กระบี่จงมา Sword of Coming – บทที่ 265.1 บนมหามรรคา

บทที่ 265.1 บนมหามรรคา

เมื่อเฉินผิงอันยกพู่กันวาดยันต์ ภายใต้การให้สัญญาณจากเจียวเฒ่าร่างสีทอง สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในร่องน้ำเจียวหลงก็เริ่มเคลื่อนไหว อีกทั้งยังลงมืออย่างจริงจัง พวกเผ่าพันธุ์เจียวหลงที่แฝงตัวอยู่ในร่องเจียวหลงมานานหลายร้อยหลายพันปีพากันกรูเข้าหาเกาะกุ้ยฮวาที่ลอยอยู่เหนือน้ำทะเลสูง

มีเพียงตรงตำแหน่งที่เจียวเฒ่าสีทองขดตัวอยู่ที่สงบนิ่งเป็นพิเศษ

คนพายเรือเฒ่าโยนข้องราชามังกรไว้ข้างเท้า ความเป็นความตายของเจียวน้อยตัวหนึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ใหญ่แล้ว ผู้เฒ่าชำเลืองตามองเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ที่อยู่ด้านหลังตัวเอง ทั้งร่างของเขาเหมือนถูกปกคลุมอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์กระจ่าง หนึ่งคนหนึ่งพู่กันหนึ่งกระดาษยันต์ผสานรวมกันเป็นหนึ่ง ราวกับกลายมาเป็นฟ้าดินขนาดเล็กที่สูงหมื่นจั้งแห่งหนึ่ง

ผู้เฒ่าเอ่ยชื่นชมอยู่ในใจหนึ่งคำรบ เจ้าหนุ่มน้อยมีกลิ่นอายของความยิ่งใหญ่จริงๆ แม้ว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับขอบเขตสูงต่ำ หรือตบะตื้นลึกสักเท่าไหร่ แต่ผู้เฒ่ายอมรับเลยว่าตอนที่ตนยังเป็นหนุ่มไม่เคยมีบุคลิกท่าทางเช่นนี้

เพียงไม่นานผู้เฒ่าก็ถอนสายตากลับ พูดขึ้นเบาๆ ว่า “กุ้ยฮูหยิน เกาะกุ้ยฮวาตกอยู่ในอันตราย เฉินผิงอันกับยันต์แผ่นนี้มอบให้ข้าเป็นคนปกป้องชั่วคราวเถอะ กุ้ยฮูหยินไปพิทักษ์เกาะกุ้ยฮวาได้เลย บอกให้หม่าจื้อและพวกผู้ดูแลทั้งหลายไปแจ้งให้ผู้โดยสารทุกคนบนภูเขารู้ถึงผลดีผลเสีย อย่าได้อำพรางตบะกันอยู่อีกเลย บุญคุณความแค้นส่วนตัวทั้งหมด รวมไปถึงค่าตอบแทนและค่าชดเชยทั้งหลาย รอให้เกาะกุ้ยฮวาพ้นหายนะครั้งนี้ไปได้ก่อนค่อยว่ากัน”

“เจียวเฒ่าลงมือครั้งนี้ประหลาดมาก อีกอย่างดูจากวิธีที่มันใช้ฆ่าผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองคนนั้น หากมันไม่ได้เลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนแล้ว ก็ต้องมีคนแอบวางค่ายกลไว้ในร่องน้ำเจียวหลง เปลี่ยนสถานที่แห่งนี้ให้กลายมาเป็นเหมือนสถานศึกษาสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อ ไม่แน่ว่าอาจมียอดฝีมือของสำนักนอกรีตบางคนหมายตาสถานที่แห่งนี้ ถึงได้มอบความมั่นใจให้แก่เจียวเฒ่าในการงัดข้อกับอริยะลัทธิขงจื๊อของนาตยทวีป แต่ไม่ว่าจะเป็นขอบเขตหยกดิบหรืออริยะจำลอง หากมันลงมืออย่างเต็มกำลัง ไม่มีข้าอยู่ด้วย เจ้ารับมือคนเดียวย่อมลำบากมาก”

