บนผิวทะเลเหนือร่องน้ำเจียวหลง เฉินผิงอันมองผู้ฝึกกระบี่ชุดเขียวที่แนะนำตัวเองว่าเป็นศิษย์พี่ใหญ่ด้วยสายตาอึ้งงัน
เด็กหนุ่มยู่หน้า ริมฝีปากสั่นระริก จากนั้นก็ก้มหน้าลงไป
ผู้ฝึกกระบี่ที่มีชื่อประหลาดกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “จะร้องไห้อย่างนั้นรึ? ทำไมนิสัยเหมือนเสี่ยวฉีอย่างนี้ มิน่าเล่าเขาถึงได้เลือกเจ้า ใช้วิธีพูดด้วยเหตุผลไม่ได้ผล แถมยังต่อยตีสู้คนอื่นไม่ได้ ทุกครั้งเอาแต่ไปหลบร้องไห้น้ำตาไหลพรากๆ”
ผู้ฝึกกระบี่ตวาดเสียงเฉียบ “เงยหน้าขึ้นมา!”
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้นอย่างเหม่อลอย
บุรุษซักถาม “ทำไมพอถึงเวลาคับขันถึงได้เปลี่ยนใจกะทันหัน ไม่ออกกระบี่แต่ออกหมัดแทน? ตอบมาดังๆ อย่าอึกๆ อักๆ!”
เฉินผิงอันหลุดปากตอบไปตามจิตใต้สำนึก “เวทกระบี่แย่เกินไป ไม่อยากขายหน้า! วิชาหมัดพอใช้ได้ ไม่ออกหมัดไม่สาแก่ใจ!”
“ถุย! ด้วยปณิธานหมัดวิถีวรยุทธ์เล็กๆ น้อยๆ ของเจ้าก็กล้าพูดว่าพอใช้ได้ด้วยหรือ?”
บุรุษมีสีหน้าเดือดดาล หันไปถ่มน้ำลายลงด้านข้างอย่างแรง ไม่มีทั้งความสง่างามเหมือนอย่างฉีจิ้งชุน แล้วก็ไม่มีทั้งความอ่อนโยนเหมือนอาเหลียง ดูๆ ไปแล้วผู้ฝึกกระบี่ที่ชื่อจั่วโย่วคนนี้คงจะเป็นลูกศิษย์ที่นอกคอกที่สุดในบรรดาลูกศิษย์ของเหวินเซิ่ง ไม่เหมือนบัณฑิตเลยสักนิด เพียงแต่ว่าจุดลึกในดวงตาของบุรุษซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ ยิ่งนานรอยยิ้มนั้นก็ยิ่งเข้มข้น เพียงแต่พอหันหน้ามาสีหน้ากลับเย็นชา เขายกมือขึ้นอีกครั้ง ชูนิ้วโป้งชี้ไปที่ด้านหลัง “ไม่พูดถึงร่องน้ำเจียวหลงแห่งนี้ พูดถึงแค่เทวรูปบนเกาะนั้น ข้ารังเกียจที่มันขวางทางข้า ก็เลยฟันมันขาดครึ่งท่อนในครั้งเดียว เจ้ารู้สึกว่าอย่างไร? มาพูดถึงร่องน้ำเส็งเคร็งแห่งนี้ ข้ารู้สึกว่าสัตว์เดรัจฉานพวกนี้ขวางหูขวางตา เลยใช้ปราณกระบี่ชะล้างมัน ทีนี้เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
เฉินผิงอันตอบตามตรง “น่าจะถือว่าเผด็จการไร้เหตุผลไปหน่อย”
แต่พอนึกขึ้นได้ว่าคนผู้นี้คือศิษย์พี่ของอาจารย์ฉีจึงรีบเอ่ยเสริม “กระมัง?”
บุรุษหลุดหัวเราะพรืด “เจ้าพูดจาเกรงใจกันไม่น้อย ถือว่าอะไร เดิมทีก็ใช่อยู่แล้ว!”
