หลังจากนั้นผู้หญิงสองคนอายุประมาณสิบแปดสิบเก้าสองคนก็ตามมาถึง คนหนึ่งนั่งลงข้างกายเด็กหนุ่มหน้าตาอัปลักษณ์ คนทั้งสามนั่งเบียดอยู่บนม้านั่งยาวตัวเดียวกัน ทำเอาก้นของเด็กหนุ่มร่างอ้วนต้องลอยค้างอยู่กลางอากาศถึงสามส่วน ลำบากอย่างยิ่ง เด็กหนุ่มแซ่ต่งไม่กล้าด่าเด็กหนุ่มหน้าตาอัปลักษณ์อีกต่อไป ทำท่าขลาดกลัว ราวกับว่ากลัวพี่สาวหน้ากลมท่าทางเป็นมิตรที่นั่งอยู่ตรงข้ามคนนั้นอย่างมาก
เด็กสาวอีกคนหนึ่งที่หน้าตางดงามคางแหลมเล็กนั่งลงข้างกายเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาโดยไม่ลังเล ฝ่ายหลังถึงกับกลอกตามองบนโดยตรง ในใจคิดว่าเจ้าที่เป็นผู้หญิงยังหน้าตางดงามได้ไม่เท่าข้า กลับยังจะกล้าคิดมาแต่งงานพลิกผ้าห่มกับข้าอีกหรือ?
หลังจากถามพี่สาวหน้ากลมถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วการฝึกประสบการณ์ของบุรุษอายุยี่สิบได้สิ้นสุดลงแล้ว จะต้องกลับไปที่สถานศึกษาลัทธิขงจื๊อทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแล้ว ถึงเวลานั้นจะได้เปลี่ยนจากนักปราชญ์เป็นวิญญูชน
เขาปลดกระบี่ ‘ฮ่าวหรันชี่’ (ปราณแห่งความเที่ยงธรรม) วางลงบนโต๊ะ บอกว่านี่คือกระบี่ที่อาเหลียงมอบให้แก่ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่ได้มอบให้เขา ดังนั้นต้องคืนให้
เด็กหนุ่มตัวอ้วนยิ้มแก้มปริ เขาปรารถนาในกระบี่เล่มนี้ไม่ใช่แค่วันสองวันแล้ว ดังนั้นจึงรีบพยักหน้ารับ พร้อมพูดทันทีว่าบุรุษแห่งสถานศึกษาลัทธิขงจื๊อมีคุณธรรม เข้าใจกฎระเบียบเป็นอย่างดี วันหน้าขอยินดีต้อนรับ และเขาจะต้องประคองสองมือสองเท้าให้การรับรองเป็นอย่างดีแน่นอน
เด็กสาวแขนเดียวสีหน้าเฉยชาเปิดปากพูดอย่างไม่ค่อยเป็นบ่อยนัก บอกว่าศึกแห่งความเป็นความตายสองครั้ง เขาสังหารเผ่าปีศาจห้าขอบเขตกลางไปได้มากมาย สามารถเอาฮ่าวหรันชี่ไปได้
เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาไม่สนใจเรื่องนี้ เขาเหลียวซ้ายแลขวา ดูว่าบนทางมีคนที่เขารู้จักคุ้นเคยพอจะช่วยจ่ายค่าอาหารให้ได้หรือไม่
เด็กหนุ่มหน้าตาอัปลักษณ์เอาแต่ดื่มเหล้าเงียบๆ ผู้หญิงหน้ากลมคือพี่สาวของเขาจึงเกลี้ยกล่อมให้เขาดื่มน้อยๆ หน่อย เด็กหนุ่มผิวดำเกรียมแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน สีหน้าของหญิงสาวจึงค่อนข้างจะระอาใจ
เด็กสาวท่าทางองอาจให้ข้อสรุปด้วยคำเดียวว่า “เอาไป”
คนอื่นๆ จึงไม่มีความเห็นต่างอีกต่อไป
ต่อให้คนทั้งโต๊ะกำลังจะมีคนได้เป็นวิญญูชนของสถานศึกษา และยิ่งมีคนแซ่ต่ง แซ่เฉิน