กุ้ยฮูหยินรู้สึกลังเลเล็กน้อย นางไม่ได้รีบร้อนกลับไปที่เกาะกุ้ยฮวา ถึงขั้นยังจงใจชะลอความเร็ว ระหว่างนี้ก็ชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียไปด้วย ท่ามกลางเส้นทางการฝึกตนที่ยาวนาน กุ้ยฮูหยินรู้ดีว่าเมื่ออยู่ท่ามกลางภาวะยากลำบากที่หันมองไปทางใดก็ล้วนเลือนรางเช่นนี้ ทำสิบเรื่องร้อยเรื่อง ไม่สู้ทำเรื่องที่ถูกต้องเพียงเรื่องเดียว

น้ำทะเลสามทิศเหมือนน้ำที่ทำนบพังทลายโจมตีกระแทกใส่เรือข้ามฟากที่อยู่ ‘ก้นถ้วย’

บนเกาะกุ้ยฮวา นอกจากต้นกุ้ยบรรพบุรุษที่อยู่บนยอดเขาแล้ว ต้นกุ้ยที่เหลืออีกพันกว่าต้นล้วนใบร่วงระนาว ใบไม้ที่ร่วงยังไม่ทันตกสู่พื้นก็พร้อมใจกันบินขึ้นกลางอากาศอย่างเป็นระเบียบ หลังจากที่ใบกุ้ยทยอยกันหยุดอยู่กลางอากาศแล้วก็ก่อตัวเป็นรูปครึ่งวงกลม ปกคลุมเกาะกุ้ยฮวาไว้ภายใน จากนั้นใบกุ้ยทั้งกลายก็กลายเป็นเถ้าถ่านในเสี้ยววินาที แหลกสลายหายไป เหลือไว้เพียงปราณวิญญาณสีเขียวมรกตกลุ่มหนึ่งที่ยังอยู่ที่เดิม ก่อตัวเป็นลูกกลมขนาดใหญ่เล็กจำนวนมาก ระหว่างลูกวิญญาณใบกุ้ยที่ลักษณะเหมือนเกาลัดป่าเหล่านี้มีเส้นใยสีเขียวเข้มหลายเส้นพุ่งออกไปรอบทิศเพื่อชักดึงเชื่อมโยงกันและกัน

น้ำทะเลโถมกระหน่ำรุนแรง เรือข้ามฟากเหมือนกลายมาเป็นเรือแจวลำน้อย ปราณวิญญาณที่ซุกซ่อนอยู่ในใบกุ้ยถักทอเข้าหากัน เหมือนตาข่ายขนาดใหญ่ที่คนพายเรือเหวี่ยงออกไปเต็มแรง เพียงแต่ว่าการ ‘หว่านแห’ ครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อจับปลา แต่เพื่อกันฝน

เมื่อน้ำทะเลกระแทกลงบนตาข่ายใหญ่ ลูกคลื่นก็ซัดกระเพื่อม แต่กลับไม่มีน้ำสักหยดเล็ดรอดตาข่ายเข้ามาในเกาะกุ้ยฮวาได้ และเรือข้ามฟากก็แค่โคลงเคลงเล็กน้อย อีกทั้งเมื่อต้นกุ้ยบรรพบุรุษแสดงท่วงท่ามหัศจรรย์ด้วยการแผ่กิ่งก้านให้เจริญเติบโตไปอย่างรวดเร็ว พื้นดินบนยอดเขาปริแตก ร่องลึกจำนวนมากปรากฏขึ้น เผยให้เห็นรากของต้นกุ้ยโบราณที่ขดรัดพันกันอยู่ ตลอดทั้งเกาะกุ้ยฮวาก็ค่อยๆ ลอยขึ้นสูง ราวกับว่าจะต้านทานการโจมตีจากน้ำทะเล ทะยานลมขึ้นไปกลางอากาศ หนีไปจากร่องน้ำเจียวหลงแห่งนี้

ฉิวน้ำ (มังกรตัวเล็กที่มีเขาในตำนาน) จำนวนมากที่มีเขางอกออกจากหน้าผากบุกโจมตีดุดันมากที่สุด แต่ละตัวเกาะติดอยู่บนตาข่ายใหญ่ ใช้กรงเล็บฉีกกระชากค่ายกลใบกุ้ย บ้างก็ใช้เขางัดแทง