เขาใช้ฝ่ามือดันด้ามกระบี่เล่มยาวที่ห้อยไว้ตรงเอว ถามว่า “รู้หรือไม่ว่าทำไมข้าที่เป็นบัณฑิตถึงได้ตั้งใจเรียนกระบี่มากกว่าเรียนหนังสือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า
เขาแค่เคยได้ยินอาเหลียงกับเด็กหนุ่มชุยฉานพูดถึงคนผู้นี้เป็นบางครั้ง ฝ่ายแรกไม่ได้พูดอะไรมาก แค่บอกว่าเขาเป็นลูกศิษย์ของซิ่วไฉ่เฒ่าที่มีวิชากระบี่สูงส่งที่สุด ส่วนฝ่ายหลังกลับเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน คนหนึ่งหลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชน อีกคนหนึ่งเป็นพวกนอกรีตนอกรอย ดูเหมือนว่าศิษย์พี่ศิษย์น้องที่ในอดีตเคยร่วมสำนักจะมีความแค้นจนไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้ มาถึงท้ายที่สุด ‘คนแซ่จั่ว’ ในใจของเฉินผิงอันจึงเหมือนมังกรที่ซ่อนตัวอยู่ในทะเลเมฆ สูงส่งจนไม่อาจปีนป่าย คว้าจับเอาไว้ไม่ได้
ผู้ฝึกกระบี่ที่มีชาติกำเนิดจากลัทธิขงจื๊อดั้งเดิมโบกมือ “ที่นี่ไม่มีธุระของเจ้าแล้ว วันหน้าตั้งใจฝึกตนให้ดี อย่าทำให้เสี่ยวฉีที่ฝากความหวังยิ่งใหญ่ไว้ที่เจ้าต้องผิดหวัง หากวันใดเจ้าทำได้ไม่ดี ไม่แน่ว่าข้าอาจจะมาเอาเรื่องเจ้าก็เป็นได้”
บุรุษที่ลอยตัวอยู่ใจกลางร่องน้ำเจียวหลงชูนิ้วหนึ่งให้เฉินผิงอัน “ต่อให้ขอบเขตของเจ้าสูงส่งแค่ไหนก็เป็นเรื่องของกระบี่เดียวเท่านั้น”
สำหรับเขาแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาศิษย์พี่สั่งสอนศิษย์น้องก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องตามหลักฟ้าดินอยู่แล้ว
จะมีเหตุผลหรือไม่มีเหตุผล? เขาคร้านจะคิดให้มากความ การเป็นศิษย์พี่ก็คือเหตุผลที่ใหญ่ที่สุด
และเวลานี้เอง ทะเลเมฆพลันลดตัวลงต่ำ กายธรรมร่างทองสูงร้อยจั้งตนหนึ่งผุดลอยออกมา คือนักพรตวัยกลางคนคนหนึ่งที่บนศีรษะสวมกวานหางปลา “เจ้าก็คือลูกศิษย์ของเหวินเซิ่ง ผู้ฝึกกระบี่ที่ชื่อว่าจั่วโย่ว? ได้ยินว่าหลายคนต่างพากันพูดว่าเจ้ามีเวทกระบี่เป็นอันดับหนึ่งในโลกมนุษย์? แม้แต่ที่ภูเขาห้อยหัวและกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ยังมีคนที่เลื่อมใสเจ้าอยู่มากมาย”
ผู้ฝึกกระบี่ชุดเขียวเงยหน้าขึ้นมอง “ฟังจากน้ำเสียงของเจ้าคือไม่เห็นด้วย?”
นักพรตร่างสูงใหญ่หัวเราะเสียงดังกังวาน “เวทกระบี่ของเจ้าจะอยู่อันดับที่เท่าไหร่ ข้าผู้เป็นนักพรตไม่สนใจ ก็แค่เห็นหน้าเจ้าแล้วไม่ถูกชะตาเท่านั้น ไปหาสถานที่ต่อสู้กันให้สาแก่ใจสักครั้งดีไหมล่ะ?”