หากมีแซ่ฉีอีกคน
ถ้าเช่นนั้นก็จะมีครบทั้งสามแซ่สกุลของกำแพงเมืองปราณกระบี่
จู่ๆ เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาก็ขมวดคิ้ว พึมพำว่า “ทำไมไม่ว่าจะไปทางไหนก็ต้องเจอขี้หมาเละๆ ด้วย”
บนถนนมีคนกลุ่มหนึ่ง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนหนุ่มอายุยี่สิบกว่าปี แต่ละคนเปี่ยมล้นไปด้วยปณิธานกระบี่ พลังสังหารล้นเหลือ
บังเอิญมาก คนที่เป็นผู้นำของกลุ่มแซ่ฉีพอดี ด้านหลังของเขาแบกกระบี่คู่ เรือนกายสูงใหญ่ พลังอำนาจเฉียบคมน่าครั่นคร้าม
เขาเป็นคนเดินนำออกจากกลุ่มมาหยุดอยู่ข้างร้านเหล้าก่อน สายตาจ้องเป๋งไปที่หญิงสาวท่วงท่าองอาจผู้นั้น เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มน้ำเสียงอ่อนโยน พยายามไม่ให้ตัวเองแสดงออกว่าบีบบังคับผู้อื่นจนเกินไป “หนิงเหยา แท่นสังหารมังกรก้อนนั้นของเจ้า จะขายหรือไม่? ราคาสามารถตกลงกันได้ ข้าไม่มีทางเอาเปรียบเจ้าแน่นอน อีกอย่างพ่อแม่ข้ากับพ่อแม่เจ้าสนิทกันถึงเพียงไหน เจ้ารู้ดียิ่งกว่าใคร หากไม่เป็นเพราะท่านปู่ข้าขัดขวางไว้ ปีนั้นพวกเราคงได้หมั้นหมายกันตั้งแต่เด็กแล้ว ถูกไหม?”
เด็กสาวท่าทางองอาจไม่แม้แต่จะเงยหน้า “ไสหัวไป”
บุรุษแซ่ฉีเองก็ไม่ขุ่นเคือง เขาลูบคลำปลายคางแล้วหมุนตัวเดินจากไปอย่างปุบปับฉับไว
คนในกลุ่มบางคนไม่พอใจ จึงเอ่ยด้วยคำพูดแปร่งหูเสียงไม่ดังนัก “คนบางคนโชคดี พ่อแม่ต่างก็เป็นเซียนกระบี่ใหญ่ ร้ายกาจจริงๆ ร้ายกาจจนเกือบจะทำให้กำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเราพ่ายแพ้ จุ๊ๆๆ”
เด็กสาวท่าทางองอาจไม่สะทกสะท้าน
แต่ทุกคนที่นั่งรอบโต๊ะพากันลุกพรวดขึ้นยืน ต่อให้เป็นวิญญูชนสถานศึกษาที่มาฝึกประสบการณ์ที่นี่ก็ยังกำด้ามกระบี่ฮ่าวหรันชี่เล่มนั้น
เด็กหนุ่มร่างอ้วนแสยะปากเผยให้เห็นฟันขาวสะอาด “โอ๊ะโอ เมื่อครู่นี้พูดว่าอะไรนะ นายท่านใหญ่ได้ยินไม่ชัด ลองพูดอีกทีสิ?”
ส่วนเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลากลับสบถด่าโดยตรง “ไอ้ลูกหมา บรรพบุรุษทั้งสิบแปดรุ่นของเจ้ามันสวะ!”
เขาชำเลืองตามองไปทางเด็กหนุ่มหน้าดำเกรียม “ว่าไง? ใครเปิดก่อน?”
เด็กหนุ่มอัปลักษณ์ตรงไปตรงมาที่สุด เขาสะบัดไหล่หลุดจากการดึงรั้งของพี่สาว ถือกระบี่บุกขึ้นหน้า
เด็กหนุ่มแซ่ฉียื่นแขนออกมาข้างหนึ่งห้ามไม่ให้ทุกคนที่อยู่ข้างหลังพูดอะไร จากนั้นก้าวออกมาหนึ่งก้าว ถามยิ้มๆ ว่า “ต่งถ่านดำ เจ้าจะต่อยตีกันจริงๆ หรือ?”