ฉิวน้ำประเภทนี้ถือเป็นสมาชิกผู้สูงศักดิ์ที่มีอำนาจในบรรดาเผ่าพันธุ์เจียวหลง มีความสัมพันธ์ค่อนข้างใกล้ชิดกับมังกรแท้จริงที่ควบคุมห้าทะเลสาบสี่มหาสมุทรในยุคโบราณ เมื่อเทียบกับพวกงูและปลาหลีแล้วก็แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว เพียงแต่ว่าเมื่อมีคำว่าน้ำเพิ่มขึ้นมา จะด้อยกว่าฉิวที่มีคำเรียกคำเดียวและถือเป็นเชื้อพระวงศ์สมชื่อไปหนึ่งระดับ ฉิวน้ำเป็นเผ่าพันธ์ที่เกิดจากการผสมพันธ์กันระหว่างต้าฉิวในยุคบรรพกาลกับงูเขียวในทะเล เป็นเหตุให้มีชื่อเรียกอีกอย่างว่าฉิวเขียว พวกมันกับฉิวขาวที่ชอบซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางภูเขาใหญ่ หนึ่งอยู่ในทะเลลึกหนึ่งอยู่บนบก มักจะปรากฏตัวอยู่ในบทความของนักประพันธ์ และยิ่งเป็นแขกประจำของบทกวีเซียนท่องเที่ยว

ทายาทของเจียวหลงอีกจำนวนมากตามหลังมาติดๆ แต่ละตัวบุกโจมตีตาข่ายใหญ่อย่างดุร้าย อีกทั้งยังร่ายใช้เวทอภินิหารวิชาน้ำที่เป็นพรสวรรค์มาตั้งแต่เกิด แต่ละตัวห่อหุ้มน้ำทะเลหนักนับหมื่นชั่งให้กระแทกลงบนตาข่ายใหญ่

พอเห็นภาพเหตุการณ์นี้ คนพายเรือเฒ่าก็รู้สึกเสียดายอย่างสุดซึ้ง นี่คือตบะเซียนพสุธาที่กุ้ยฮูหยินรวบรวมมาอย่างยากลำบาก นางปล่อยให้พลังต้นกำเนิดที่เป็นรากฐานของร่างจริงถูกเผาผลาญไปอย่างรวดเร็ว ทั้งหมดนี้ก็เพื่อช่วงชิงโอกาสรอดชีวิตให้กับทุกคน

ต้องถ่วงเวลารอจนกว่าหม่าจื้อจะสื่อสารกับแขกทุกคนบนเรือเสร็จสิ้น เพียงแต่ไม่รู้ว่ามวลชนจะสมัครสมานสามัคคี ร่วมแรงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันข้ามผ่านหายนะครั้งนี้ไปได้หรือไม่

ในขณะที่เฉินผิงอันพยายามสุดกำลังเพื่อเขียนยันต์ตัดโซ่แผ่นนั้น เจียวเฒ่าสีทองที่นอกจากจะออกคำสั่งให้เผ่าพันธ์ในร่องน้ำเจียวหลงลงมือโจมตีเกาะกุ้ยฮวาแล้ว ตัวมันกลับไม่มีท่าทีว่าจะลงมือ เพียงแค่ทำท่าครุ่นคิด ส่ายร่างที่เต็มไปด้วยเกล็ดสีทองยาวร้อยจั้งแหวกว่ายไปตามริมขอบของมหาสมุทรที่น้ำใสกระจ่าง สุดท้ายกลายร่างเป็นผู้เฒ่ามากบารมีคนหนึ่งที่สวมชุดคลุมสีทองเดินออกมาจากริ้วน้ำที่แผ่กระเพื่อม คิ้วของเขายาวมากจนห้อยย้อยลงมาตรงหน้าอก เขาเดินอยู่กลางอากาศว่างเปล่า ผู้เฒ่าที่จำแลงมาจากเจียวเฒ่าคนนี้ไม่ได้สนใจกุ้ยฮูหยินที่ต้องแบ่งสมาธิไปควบคุมเกาะกุ้ยฮวา แม้แต่ความเป็นความตายของเจียวน้อยตัวนั้น ผู้เฒ่าก็ยังไม่แยแส เขาเหมือนนักท่องเที่ยวคนหนึ่งที่กำลังเดินลงจากเนินเขามาช้าๆ หลุบตามองต่ำมาจากจุดสูง มองไปยังเรือเล็กสองลำและคนสามคนที่อยู่ตรงตีนเขา