ผู้ฝึกกระบี่ยิ้มบางๆ “นักพรตจมูกวัวหน้าเหม็นอย่างเจ้า อย่างอื่นล้วนไม่ได้เรื่อง แต่โชคดีกว่าข้าก็เท่านั้น ถึงได้เป็นลูกศิษย์ของเต๋าเหล่าเอ้อร์ อาจารย์ของข้าสู้เขาไม่ได้ เพราะดีแต่ปากเก่ง แต่ต่อให้อาจารย์ของข้าจะมีหมื่นอย่างที่สู้อาจารย์ของเจ้าไม่ได้ เขาก็มีข้อหนึ่งที่แข็งแกร่งกว่า นั่นก็คือซิ่วไฉเฒ่ามีลูกศิษย์อย่างข้า ส่วนลูกศิษย์สิบกว่าคนของเต๋าเหล่าเอ้อร์ซึ่งรวมเจ้าไว้ด้วยน่ะหรือ…”
บุรุษชุดเขียวยื่นนิ้วออกมาข้างหนึ่ง ชูขึ้นสูงแล้วส่ายเบาๆ “ไม่ได้เรื่อง”
เขายังไม่ยอมเลิกราง่ายๆ แหงนหน้าพูดว่า “ยกตัวอย่างเช่นเจ้ายกกายธรรมใหญ่โตขนาดนี้มาเพื่ออะไร? เมื่ออยู่ต่อหน้ากระบี่ของข้าก็ยัง…ไม่แน่พออยู่ดีไม่ใช่หรือ?!”
ไม่รอให้บุรุษพูดขาดคำ
คลื่นลูกยักษ์ร้อยจั้งก็โถมตัวขึ้นมาในทะเลกว้าง ปราณกระบี่เกรียงไกรที่หนาใหญ่กว่าเกาะกุ้ยฮวาทั้งเกาะซึ่งอยู่ในรูปลักษณ์ของลำเสาแสงทะยานสู่ชั้นเมฆ กระแทกโจมตีให้กายธรรมร่างทองตนนั้นแหลกสลายไปในเสี้ยววินาที
เรือลำน้อยใต้ฝ่าเท้าของเฉินผิงอันที่ติดร่างแหไปด้วยกระเด้งกระดอนโคลงเคลงไปตามลูกคลื่น
เขาหันหน้าไปมองปราณกระบี่สีขาวหิมะที่ทะยานสูงด้วยพลังอำนาจมหาศาล
ก่อนหน้านี้รู้สึกว่ากระบี่ที่ผ่าม่านราตรีซึ่งผีสาวสวมชุดแต่งงานร่ายไว้ของเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะคือสุดยอดของกระบี่บินในโลกแล้ว
บัดนี้ถึงเพิ่งค้นพบว่าตัวเองหูตาแคบ มีความรู้แค่หางอึ่งเท่านั้น
กายธรรมร่างทองปริแตกไม่เหลือชิ้นดี แต่กระนั้นก็ยังมีเสียงดุจเสียงระฆังใหญ่ดังก้องมาจากกลางอากาศ “ข้าผู้เป็นนักพรตไม่อยากเอาเปรียบเจ้า มีเจ้าหนูนั่นอยู่ด้วย เจ้าและข้าทั้งสองคนต่างก็ลงมือได้ไม่เต็มที่ ไม่สู้ไปที่น่านทะเลเกาะเฟิงเสินดีไหม?”
