนับว่าดีพอสมควร ถือว่ามีชีวิตที่สงบสุขมั่นคง’ ก็ทำให้เฉินผิงอันเข้าใจได้อย่างแท้จริงถึงความกว้างขวางของนครมังกรเฒ่า และความใจกว้างของตระกูลซุน
ตอนที่พอจะมองเห็นเค้าโครงของบ้านบรรพบุรุษตระกูลซุนรางๆ เฉินผิงอันก็ถามว่า “นครมังกรเฒ่ามีเรือข้ามฟากที่ไปยังภูเขาห้อยหัวหรือไม่?”
ซุนเจียซู่พยักหน้ารับ “มี อันที่จริงนครมังกรเฒ่าก็คือศูนย์กลางการค้าที่ใหญ่ที่สุดของแจกันสมบัติทวีป ที่ไหนหาเงินได้ก็ไปที่นั่น เพียงแต่ว่าคิดจะผ่านภูเขาห้อยหัวไปหาเงินที่กำแพงเมืองปราณกระบี่กลับไม่ใช่ทุกคนที่มีความสามารถนี้ ต่อให้เป็นตระกูลฝูและห้าสกุลใหญ่ซึ่งรวมถึงสกุลซุนของนครมังกรเฒ่า คิดจะทำการค้านี้ก็ต้องระมัดระวังให้มาก ต้องดูแลให้รอบคอบรัดกุมไปทุกด้าน”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ซุนเจียซู่ก็รู้สึกปลงอนิจจังเล็กน้อย เขาพูดต่อเนิบช้าว่า “หลายพันปีมานี้ ไม่พูดถึงเจ้านครอย่างตระกูลฝู ห้าสกุลใหญ่ของนครมังกรเฒ่านอกจากสกุลซุนล้วนถูกเปลี่ยนใหม่หมดมาแล้วหลายรอบ ไปสิ้นท่าที่ภูเขาห้อยหัวเสียเกินครึ่ง หลายครั้งที่สกุลซุนเกือบจะเสียหายอย่างสาหัสก็ล้วนเกี่ยวข้องกับกำแพงเมืองปราณกระบี่ ตอนนี้ในนครมังกรเฒ่ามีเรือแค่หกลำเท่านั้นที่เดินทางไปยังภูเขาห้อยหัว ตระกูลฝูมีสองลำ เรือทั้งหกลำล้วนใหญ่มาก อย่างน้อยครั้งหนึ่งก็สามารถบรรทุกคนได้สองพันกว่าคน เรือข้ามฝากของตระกูลฝูคือปลาวาฬกลืนสมบัติตัวหนึ่งกับภูเขาลอยตัวที่จวี้จื่อแห่งสำนักโม่เป็นคนสร้าง ถูกขนานนามให้เป็น ‘ห้อยหัวน้อย’ ด้านบนมีหอเก๋งมีศาลาที่สวยงาม ทิวทัศน์ชวนมองอย่างยิ่ง เป็นเรือข้ามฟากที่เทพเซียนบนภูเขาเลือกเป็นอันดับแรก จะต้องมีผู้ฝึกลมปราณใหญ่ขอบเขตโอสถทองก่อกำเนิดโดยสารอยู่บนเรือแทบทุกครั้ง ส่วนเรือข้ามฟากของสกุลซุนเรา คือเต่าทะเลภูเขาที่บรรพบุรุษจับมาได้และเอามากำราบให้เชื่อง ส่วนของกระดองเต่าใหญ่ดุจขุนเขา สามารถบรรจุคนได้สองพันสี่ร้อยคน แน่นอนว่ามีสินค้ามากกว่าคน การเดินทางไปกลับภูเขาห้อยหัวครั้งหนึ่ง กำไรที่ได้มาจริงๆ ไม่ใช่มาจากค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ ของผู้โดยสาร แต่เป็นทรัพยากรและผลผลิตที่พิเศษของแจกันสมบัติทวีปกับกุรุทวีป ขอแค่เอาไปส่งถึงภูเขาห้อยหัวได้ก็จะได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ แต่ว่าระยะทางยาวไกล เรื่องไม่คาดฝันมีมากมาย ใช่ว่าจะไม่มีความเป็นไปได้เสียเลยที่จะเกิดการบาดเจ็บล้มตายขึ้นบนเรือ หรือขาดทุนย่อยยับ ดังนั้นผู้ฝึกลมปราณจะต้องดูตามปี ฤดูกาลและแผนภูมิสวรรค์เพื่อเลือกเรือข้ามฟากที่เหมาะสมกับตัวเอง นี่ก็ถือเป็นหลักความรู้ที่ใหญ่มากเช่นกัน”
กล่าวมาถึงท้ายที่สุด ซุนเจียซู่ก็ยิ้มบางๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่คล้ายจะดูแคลนตัวเองเล็กน้อย “ลืมบอกกับเจ้าไปว่า ตระกูลฝูของนครมังกรเฒ่าและห้าสกุลใหญ่อย่างพวกเราต่างก็เป็นลูกศิษย์สำนักการค้าหนึ่งในเมธีร้อยสำนัก บรรพบุรุษที่ตั้งบูชาในโถงบรรพชนของทุกตระกูลล้วนไม่เหมือนกับอริยะลัทธิขงจื๊อในศาลเจ้าบุ๋น ต่อให้ถึงตอนนี้สำนักการค้าก็ยังมีแต่ความรู้ที่ไม่เข้าพวกกับสำนักอื่น ได้ยินมาว่าช่วงแรกเริ่มสุดมีอริยะของสถานศึกษาขงจื๊อที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในศาลบุ๋น อีกทั้งตำแหน่งยังอยู่ในระดับหน้าๆ คนหนึ่งกล่าวประโยคหนึ่งว่า ‘เนื้อสุนัขไม่นำขึ้นโต๊ะอาหาร’ อันที่จริงนั่นเป็นการพูดถึงสำนักการค้าของพวกเรา คำวิจารณ์นี้ยังถือว่าเกรงใจกันแล้ว คำกล่าวที่ว่าพวกพ่อค้าคือพวกชั้นต่ำ ไม่มีตำแหน่งในร้อยสำนัก ทั่วร่างมีแต่กลิ่นเหม็นของทองแดง พ่อค้าไม่มีจิตเมตตา ใต้หล้านี้สำนักการค้าไร้คุณความชอบมากที่สุด ถือเป็นคำด่าที่แรงยิ่งกว่า ดังนั้นเก้าทวีปใหญ่ของใต้หล้าไพศาลมีพ่อค้าเยอะมาก แต่ไม่มีทางถูกราชวงศ์ไหนยกขึ้นเป็นอาชีพหลักแน่นอน”
เรื่องวงในที่เกี่ยวข้องกับความรู้และจุดประสงค์ของเมธีร้อยสำนักพวกนี้ เฉินผิงอันได้แต่รับฟัง ไม่กล้าวิจารณ์หรือให้ข้อสรุปส่งเดช
—–