เจียวเฒ่ามองไปยังแผ่นหลังของเด็กหนุ่ม ฝีเท้าไม่ได้หยุดชะงัก เขาพูดพร้อมยิ้มบางๆ “เจ้าหนู การที่เจ้าเล่นตุกติกกับไม้พายตีมังกร เขียนยันต์ตัดโซ่ลงไปโดยพลการ ข้าแค่มองว่าเจ้ายังเด็กไม่รู้ความ ปล่อยให้เจ้าแอบซ่อนกระบี่บินสองเล่มเอาไว้ แต่หากยังได้คืบจะเอาศอก…”

คนพายเรือเฒ่าบังคับเรือเล็กใต้ฝ่าเท้ามาขวางให้เฉินผิงอันกับเรือเล็กอยู่ด้านหลัง แหงนหน้ามองเดรัจฉานเฒ่าที่เปลี่ยนสันดานในฉับพลันแล้วหลุดหัวเราะพรืด “ได้คืบจะเอาศอก แล้วจะทำไม? หรือว่าจะให้ยื่นคอรอเจ้าฆ่าตายด้วยวิธีที่สบายกว่าเดิม? ต้องขอร้องเดรัจฉานอย่างพวกเจ้าว่าเวลาเขมือบพวกเราอย่าเคี้ยวละเอียดเกินไปนัก?”

เจียวเฒ่าชำเลืองตามองผู้เฒ่าพายเรือแล้วยิ้มพูดว่า “พวกเจ้าทำผิดกฎล้วนต้องตายอยู่แล้ว ส่วนจะตายอย่างไร อันที่จริงไม่สำคัญเท่าใดนัก หรือเจ้าลืมไปแล้วว่า หากหลังจากตายไปวิญญาณของพวกเจ้าถูกข้าค่อยๆ ดึงออกมาทำเป็นไส้เทียนสักหลายสิบแท่ง พอนำไปจุดไฟ เอาไปวางไว้ในจุดลึกของร่องน้ำเจียวหลง พวกเจ้าก็ต้องเผชิญกับความเจ็บปวดจากความหนาวเย็น ความทรมานนี้รุนแรงกว่าถูกห้าม้าแยกร่าง ถูกแร่เนื้อเถือหนังเป็นพันเป็นหมื่นชิ้นในลานลงทัณฑ์ของโลกมนุษย์เสียอีก โดยเฉพาะผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองอย่างพวกเจ้าที่ตบะยิ่งสูงเท่าไหร่ ระดับของเทียนหอมก็ยิ่งสูงเท่านั้น…”

กล่าวมาถึงตรงนี้ ผู้เฒ่าที่สวมชุดสีทองก็ถอนหายใจ หยุดเดิน เอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งใช้สองนิ้วลูบคิ้วยาวสีทองที่ยาวย้อยมาถึงหน้าอก กล่าวอย่างระอาใจว่า “ไอ้หนู ข้ากับคนพายเรือของตระกูลฟ่านช่วยถ่วงเวลาให้เจ้ามานานขนาดนี้ แค่ยันต์ตัดโซ่ที่เป็นคำสั่งของเทพพิรุณแผ่นเดียวเท่านั้น ยังวาดไม่เสร็จอีกหรือ? ตอนนี้ลูกศิษย์สำนักมหายันต์ของลัทธิเต๋าไม่ได้เรื่องถึงขนาดนี้เชียว? หรือว่าเป็นเจ้าที่ยังไม่เชี่ยวชาญมากพอ ความสามารถในการวาดยันต์ห่วยแตก? หรือเป็นเพราะศักยภาพของยันต์ชิ้นนี้สูงเกินไป กระดาษยันต์ล้ำค่าเกินไป ทำให้ตอนวาดยันต์เจ้าเลยเขียนได้ไม่…รื่นไหล? ไม่เป็นไร ข้าไม่ได้ลิ้มรสชาติของยันต์ตัดโซ่มาหลายปีแล้ว คิดถึงมันไม่น้อย ดังนั้นเวลาแค่นี้ ข้ารอไหว เด็กหนุ่มเจ้าค่อยๆ วาดไป ไม่ต้องรีบร้อน”