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เจียวเฒ่าสีทองที่ถูกปราณกระบี่อัดแน่นเต็มช่องโพรงลมปราณทั้งสามร้อยกว่าแห่งไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะฝืนประคับประคองไม่ให้ช่องโพรงระเบิดแตก
ที่แท้ไม่รู้ว่านักพรตสูงใหญ่ซึ่งเดินทางมาไกลเป็นพันเป็นหมื่นลี้ผู้นั้นใช้วิชาอภินิหารอะไร ถึงได้ฉวยโอกาสตอนที่กายธรรมร่างทองถูกปราณกระบี่ทำลาย ยื่นนิ้วข้างหนึ่งที่ขาวนวลเนียนราวกับหยกมาแตะที่หน้าผากของเจียวเฒ่า ฝ่ายหลังพลันร่างผ่ายผอมเหลือแต่กระดูก จากนั้นจิตใจก็เหมือนขี้เถ้ามอด เรือนกายส่วนใหญ่จากในสู่นอกกลายเป็นขี้เถ้าที่ปลิวสลาย เหลือไว้เพียงชุดคลุมยาวสีทองที่ล่องลอยอยู่บนท้องทะเล รวมไปถึงวัตถุกึ่งอมตะบางส่วนที่เกิดจากการรวมตัวกันของขอบเขตก่อกำเนิด
ผู้ฝึกกระบี่ไม่แยแสเรื่องนี้
เขาเพียงแค่โบกมือหนึ่งครั้ง พัดพาของที่เหลืออยู่ของเจียวเฒ่าชุดทองไปในเรือเล็กของเฉินผิงอัน “เก็บของผุๆ พวกนี้เอาไว้ให้ดี การเดินทางไปภูเขาห้อยหัวรวมไปถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่หลังจากนี้ จงภาวนาให้ตัวเองโชคดีเถอะ”
เฉินผิงอันกุมมือประสานค้อมเอวลงต่ำ
ผู้ฝึกกระบี่พยักหน้ารับการคำนับอย่างตรงไปตรงมา จากนั้นก็ไม่พูดอะไรให้มากความอีก เขาทะยานลมไปยังทิศทางฝั่งตะวันตกเฉียงใต้พลางพึมพำกับตัวเองหนึ่งประโยค เสียงยังคงแว่วมาให้ได้ยิน ไม่รู้ว่าผู้ฝึกกระบี่พูดให้ตัวเองฟังหรือพูดให้เฉินผิงอันฟังกันแน่
“เป็นอมตะอายุยืนยาว ภูเขาและทะเลไร้พันธนาการ กินแสงอรุณดื่มน้ำค้าง ไม่กินธัญพืชทั้งห้าถือเป็นพวกแตกต่าง”
เฉินผิงอันนั่งกลับลงไปบนเรือเล็กเงียบๆ เก็บของสามชิ้นที่ผู้ฝึกกระบี่จั่วโย่วโยนมาไว้ข้างเท้าเข้าไปในกระบี่บินสืออู่ ของสามอย่างนี้ได้แก่ชุดคลุมยาวสีทอง หนวดสีทองสองเส้นที่รัดพันเข้าด้วยกัน และไข่มุกเม็ดหนึ่งขนาดใหญ่เท่ากำปั้น สีของมันออกเหลือง หม่นแสงไม่มีประกาย คล้ายคลึงกับคำกล่าวที่ว่าคนแก่ไข่มุกเหลือง (เป็นคำเปรียบเปรยว่าคนแก่แล้วก็ไม่ได้รับความสำคัญ เหมือนไข่มุกที่อยู่มานานจนกลายเป็นสีเหลืองที่ไม่มีค่า)
เฉินผิงอันกวาดตามองรอบด้าน คลื่นลมเริ่มสงบ เงยหน้ามองไปก็เห็นฟ้าครามกับแสงแดดอบอุ่น
เฉินผิงอันหยุดพักชั่วขณะ ก่อนจะหยิบเอาไม้พายที่ถูกวาดยันต์ตัดโซ่ที่แท้จริงลงไปขึ้นมา ลุกขึ้นยืนแจวเรือไล่ตามเกาะกุ้ยฮวาไปด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ขออย่าให้เรือข้ามฟากขับไปถึงภูเขาห้อยหัวในรวดเดียว แล้วทิ้งตนไว้ท่ามกลางมหาสมุทรที่กว้างใหญ่เพียงลำพังเลย เฉินผิงอันเบิกตากว้าง พยายามเพ่งมองทิศไกล
หากเป็นเมื่อก่อนเฉินผิงอันคงไม่คิดว่าเกาะกุ้ยฮวาจะทำอย่างนี้ได้อย่างไร?