เด็กหนุ่มอัปลักษณ์สีหน้าไร้อารมณ์ เพียงเดินไปข้างหน้า มือทั้งสองข้างกดลงไปบนด้ามกระบี่ซ้ายขวาสองด้าน หนึ่งเล่มคือจิงซู (คัมภีร์) หนึ่งเล่มคืออวิ๋นเหวิน (ลายเมฆ) ล้วนเป็นกระบี่ที่อาเหลียงเอามาจากสถานที่ที่เรียกว่าราชวงศ์ต้าหลีของแจกันสมบัติทวีปแล้วเอามาโยนทิ้งไว้ที่นี่
อาเหลียงจากไปแล้ว พี่หญิงหนิงที่ช่วยชีวิตตนมาสามครั้ง ตอนนี้พ่อแม่ของนางล้วนไม่อยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นหากเขาต่งฮว่าฝูไม่ทำอะไรเลยในเวลาอย่างนี้ ก็ไม่สมควรแซ่ต่งแล้ว
ผู้หญิงหน้ากลมยิ้มบางๆ “แค่ไม่ฆ่าคนก็พอแล้ว เรื่องอื่นๆ ข้าจะช่วยเจ้าพูดกับทางท่านปู่ให้เอง”
ประโยคนี้หลุดมา แม้แต่เด็กหนุ่มแซ่ฉีก็ยังรู้สึกว่ายุ่งยาก
จู่ๆ เสียงนิ้วที่เคาะกับผิวโต๊ะก็ดังขึ้นมาระลอกหนึ่ง
เด็กหนุ่มที่ผิวเข้มเหมือนถ่านดำหันกลับไปมอง
หนิงเหยาเอ่ยเรียบๆ ว่า “ถ่านดำ กลับมาดื่มเหล้า”
เด็กหนุ่มหมุนตัวกลับไปนั่งที่เดิมอย่างอัดอั้น หญิงสาวหน้ากลมลูบศีรษะของเขา เด็กหนุ่มที่เดิมทีก็หงุดหงิดอยู่แล้วหันมาถลึงตาใส่ทันที พี่สาวของเขาทำหน้าทะเล้นกลับ ทำเอาเด็กหนุ่มหน้าตาดีมองตาไม่กะพริบ
ทั้งสองฝ่ายถึงไม่ได้ลงไม้ลงมือกัน
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มแซ่ฉีพาสหายเดินจากไป หลังจากเดินห่างไปไกลมากแล้ว ถึงได้เอ่ยกับเด็กหนุ่มที่พูดท้าทายคนอื่นเมื่อครู่ว่า “ช่วงนี้อย่าเพิ่งออกจากบ้าน หรือไม่ก็ไปพักอยู่ที่บ้านข้าเลย”
คนผู้นั้นอืมรับหนึ่งทีอย่างไม่ลังเล แต่ในใจก็ให้กระวนกระวายไม่เป็นสุข
หลังจากที่ทุกคนกลับมานั่งที่แล้ว หนิงเหยาก็ถอนหายใจหนึ่งครั้ง “พวกเจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว ยังทำตัวเป็นเด็กอยู่อีก อีกอย่างเรื่องในครอบครัวข้า พวกเจ้าที่เป็นคนนอกมายุ่งอะไรด้วย ตัวข้าแค่จำไว้เองก็พอแล้ว”
คนทั้งโต๊ะเงียบงันไร้คำพูดตอบโต้
นางนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงกระตุกมุมปาก หัวเราะหยันพูดว่า “ได้ยินว่าเจ้าหมอนั่นถูกเต๋าเหล่าเอ้อร์ (บุคคลที่อยู่อันดับสองของลัทธิเต๋า ในที่นี้หมายถึงลูกศิษย์คนรองของมรรคาจารย์เต๋า) ต่อยกลับลงมาในใต้หล้าไพศาลด้วยหมัดเดียว”
เมื่อหนิงเหยาพูดถึงคนผู้นี้ แทบทุกคนต่างก็คลี่ยิ้ม แน่นอนว่ารอยยิ้มของวิญญูชนสถานศึกษาผู้นั้นเป็นรอยยิ้มจืดเจื่อน
เด็กหนุ่มตัวอ้วนเหม่อลอย ไม่รู้ว่าคิดถึงเรื่องที่ดีใจหรือเสียใจถึงได้กระดกเหล้าขึ้นดื่มอึกใหญ่
หลังจากที่เขาขึ้นไปบนกำแพงเมืองเพื่อสังหารศัตรูเป็นครั้งแรก
ตอนนั้นเด็กหนุ่มมองชายฉกรรจ์ที่แต่งตัวปอนๆ ด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวัง เอ่ยถามว่า “อาเหลียงๆ กระบี่เมื่อครู่นี้ของข้าเป็นอย่างไร? มีมาดของท่านได้สักครึ่งหนึ่งหรือเปล่า?”
ชายฉกรรจ์แค่ดื่มเหล้า แล้วตอบรับอย่างขอไปทีว่า อ้อๆๆ อืมๆๆ
“อาเหลียง! เจ้าพูดอะไรสักคำสิ จะดีหรือเลวก็ได้หมด!”
“ก็ได้ เวทกระบี่เมื่อครู่นี้ของเจ้า…ยั่วยวนมาก”
“หมายความว่ายังไง?”