กุ้ยฮูหยินถอนหายใจหนึ่งที

คนพายเรือเฒ่าก็รู้สึกไม่ต่างกัน

นี่ก็คือความน่าหวาดกลัวของฟ้าดินที่มีอริยะเป็นผู้ควบคุม

ประหนึ่งสำนักศึกษาสถานศึกษาที่มีอริยะลัทธิขงจื๊อเป็นผู้ดูแล เหมือนเจินจวินที่อยู่ในอารามเต๋า เหมือนอรหันต์พิทักษ์วัด เหมือนเทพเจ้าฝ่ายบู๊ครอบครองสนามรบ

กุ้ยฮูหยินที่หน้าซีดขาวตวาดเสียงเฉียบ “กระทำการชั่วร้ายถึงเพียงนี้ เจ้าไม่กลัวว่าอริยะลัทธิขงจื๊อของนาตยทวีปจะมาเอาผิดเจ้าหรอกหรือ?!”

สายตาของเจียวเฒ่าฉายแววเวทนา “กุ้ยฮูหยินเอ๋ยกุ้ยฮูหยิน เจ้าไม่ควรมาอยู่ในบ่อโคลนเละเทะอย่างนครมังกรเฒ่าแห่งนี้เลย มีแต่จะหาเรื่องใส่ตัวเท่านั้น หลายปีมานี้เจ้าอยู่ว่างๆ อย่างไร้ประโยชน์ สองหูไม่ฟังเรื่องใด ไหนเลยจะรู้ว่าเมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ใหญ่ ผู้ที่คล้อยตามรอด ผู้ที่ต่อต้านตาย กุ้ยฮูหยิน แม้ว่าข้าจะอยากได้ร่างจริงของเจ้ามานานหลายปี แต่เห็นแก่ที่ชาติกำเนิดของเจ้าไม่ธรรมดา ข้าสามารถให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ยอมศิโรราบแก่ข้า ร่วมแรงร่วมใจกับร่องน้ำเจียวหลง ตกลงไหม?”

กุ้ยฮูหยินหัวเราะหยัน “ไม่รู้จริงๆ ว่าหากอริยะของลัทธิขงจื๊อมาอยู่ที่นี่ เจ้าจะยังกล้าพูดจาวางโตแบบนี้อีกไหม! อย่าว่าแต่อริยะเลย เกรงว่าต่อให้เป็นแค่วิญญูชนคนหนึ่งก็มากพอจะทำให้เจ้าหวาดกลัวจนตัวสั่นแล้วกระมัง?”

ผู้เฒ่าชุดสีทองส่ายหน้ายิ้มๆ “วันนี้ไม่เหมือนในอดีตแล้ว ข้าถึงได้พูดอย่างไรล่ะว่าสายตาของเจ้ากุ้ยฮูหยินคับแคบเกินไป ช่างเถอะ มรรคาแตกต่างมิอาจร่วมทาง หลังจากกินเจ้าเข้าไปแล้ว ข้าก็จะสามารถเลื่อนสู่ขอบเขตหยกดิบได้อย่างราบรื่น ถึงเวลานั้นต่อให้อริยะลัทธิขงจื๊อของสกุลเฉินอิ่งอินออกจากสำนักศึกษามาเอาเรื่องข้าที่นี่ แล้วจะทำอะไรข้าได้?”

ผู้เฒ่าแสยะปากยิ้ม รอยยิ้มน่าสะพรึงกลัว “รู้ว่าเจ้ายังไม่ยอมถอดใจ คิดว่าก่อนหน้านี้ข้าแค่แสร้งขู่ให้หวาดกลัว ยังหวังว่าตัวเองจะโชคดีรอดไปได้ ให้เด็กหนุ่มคนนั้นวาดยันต์ตัดโซ่เพื่อขู่เผ่าพันธุ์เจียวหลงทั้งหมดนอกเหนือจากข้า เจ้าเห็นไหม ถึงขนาดนี้แล้วข้าก็ยังปล่อยให้เจ้าทำตามใจปรารถนา ตอนนี้ยังคิดว่าข้ากำลังสร้างสถานการณ์ขู่ขวัญตบตาอยู่อีกหรือ?”