ทว่าตอนนี้เฉินผิงอันกลับไม่รู้สึกตัวเลยสักนิดว่าตัวเองมีความคิดเช่นนี้อยู่
จิตใจเตลิดฟุ้งซ่านก็เป็นเช่นนี้เอง
ผู้ฝึกกระบี่ที่ทะยานลมจากไปไกลอย่างอิสระเสรีพลันหยุดชะงักในตำแหน่งที่เฉินผิงอันไม่มีทางมองเห็น แล้วหันหน้ากลับไปมอง
ในสายตาของบุรุษเห็นเด็กหนุ่มจากต้าหลี
แต่ในใจของเขากลับคิดว่าอีกฝ่ายคือสหายเก่าแก่
คนผู้นั้นเคยพูดว่า ข้าเองก็ไม่เต็มใจอยากจะมาหาท่านเพื่อให้ท่านเป็นผู้ปกป้องมรรคาของเฉินผิงอัน แล้วก็รู้ดีว่าศิษย์พี่น่าจะไม่รับปาก แต่ชั่วชีวิตนี้ข้าฉีจิ้งชุนมีสหายอยู่แค่ไม่กี่คน ทั่วทั้งใต้หล้านี้ ข้าได้แต่มาหาท่าน
แล้วก็เป็นท่านเพียงคนเดียวเท่านั้น!
พอคิดถึงประโยคระยำนี่ ความอัดอั้นก็อัดแน่นเต็มท้องของบุรุษ เขานั่งลงขัดสมาธิ หยุดลอยตัวอยู่บนทะเล มือสองข้างกำเป็นหมัดวางยันไว้บนหัวเข่า
ปราณกระบี่ที่เฉียบคมทั่วร่างยิ่งไหลเอ่อไปทั่ว น้ำทะเลใต้ฝ่าเท้าเดือดพล่านอย่างรุนแรง ทว่าไอน้ำเหล่านั้นกลับไม่สามารถขยับเข้าใกล้ผู้ฝึกกระบี่ท่านนี้ได้
ผู้ฝึกลมปราณในโลกต่างก็อิจฉาผู้ที่มีพรสวรรค์ด้านการฝึกกระบี่อย่างเลิศล้ำมาตั้งแต่เกิด หรือพวกที่มีตำแหน่งตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิด ทว่าบุรุษผู้นี้กลับเรียนกระบี่ช้ามากแล้ว อีกทั้งไม่เคยเป็นตัวอ่อนกระบี่อะไร ดังนั้นรอจนคนผู้นี้ลุกผงาดโดดเด่นขึ้นมาในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เขาไม่ใช่แค่ข่มทับ แต่บดขยี้ผู้ฝึกกระบี่ที่อาวุโสกว่าจำนวนนับไม่ถ้วน สำหรับตัวอ่อนผู้ฝึกกระบี่ทั้งหลาย คนผู้นี้ยิ่งไม่เคยออมมือยั้งไมตรี พูดจาถากถางอย่างกำเริบเสิบสาน เรื่องนี้เล่าลือกันไปทั่วหล้า ไม่รู้ว่าผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกกระบี่กี่มากน้อยที่จิตแห่งกระบี่แหลกสลาย มหามรรคาขาดสะบั้นเพราะเขา