“ความหมายของข้าก็คือ กระบี่ที่เจ้าฟาดฟันไปมั่วซั่วเมื่อครู่นี้ดุดันดุจพยัคฆ์ ผลคือฆ่าหนูตายไปตัวหนึ่ง”
ตอนนั้นเด็กหนุ่มที่มีแต่คราบเลือดเต็มร่างอยากจะร้องไห้แต่ไร้น้ำตา ท่าทางน่าสงสารยิ่ง เขารู้สึกเหมือนฟ้าถล่มดินทลาย ชั่วชีวิตนี้ตนอาจจะไม่มีทางได้ดิบได้ดีแล้ว
จากนั้นบุรุษคนนั้นก็โยนกาเหล้ามาให้เขา พูดยิ้มๆ ว่า “ตอนที่ข้าอายุเท่าเจ้า ยังทำได้ไม่เท่าเจ้าเลย”
เจ้าอ้วนน้อยพลันยืดอกขึ้นทันที นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาดื่มเหล้า แม่งไม่อร่อยเอาซะเลย
เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาใช้มือหนึ่งเท้าคาง ปากกัดจอกเหล้า แหงนหน้าดื่มเหล้าหนึ่งจอกเบาๆ
ท่าทางเช่นนี้เขาเรียนรู้มาจากไอ้หมอนั่น เท่ห์จริงๆ
“อาเหลียง ได้ยินว่าเจ้าเคยไปถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ จู๋ฮูหยินคนนั้นสวยจริงหรือไม่?”
“สวยสิ ขาสองข้างยาวสุดๆ ไปเลยล่ะ”
“ข้าถามถึงใบหน้านาง ขายาวไม่ยาวจะมีความหมายอะไร?”
จากนั้นเด็กหนุ่มก็ถูกชายฉกรรจ์ที่ดื่มเหล้าอย่างเอ้อระเหยลอยชายผลักศีรษะหนึ่งที “พวกเราสองคนคุยกันไม่รู้เรื่องแล้ว”
ต่อให้เป็นหญิงสาวหน้ากลมคนนั้นที่ไม่ได้แตะต้องสุราแม้แต่น้อยก็ยังมีรอยยิ้มเคลิบเคลิ้ม
นางเคยยืนอยู่ต่อหน้าบุรุษคนนั้นด้วยความกล้าหาญอย่างเต็มเปี่ยม ถามเขาว่า “อาเหลียง คิดถึงบ้านไหม?”
“คิดถึงสิ”
“กลับบ้านคราวหน้าจะพาภรรยากลับไปด้วยไหม?”
“ก็อยากอยู่เหมือนกันนะ”
“อาเหลียงๆ พาข้า พาข้ากลับไปสิ?”
บุรุษคลี่ยิ้มและกล่าวอย่างแปลกใจ “โอ้โหแหะ ไม่คิดว่าข้าอาเหลียงบุกไปทั่วยุทธภพ ยังไม่เคยเจอคู่ต่อสู้สมน้ำสมเนื้อคนไหน วันนี้กลับมาถูกเด็กสาวเอ๊าะๆ ลองของซะแล้ว…”
ตอนนั้นน้องชายของเด็กสาวยังเป็นเด็กน้อยขี้มูกยืด ถ่านดำน้อยนั่งยองอยู่ด้านข้าง แต่เขาก็รู้ความแล้วจึงหันหน้าไปถ่มน้ำลายลงข้างๆ
บุรุษยื่นกาเหล้าให้เด็กสาว ลูบศีรษะของนาง “อย่าเป็นภรรยาของข้าเลยจะดีกว่า ข้าอาเหลียงเป็นแค่คนพเนจรในยุทธภพคนหนึ่ง ไม่สมควรทำร้ายผู้หญิงดีๆ”
เด็กสาวรับกาเหล้าไป แต่กลับไม่กล้าดื่ม
บุรุษหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “แอบดื่มแค่ไม่กี่คำ ไม่เป็นไรหรอก ต่อให้บุรพาจารย์ตระกูลเจ้าจะเข้มงวดแค่ไหนก็ไม่มีทางด่าเจ้า มีแต่จะด่าข้าอาเหลียง”
ตอนที่เด็กสาวไร้เดียงสาดื่มเหล้า บุรุษดีดปลายเท้าขึ้นไปยืนบนหัวกำแพงของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ทอดสายตามองไปไกล ใช้มือสองข้างเสยผมที่ปรกหน้าผากขึ้นไปด้านบน เอ่ยด้วยน้ำเสียงสะท้อนใจว่า “เหล้าทำให้สองแก้มแดงฝาด ความกลัดกลุ้มทำให้ผมเต็มศีรษะกลายเป็นสีขาวโพลน วันหน้าหากคิดจะหาบุรุษ ต้องหาคนที่มีความสามารถด้านบทกวีซึ่งเรียนมาห้าปีเต็มอย่างข้า…แน่นอน ข้าพูดว่าหาคนที่เหมือนข้า ไม่ใช่ข้า”
จู่ๆ ถ่านดำน้อยก็โหวกเหวกขึ้นมาว่า “อาเหลียง ข้าปวดอึ! ข้าจะไปอึทางทิศใต้ เร็วหน่อย อึจะราดแล้ว!”
บุรุษรีบกระโดดลงจากกำแพง สบถด่าพลางอุ้มเจ้าตะพาบน้อยขึ้นมา แล้วพุ่งตัวมุ่งไปทางทิศใต้ดั่งสายรุ้ง
ส่วนข้อที่ว่าทางทิศใต้มีอันตราย มีปีศาจใหญ่ซ่อนตัวอยู่หรือไม่ บุรุษไม่ใส่ใจอยู่แล้ว
เด็กสาวเองก็ไม่สนใจ เพราะเขาคืออาเหลียง
ในใต้หล้าแห่งนี้ไม่มีที่ใดที่กระบี่ของอาเหลียงฟาดฟันไปไม่ถึง
ต่อให้ท่านปู่ของนางจะไม่ชอบบุรุษผู้นี้มากแค่ไหนก็ไม่เคยพูดว่าวิชากระบี่ของอาเหลียงไม่สูงมากพอ
ผลคือเจ้าลูกหมาทนไม่ไหว อึราดรดเต็มกางเกง บุรุษที่นั่งซักกางเกงอยู่ข้างบ่อน้ำสะอาดมองเจ้าตะพาบตัวนั้นที่เปลือยก้นวิ่งเล่นไปทั่วพลางพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ไปด้วย “ปีนั้นข้าก็แค่ปฏิเสธแม่เจ้าไปเจ็ดแปดรอบเท่านั้น วันนี้กลับต้องมาเจอกรรมตามสนอง เจ้าเหมือนพ่อยิ่งกว่าพ่อแท้ๆ ของข้าเสียอีก…”
สุดท้ายบุรุษจากไป บุรุษที่ไม่มีกระบี่สลักอักษรคำว่าเหมิ่ง (ห้าวหาญ กร้าวแกร่ง) ทิ้งไว้ สวมงอบไม้ไผ่แล้วไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่
วันนั้นในนครด้านหลังกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่รู้ว่าสตรีน้อยใหญ่กี่คนที่ร่ำสุรา บุรุษของพวกนางก็ยิ่งดื่มเหล้าด้วยความกลัดกลุ้ม
หลังจากนั้นชายฉกรรจ์ที่พกดาบไม้ไผ่เล่มหนึ่งก็เจอตัวเด็กหนุ่มที่ฉีจิ้งชุนเลือกไว้ บอกกับเขาว่า ข้าชื่ออาเหลียง เหลียงจากซ่านเหลียงที่แปลว่าจิตใจดีงาม ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง
พอสนิทสนมคุ้นเคยกันแล้ว บุรุษบอกกับเด็กหนุ่มจากตรอกหนีผิงของใต้หล้าไพศาลคนนั้นยิ้มๆ ว่า เจ้ารู้หรือไม่ สตรีใต้หล้าที่ชื่นชอบข้าอาเหลียงมีมากมายจนนับไม่ถ้วน
เด็กหนุ่มคิดแค่ว่าเขาโอ้อวดตน
……
ดื่มเหล้าหมดโต๊ะ สหายแยกย้ายกันไป
หนิงเหยาเดินกลับบ้านเพียงลำพัง
ตลอดทางมีคนชี้นิ้ววิพากษ์วิจารณ์ใส่นางมากมาย
มีทั้งสงสาร มีทั้งเย้ยหยัน มีทั้งถอนหายใจ มีทั้งเลื่อมใส
หนิงเหยากลับมาถึงบ้าน ยังคงเป็นหนึ่งในจวนที่ใหญ่ที่สุดของนคร ยังคงมีผู้ฝึกกระบี่ซึ่งเป็นคนในตระกูลอยู่มากมาย แต่กลับขาดคนบางคนไป
นางเดินไปยังลานประลองกระบี่ จากนั้นก็ทิ้งตัวนอนลงบนแท่นสังหารมังกรที่ใหญ่ดุจกระท่อม หรี่ตางีบหลับ
ในจดหมายบอกว่ามีคนโง่คนหนึ่งจะเอากระบี่มาส่งให้นาง ทำไมยังมาไม่ถึงสักทีนะ?
เด็กสาวเริ่มโมโหนิดๆ แล้ว
—–