ผู้เฒ่าก้าวออกมาหนึ่งก้าว พริบตาเดียวก็มาหยุดอยู่ห่างจากฝั่งหนึ่งของเรือเฉินผิงอันไปสิบกว่าจั้ง

เฉินผิงอันเหมือนหลวงจีนเฒ่าเข้าฌานที่ไม่สนใจเรื่องทางโลก เพียงแค่วาดยันต์ไปช้าๆ

กุ้ยฮูหยินกับผู้เฒ่าพายเรือลงมือพร้อมกัน นางโยนกิ่งดอกกุ้ยออกมากิ่งหนึ่ง มันหล่นลงบนเรือแจวลำเล็ก สตรีแต่งงานแล้วคนนั้นพึมพำหนึ่งประโยค “รากอิงสวรรค์” กิ่งกุ้ยพลันงอกออกมาเป็นต้นกุ้ยขนาดเล็ก กิ่งใบพลิ้วไหวพะเยิบพะยาบ ก่อนจะเริ่มผลิดอกกุ้ยสีเหลืองอร่ามเป็นพุ่มๆ กลิ่นหอมโชยมาปะทะจมูก ต้นกุ้ยสูงหนึ่งจั้ง ร่มเงาของมันปกคลุมทับเฉินผิงอัน

ส่วนผู้เฒ่ายกสองมือขึ้นทำมุทราอย่างรวดเร็ว ปากท่องคำสาปแช่ง เท้าข้างหนึ่งกระทืบลงไปบนเรือน้อยลำที่เขายืนอยู่หนักๆ ฝ่ามือของมือสองข้างประกบกัน นิ้วทั้งสิบสอดประสาน ประกายแสงเจิดจ้าสาดส่องออกมาจากร่องนิ้ว ผู้เฒ่าคนพายเรือใช้นิ้วโป้งของมือข้างหนึ่งดันไปที่หัวใจ นิ้วก้อยของมืออีกข้างหนึ่งชี้ไปยังเจียวเฒ่าร่างทอง เมื่อผู้เฒ่าทำมุทราเสร็จสิ้นแล้วก็มีแสงเพลิงสีแดงสดหมุนวนไปรอบกาย ประหนึ่งองค์เทพสวรรค์ที่สวมใส่ชุดคลุมสีแดงสด หน้าผากก็เต็มไปด้วยอักขระสีแดง ตวาดกร้าว “จินอูกระพือปีก เทพแห่งเพลิงต้มน้ำ!” (จินอูหรืออีกาสีทองคือนกเทพในตำนาน มีสามขา ลำตัวสีแดงทอง)

น้ำทะเลตั้งแต่ใต้เรือแจวลำที่คนพายเรือเฒ่ายืนอยู่ไปจนถึงผู้เฒ่าชุดคลุมสีทองประหนึ่งน้ำร้อนที่เดือดพล่าน ไอร้อนลอยกรุ่น จากนั้นก็มีอีกาสีทองตัวแล้วตัวเล่าบินออกมาจากตรงกลาง พวกมันลากเอาเปลวเพลิงกลิ้งหลุนๆ เส้นหนึ่งกระโจนเข้าหาเจียวเฒ่าอย่างรวดเร็ว

ทว่าเจียวเฒ่าชุดทองแค่สะบัดชายแขนเสื้ออย่างไม่ใส่ใจหนึ่งครั้ง ดึงชางหลงสีเขียวมรกตสองตัวมาจากน้ำทะเลที่อยู่สองข้างกาย ให้มันปะทะเข้ากับอีกาสีทอง จินอูหลายสิบตัวพลันถูกชางหลงสองตัวเขมือบกลืนจนสิ้นในเสี้ยววินาที แม้ว่าชางหลงสีเขียวมรกตจะกินอิ่มหนำสำราญไปหนึ่งมื้อ แต่ตรงท้องกลับมีประกายแสงสีเพลิงเปล่งวูบวาบอยู่เป็นระยะ สุดท้ายก็พินาศไปพร้อมกันทั้งสองฝ่าย ร่างของพวกมันระเบิดแตก ก่อนกลับคืนสู่มหาสมุทรอีกครั้ง ทว่าเมื่อเปรียบเทียบการลงมือว่องไวดุดัน ใช้พลังอำนาจยิ่งใหญ่ของผู้เฒ่าพายเรือกับท่าทางสบายๆ ของเจียวเฒ่าชุดคลุมสีทองแล้ว เห็นได้ชัดว่าฝีมือห่างชั้นกันไกลมาก