เป็นเหตุให้พอถูกคนชื่นชมให้เป็นตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิด ผู้ฝึกกระบี่ที่มีพรสวรรค์และอายุน้อยทั้งหลายต่างก็สบถพึมพำ มักรู้สึกประโยคนี้เป็นการด่าคน
ผู้ฝึกกระบี่คนนี้ชื่อว่าจั่วโย่ว
‘จั่วโย่ว’ ที่แปลว่าใต้หล้านี้ไม่มีใครที่มีเวทกระบี่เหนือไปกว่าเขา
ต่อให้บุรุษจะกำลังเหม่อลอย แต่สายตาของเขาก็ยังคงทอแสงเจิดจรัสดุจดวงตะวัน
ก่อนหน้านี้เขาจ้องนิ่งไปยังดวงตาที่ใสกระจ่างคู่นั้นของเด็กหนุ่ม ช่างเหมือนศิษย์น้องหน้าเหม็นที่ตนคุ้นเคยตอนยังเป็นเด็กหนุ่มยิ่งนัก ศิษย์น้องคนนั้นมักจะอาศัยที่ตัวเองเฉลียวฉลาดด้านการเรียน ได้รับความรักและเอ็นดูจากอาจารย์ เวลาพูดถึงหลักการของอริยะนักปราชญ์ทีก็พูดจ้อได้ไม่หยุด แต่ละหลักการสอดคล้องแนบแน่นไร้ช่องโหว่ให้โจมตี พอจั่วโย่วยอมแพ้แล้ว อีกฝ่ายยังจะพูดอีกว่า ‘ข้ารู้สึกว่าศิษย์พี่ท่านไม่ได้ยอมแพ้จากใจจริง แบบนี้ไม่ถูกต้อง’ น่ารำคาญชะมัด
ชั่วชีวิตนี้เขารำคาญที่สุดเวลาอาจารย์โม้ว่ามีฝีมือในการต่อสู้ร้ายกาจแค่ไหน ส่วนที่รำคาญในลำดับถัดมาก็คือเสี่ยวฉีที่อ่านตำราไวมาก แล้วก็รำคาญเสียงเปิดหน้าหนังสือและเสียงอธิบายหลักการของเขา
เขาชอบแค่งานเลี้ยงยิ่งใหญ่ของสามลัทธิที่อาจารย์ได้เข้าร่วมอภิปรายสองครั้ง นั่นคือภาพบรรยากาศที่สมกับคำกล่าวว่าปราชญ์เดียวดายละทิ้งโลกไว้เบื้องหลัง ซิ่วไฉเป็นดั่งดวงตะวันที่ลอยอยู่กลางนภา
ชอบทุกครั้งที่ฉีจิ้งชุนออกไปท่องเที่ยวภูเขาและแม่น้ำที่มีชื่อเสียงกับตน ยามที่ฉีจิ้งชุนดื่มเหล้าเข้าไปจะทำให้คนรู้สึกว่าต่อให้ขุนเขาจะสูงแค่ไหน จะกี่ร้อยกี่พันจั้ง ก็สูงสู้ความรู้ของคนผู้นี้ไม่ได้!
ทว่าต่อให้ถึงวันนี้ ซิ่วไฉเฒ่าไม่เหลือทางใดให้ถอย ต้องสลายหายไปในฟ้าดิน เสี่ยวฉีไม่อยู่ในโลกแล้ว อาเหลียงเองก็ไปจากใต้หล้าไพศาล บุรุษก็ยังคงรู้สึกว่า อาจารย์ก็ดี เสี่ยวฉีก็ช่าง หรือแม้แต่อาเหลียงที่มองดูเหมือนจะมีอิสระเสรีผู้นั้นล้วนมีชีวิตที่เหนื่อยเกินไป
ไม่เหมือนตน
เพราะแต่ไหนแต่ไรมาเขาจั่วโย่วก็คร้านจะพูดหลักการหรือเหตุผลกับใคร
เอาชนะคนอื่นไม่ได้ พูดหลักการไปก็ไร้ประโยชน์ เอาชนะคนอื่นได้ ก็ดูเหมือนว่าเหตุผลจะไม่มีความจำเป็นอีกแล้ว
แค่มีกระบี่ก็พอแล้ว
บุรุษถอนหายใจหนึ่งที ลุกขึ้นยืน มุ่งหน้าไปยังเกาะเฟิงเสินซึ่งตั้งอยู่บนน่านน้ำทิศตะวันตกเฉียงใต้
คำพูดบางอย่าง เขารู้สึกว่าดัดจริต จึง ‘คร้าน’ ที่จะพูดออกมา
ศิษย์น้องเล็ก เจ้าต้องชมใต้หล้าแห่งนี้แทนเสี่ยวฉีให้มากๆ
วันหน้ามีโอกาสก็ไปชมใต้หล้าแห่งอื่น ไปให้ครบทุกที่ ชีวิตนี้เสี่ยวฉียังไม่เคยได้เดินออกไปจากใต้หล้าไพศาล แต่เขากลับเป็นคนที่วาดฝันอยากเห็นทิวทัศน์ทิศไกลมากที่สุดในบรรดาลูกศิษย์มากมายของอาจารย์ ทว่าพอถึงท้ายที่สุดกลับกลายเป็นว่าเขาคือคนที่อยู่ในโรงเรียนและห้องหนังสือมากที่สุด
ไม่กี่ครั้งในชีวิตที่เสี่ยวฉีร้องไห้ ข้าจำได้อย่างชัดเจน ล้วนเป็นเพราะถูกข้าต่อยตอนเด็ก เขาถึงได้ร้องไห้ ช่วยไม่ได้ ข้าอธิบายเหตุผลและหลักการสู้เขาไม่ได้ แต่เรื่องต่อยตีกันเขาสู้ข้าไม่ได้
เจ้าหนู เจ้าสามารถจินตนาการภาพที่อาจารย์ฉีของเจ้าร้องไห้น้ำมูกน้ำตาไหลอย่างน่าสงสารออกหรือไม่?
บุรุษหัวเราะฮ่าๆ ผลักกระบี่ออกจากฝัก เกาะบนทะเลหลายสิบแห่งในบริเวณใกล้เคียงซึ่งอยู่ใต้ฝ่าเท้า ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ล้วนถูกเขาฟันออกเป็นสองท่อนทั้งหมด
โลกมนุษย์ช่างน่าเบื่อ
มีเพียงทะเลาะต่อยตีกับคนอื่นที่พอจะทำให้จั่วโย่วกระตือรือร้นขึ้นมาได้บ้าง
……
ระหว่างเรือน้อยที่พายจ้ำกับเกาะกุ้ยฮวาที่เคลื่อนไปอย่างเชื่องช้า มีผู้เฒ่าคนหนึ่งที่แท้จริงแล้วบาดเจ็บสาหัสกำลังรอเฉินผิงอันอยู่บนทะเล
เฉินผิงอันยิ้มกว้าง เขาก็คือคนพายเรือเฒ่าที่มีวิชาอภินิหารล้ำเลิศคนนั้น
คนทั้งสองโดยสารเรือลำน้อยล่องไปตามทะเลด้วยกัน เพียงไม่นานก็ตามไปทันเกาะกุ้ยฮวา จอดเรือเทียบท่า กุ้ยฮูหยินมารออยู่ที่ท่าเรือเพียงลำพัง ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยแววขออภัย พูดกับเฉินผิงอันว่า “เรื่องในวันนี้ ข้าจะรายงานให้บรรพบุรุษตระกูลฟ่านทราบอย่างชัดเจน พระคุณช่วยชีวิตของคุณชายเฉิน ข้าจะไม่มีทางลืมเลือนไปชั่วชีวิต!”
เฉินผิงอันยิ้มจืดเจื่อน ส่ายหน้าพูดว่า “ก็แค่ช่วยเหลือตัวเองเท่านั้น”
กุ้ยฮูหยินไม่รู้จะตอบโต้เช่นไร นางถอนหายใจหนึ่งที เดินเคียงหนึ่งผู้เฒ่าหนึ่งเด็กหนุ่มขึ้นไปยังยอดเขาของเกาะกุ้ยฮวา
คนพายเรือเฒ่าจำเป็นต้องพักรักษาตัวจึงบอกลาเฉินผิงอัน กลับไปยังที่พักของตัวเอง เฉินผิงอันเดินกลับไปที่เรือนเล็กกุยม่ายพร้อมกับกุ้ยฮูหยิน กุ้ยฮูหยินลังเลอยู่ชั่วครู่ก็เอ่ยอธิบายว่า “ก่อนหน้านี้ในศึกใหญ่ปกป้องเกาะกุ้ยฮวา หม่าจื้อที่เป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมก็ได้รับบาดเจ็บเหมือนกัน ช่วงเวลาอันใกล้นี้คงไม่สามารถฝึกกระบี่เป็นเพื่อนเจ้าได้ เขาฝากข้ามาบอกเจ้า หวังว่าคุณชายเฉินจะให้อภัย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “การรักษาอาการบาดเจ็บของผู้อาวุโสหม่าต้องสำคัญกว่าอยู่แล้ว”
กุ้ยฮูหยินรู้สึกจนใจเล็กน้อย “ตอนนี้สถานการณ์ของเกาะกุ้ยฮวาค่อนข้างลี้ลับ ข้าไม่วางใจที่จะปล่อยให้คนนอกเข้ามาในเรือนหลังนี้จริงๆ ต่อให้เป็นจินซู่ก็ไม่เหมาะ หากคุณชายเฉินไม่รังเกียจ ข้าจะเป็นคนรับผิดชอบเรื่องการกินอยู่ของเรือนเล็กกุยม่ายเอง”
เฉินผิงอันรีบโบกมือเป็นพัลวัน “ไม่ต้องๆ แค่ทำเหมือนก่อนหน้านี้ที่เอาอาหารสามมื้อของแต่ละวันมาส่งก็พอ หากไม่เป็นเพราะที่นี่ไม่มีห้องครัว อันที่จริงจะให้ข้าทำอาหารเองก็ยังได้”
กุ้ยฮูหยินบอกลาด้วยรอยยิ้ม “ยังมีธุระอีกมากมายให้ต้องจัดการ คุณชายเฉินพักผ่อนให้ดี หากมีธุระก็เรียกหาข้าได้เลย ใกล้ๆ กับเรือนจะมีแม่นางกุ้ยฮวาคนหนึ่งคอยรอคุณชายโดยเฉพาะ”
เฉินผิงอันนั่งอยู่บนโต๊ะหินในลานเพียงลำพัง เริ่มหลับตาพักผ่อน
เพียงไม่นานก็มีคนเคาะประตู น้ำเสียงอ่อนโยนของแม่นางกุ้ยฮวาคนหนึ่งดังขึ้นนอกประตู “คุณชายเฉิน มีแขกสองคนจากธวัลทวีปมาพบท่าน พบหรือไม่พบ ก่อนหน้านี้กุ้ยฮูหยินบอกว่าให้ดูที่ความต้องการของคุณชาย”
เฉินผิงอันลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู นอกจากเด็กสาวของเกาะกุ้ยฮวาแล้วยังมีเด็กหนุ่มชุดเขียวที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และหญิงชราผมขาวใบหน้าเคร่งขรึมอีกคนหนึ่ง
พบหน้ากันเด็กหนุ่มคนนั้นก็พูดเข้าประเด็นทันที “ผู้มีพระคุณ ข้าชื่อหลิวโยวโจว มาจากธวัลทวีปที่อยู่ทางเหนือสุด ข้าคงไม่เข้าไปข้างในรบกวนการพักผ่อนของเจ้าแล้ว แค่อยากจะมาขอบคุณเจ้าต่อหน้าเท่านั้น”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ตกลง”
จากนั้นคนทั้งสองก็เงียบกันไป
—–