เจียวเฒ่าชุดทองหลุดหัวเราะพรืด “? องค์เทพยุคบรรพกาลประเภทนี้ปะปนกันมากมายเกินไป อีกอย่างก็เพราะหายนะใหญ่เทียมฟ้าครั้งหนึ่ง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สืบทอดระบบใหญ่นี้จึงมักจะสืบทอดกันอย่างไม่ถูกหลักทำนองคลองธรรมเสมอ เมื่อเทียบกับองค์เทพฝ่ายน้ำที่ประวัติการสืบทอดเป็นระเบียบ ได้รับความสำคัญจากจักพรรดิสวรรค์แล้ว ก็เรียกได้ว่าเทพแห่งเพลิงไม่มีค่าพอให้พูดถึง เจ้าเป็นแค่โอสถทองตัวน้อยๆ คงไม่รู้สินะว่าเดิมทีสี่คำว่าเทพแห่งเพลิงต้มน้ำนี้ก็คือการแสดงให้เห็นถึงความขลาดกลัว? ช่วงแรกเริ่มสุดเทพแห่งเพลิงองค์นั้นป่าวประกาศว่าจะต้มให้สี่มหาสมุทรแห้งเหือด จะเผาให้ห้าทะเลสาบกลายเป็นไอเมฆบนท้องฟ้า ภายหลังสิ่งศักดิ์สิทธิ์ฝ่ายไฟจึงกล้าพูดแค่ว่าต้มน้ำเท่านั้น น้ำอะไร น้ำในแม่น้ำใหญ่คือน้ำ น้ำในลำธารเล็กๆ ก็คือน้ำ ต้มน้ำทำไม เจ้าจะดื่มชางั้นหรือ?”

ผู้เฒ่าพายเรือที่ถูกเจียวเฒ่าชุดทองทำลายอาคมไปอย่างง่ายดายไม่ได้รู้สึกท้อแท้ ระหว่างที่ฝ่ายหลังพูดจ้อไม่หยุด เขาก็เปลี่ยนคาถาใหม่ สองมือกำเป็นหมัด แล้วเอามากระแทกกันอย่างรุนแรง สองเท้าเหยียบให้เกิดพายุลมกรด ภาพลักษณ์ของเทพสวรรค์ฝ่ายไฟที่หน้าตาถมึงทึงดุดันคล้ายมัลละผู้พิทักษ์หายไป รอบกายชายชรามีไข่มุกที่มีสายฟ้าแลบแปลบปลาบบินล้อมวนเป็นวงกลม

สุดท้ายหมัดสองข้างของผู้เฒ่าแยกออกจากกัน หมัดหนึ่งทุบจากหัวใจไล่ไปที่หน้าท้องติดต่อกันสามหมัด ปราณวิญญาณในช่องโพรงลมปรานสามแห่งกระเพื่อมไม่หยุด อีกหมัดหนึ่งกลับมาแบมือดังเดิม ชูฝ่ามือขึ้นสู่ท้องฟ้า “แมลงตื่นจากจำศีลทุบท้อง บ่อสวรรค์เปิดโพรง จงฟังคำสั่งข้า ลงทัณฑ์แทนสวรรค์!”

ท้องฟ้าสีครามไร้เมฆยาวไกลเป็นหมื่นลี้พลันเกิดน้ำวนขนาดใหญ่ยักษ์พร้อมสายฟ้าแลบแปลบปลาบ สายฟ้าสีหิมะจ้าตาวูบขึ้นกลางอากาศแล้วผ่าเปรี้ยงลงมายังศีรษะของเจียวเฒ่าชุดทอง

—–

กระบี่จงมา Sword of Coming

กระบี่จงมา Sword of Coming

Status: Ongoing
” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “
เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา
เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม
และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง
ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท