กระบี่จงมา Sword of Coming – บทที่ 272.1 แม่นางหนิง ขอโทษนะ

บทที่ 272.1 แม่นางหนิง ขอโทษนะ

เฉินผิงอันไม่รอให้หนิงเหยาพูดจบก็เอ่ยขึ้นอย่างลุกลี้ลุกลนว่าแม่นางหนิงเจ้ารอสักครู่ จากนั้นเฉินผิงอันก็หันหน้ากลับไป ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาแล้วแอบดื่มเหล้า

หนิงเหยาไม่เข้าใจการกระทำของอีกฝ่าย

หรือว่าเจ้าหมอนี่แอบไปทำเรื่องอะไรที่ผิดต่อตน? ยกตัวอย่างเช่นระหว่างที่เดินทางจากถ้ำสวรรค์หลีจูมาจนถึงภูเขาห้อยหัวติดหนี้บานเบอะ โดยลงในบัญชีของนางหนิงเหยา?

หรือยกตัวอย่างเช่นเขาทำตำราหมัดเขย่าขุนเขาเล่มนั้นหายไปตั้งนานแล้ว ฝึกกระบวนท่าหมัดแค่ไม่กี่พันครั้งก็รู้สึกว่าไม่มีอนาคต ตอนนี้เลยสะพายกล่องกระบี่ เริ่มฝึกกระบี่แล้ว สุดท้ายกลายเป็นว่าทั้งหมัดทั้งกระบี่ต่างก็ไม่ได้เรื่องทั้งคู่?

หรือว่าตอนที่เฉินผิงอันท่องอยู่ในยุทธภพเป็นคนโง่ที่มีโชคของคนโง่ รอบกายมีสตรีรู้ใจที่โง่งมห้อมล้อมกลุ่มใหญ่ ตอนนี้กำลังรอคอยเขาอยู่ที่โรงเตี๊ยม?

หนิงเหยาคิดไปเหนือใต้ออกตก สารพัดจะคิด

มีเพียงเรื่องเดียวที่นางไม่ได้คิดถึงคือเฉินผิงอันทำกระบี่เล่มที่หร่วนฉงหลอมให้หาย

นี่จะเป็นไปได้อย่างไร ต่อให้ผ่านพันภูเขาหมื่นแม่น้ำ ผ่านฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาว เขาจะต้องเอากระบี่มาส่งแน่ๆ

ดื่มเหล้าแล้ว เฉินผิงอันก็พลันลุกขึ้นยืน เดินลงบันไดมาเผชิญหน้ากับหนิงเหยา ด้านหลังหนิงเหยาก็คือหอจิ้งเจี้ยนแห่งนั้น ราวกับว่านางคือศูนย์รวมจิตวิญญาณนับหมื่นปีของกำแพงเมืองปราณกระบี่ รวมไปถึงของจูอวี๋และโยวหวง ตอนนั้นที่เฉินผิงอันนั่งยองอยู่มุมกำแพง เขาคิดเรื่องราวอะไรมากมายให้วุ่นวายไปหมด ยกตัวอย่างเช่นบทกลอนในหนังสือที่มีประโยคหนึ่งเอ่ยว่า ‘ปักดอกจูอวี๋เต็มหัว ขาดข้าเพียงคนเดียว’ ‘นั่งเดียวดายในป่าไผ่มืดครึ้มเงียบสงบ’ (ป่าไผ่มืดครึ้มตรงกับชื่อกระบี่โยวหวง) นึกถึงอาเหลียงและตัวอักษรเหมิ่ง นึกถึงตัวอักษรแกะสลักที่มีประวัติยาวนานยิ่งกว่าเช่นคำว่าเหลยฉือจ้งตี้ (บ่อสายฟ้าสถานที่สำคัญ) เฉินผิงอันยังถึงขั้นนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่คนทั้งสองได้กลับมาพบกันอีกครั้งเป็นครั้งแรก ซึ่งไม่ใช่ภาพที่เขานั่งเซ่ออยู่บนขั้นบันไดของภูเขาห้อยหัวแล้วเจอนางอย่างแน่นอน

หนิงเหยานั่งอยู่บนขั้นบันไดอย่างคนใจเย็น นางเอนตัวไปข้างหลัง เท้าข้อศอกลงบนขั้นบันไดที่อยู่สูงกว่าอย่างเกียจคร้าน หรี่ดวงตาทั้งคู่ลง คิ้วสองข้างที่เป็นเหมือนดาบแคบยิ่งขยายยาวชวนให้คนใจสั่น

พอเห็นภาพนี้ เฉินผิงอันกลับพูดไม่ออกสักคำ หันหน้ากลับไปดื่มเหล้าอีกครั้ง

เฉินผิงอันกำลังจะเปิดปากพูด

จู่ๆ หนิงเหยาก็เลิกคิ้ว นั่งตัวตรง เอ่ยถามว่า “เฉินผิงอัน เจ้ากลายเป็นผีขี้เหล้าตั้งแต่เมื่อไหร่?!”

คำพูดที่กว่าจะปลุกระดมความกล้าได้มากเพียงพอ คำพูดที่ไต่ขึ้นมาที่ปากอย่างยากลำบากราวกับปีนขึ้นเขาถูกกลืนกลับลงท้องไปด้วยความตกใจ แต่ละคำเป็นเหมือนร่างที่ร่วงหล่นไปจากหน้าผา กระดูกกระแทกแตกย่อยยับ

เฉินผิงอันถอนหายใจอย่างเศร้าอาลัย นั่งยองลงไปบนพื้น ยกสองมือเกาหัวไม่พูดไม่จา

หนิงเหยาลุกขึ้นยืน พูดยิ้มๆ ว่า “เฉินผิงอัน ดูเหมือนว่าเจ้าจะตัวสูงขึ้นนะ?”

เฉินผิงอันลุกพรวดขึ้นยืน ยื่นมือไปขวางไม่ให้หนิงเหยาเดินลงมาจากบันได “แม่นางหนิง เจ้ารอข้าพูดประโยคนี้ให้จบก่อน!”

เด็กหนุ่มแหงนหน้าขึ้นสูง ยืดอกตั้ง กำน้ำเต้าบรรจุเหล้าไว้แน่น สายตาจ้องมองไปยังแม่นางที่สวมชุดคลุมยาวสีเขียวเข้มคนนั้น

หนิงเหยากะพริบตาปริบๆ คล้ายเดาไม่ออกว่าเฉินผิงอันคิดจะทำอะไรกันแน่

เฉินผิงอันกล่าว “แม่นางหนิง…”

เขารีบส่ายหน้า เปลี่ยนคำเรียกขานเสียใหม่ว่า “หนิงเหยา ข้าชอบเจ้า”

หนิงเหยานั่งกลับลงไปบนขั้นบันได “แน่จริงเจ้าก็พูดดังๆ สิ”

เฉินผิงอันจึงแผดเสียงตะโกนไปว่า “หนิงเหยา! ข้าชอบเจ้า!”

หนิงเหยาถาม “เจ้าเป็นใคร?”

เฉินผิงอันยิ้มกว้าง ไม่มีความสำรวมระมัดระวังตนอีก พูดอย่างห้าวหาญว่า “เฉินผิงอันแห่งหลงเฉวียนต้าหลี!”

แม้เฉินผิงอันเองก็รู้ว่า หลังส่งมอบกระบี่ให้แม่นางหนิงแล้ว ได้อยู่ด้วยกันอีกช่วงระยะเวลาหนึ่ง ทางที่ดีที่สุดควรไปเห็นบ้านเกิดที่แม่นางหนิงเติบโตมา รวมถึงทำความรู้จักกับสหายของนางที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ถึงเวลานั้นค่อยตัดสินใจว่าจะพูดมันออกไปดีหรือไม่ นั่นถึงจะเป็นวิธีการที่มั่นคงที่สุด ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดก็คือหนิงเหยาไม่ชอบเขา แต่ไม่แน่ว่าอาจจะยังเป็นเพื่อนกันได้

ทว่าเฉินผิงอันไม่ต้องการให้เป็นอย่างนั้น

หนิงเหยาลุกขึ้นยืนอีกครั้ง นางถามเฉินผิงอันด้วยสีหน้าประหลาด “ชอบคนคนหนึ่งแล้วร้ายกาจมากนักหรือ?”

เฉินผิงอันมึนงง ไม่รู้เลยว่าควรจะตอบนางอย่างไร

เฉินผิงอันอดตำหนิอริยะกระบี่ผู้เฒ่าซ่งของแคว้นซูสุ่ยกับอาจารย์ของผู้เฒ่าพายเรือบนเกาะกุ้ยฮวาไม่ได้ คนหนึ่งปากอีกา อีกคนเป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมถ่ายทอดประสบการณ์ในยุทธภพให้

หนิงเหยาลงบันไดมาด้วยก้าวเดียว พอหยุดอยู่หน้าเฉินผิงอันแล้วก็ยื่นฝ่ามือออกมา “เอามา”

เฉินผิงอันร้องอ้อหนึ่งที คลายเชือกออก ปลดกล่องไม้ที่อยู่ด้านหลัง ดึงกระบี่ยาวเล่มที่อริยะหร่วนฉงเป็นผู้หลอมออกมายื่นส่งให้แม่นางที่อยู่ตรงหน้า

พอรับกระบี่ยาวมาแล้ว หนิงเหยาก็ไม่ได้ชักกระบี่ออกจากฝักเพื่อตรวจสอบความคมของมัน เพียงแขวนไว้ตรงเอวฝั่งขวาแล้วเดินตรงไปข้างหน้า สวนไหล่กับเฉินผิงอันไปทั้งอย่างนั้น

พอเฉินผิงอันหันขวับไปมองก็เห็นแค่ว่านางชูมือขึ้นโบกเบาๆ เป็นการอำลา

ริมฝีปากของเฉินผิงอันสั่นระริก แต่กลับพูดอะไรไม่ออก เพราะความกล้าหาญทั้งหมดล้วนถูกใช้กับประโยคนั้นไปหมดแล้ว

เขาเหม่อมองนางอยู่เนิ่นนาน ไม่ยอมถอนสายตากลับ ไม่ยอมหันหน้ากลับมา

นางยิ่งเดินก็ยิ่งห่างไปไกล เรือนร่างค่อยๆ หายไปท่ามกลางม่านราตรี

เฉินผิงอันหันหน้ากลับมา เดินไปยังบันไดตรงตำแหน่งที่ตัวเองนั่งก่อนหน้านี้ แล้วเริ่มพร่ำพูดถึงถ้อยคำที่ก่อนหน้านี้ไม่ทันพูดมันออกไป

แม่นางหนิง เจ้าสบายดีไหม?

แม่นางหนิง ข้าออกจากบ้านคราวนี้ได้พบเจอเรื่องที่น่าสนใจมากมาย เล่าให้เจ้าฟังดีไหม?

แม่นางหนิง เจ้าต้องคิดไม่ถึงแน่ๆ ตอนนั้นที่ข้ารับปากเจ้าว่าจะฝึกหมัดให้ครบหนึ่งล้านครั้ง ตอนนี้เหลือแค่สองหมื่นครั้งแล้ว

แม่นางหนิง เจ้ารู้หรือไม่ ตอนนั้นที่อยู่ในบ้านบรรพบุรุษตรอกหนีผิง พอเจ้ายิ้ม ข้าจะต้องรู้สึกทุกครั้งว่าตัวเองคือคนที่มีเงินมากที่สุดในโลก

หนิงเหยา ข้าได้เจอกับอาเหลียง แต่อาจารย์ฉีไม่อยู่แล้ว

หนิงเหยา ข้าเคยไปที่แคว้นหวงถิง ต้าสุย แคว้นไฉ่อี แคว้นซูสุ่ย นครมังกรเฒ่า ไปมาหลายสถานที่ ได้พบเจอแม่นางมากมาย แต่พวกนางล้วนไม่งดงามเหมือนเจ้า

แม่นางหนิง เมื่อก่อนเจ้าถามข้าว่าชอบเจ้าหรือไม่ ข้าบอกว่าไม่ชอบ ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ได้อารมณ์เสีย แต่ตอนนี้ข้าชอบเจ้ามากถึงขนาดนี้แล้ว ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่พอใจสักเท่าไหร่ ขอโทษนะ

แม่นางหนิง ได้พบเจ้า ข้าดีใจมาก

……

บนลานกว้างหยกขาวตีนภูเขาเดียวดาย นักพรตน้อยที่สวมกวานหางปลาไว้บนศีรษะนั่งเปิดหนังสืออยู่บนเบาะต่ออีกครั้ง หลายวันมานี้คือวันถือศีลกินเจที่สำคัญของใต้หล้ามืดสลัว แต่ไหนแต่ไรมาภูเขาห้อยหัวไม่เคยเรียกตัวเองว่าเป็นคนของใต้หล้าไพศาล ดังนั้นประตูบานใหญ่ที่ทะลุไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่บานนี้ต้องรอยามจื่อของวันมะรืนถึงจะเปิดใหม่อีกครั้ง หาไม่แล้วที่นี่ย่อมเป็นหนึ่งในแถบที่คึกคักที่สุดของภูเขาห้อยหัว

เพราะที่นี่มีแต่คนผ่าน ไม่มีของผ่าน

ศูนย์กลางการขนส่งที่แท้จริงอยู่กึ่งกลางภูเขาห้อยหัว

ท่าเรือแปดแห่งในบริเวณใกล้เคียงซึ่งรวมถึงศาลาจัวฟ่างและหอซ่างเซียงต่างก็มีทางลาดเอียงสายใหญ่ที่โยงไปถึงกึ่งกลางภูเขา ในอดีตด้วยเรื่องที่ว่าจำเป็นต้องเจาะผนังภูเขาเพื่อสร้างท่าเรือใหญ่ไว้กลางภูเขา จำเป็นต้องขอคำแนะนำจากอาจารย์ผู้เป็นเจ้าลัทธิแห่งใต้หล้ามืดสลัวหรือไม่ ศิษย์พี่ศิษย์น้องสองคนเคยทะเลาะกันมาก่อน เทียนจวินใหญ่ของภูเขาห้อยหัวคิดว่าเพื่อแนวโน้มของสถานการณ์ส่วนใหญ่แล้ว เหตุใดภูเขาห้อยหัวต้องปล่อยให้เงินค่าควันธูปมากมายขนาดนั้นเสียเปล่าไปโดยไม่รู้จักไขว่คว้ามา?

นักพรตน้อยที่นอกจากจะมีสถานะเป็นคนเฝ้าประตูแล้ว ยังเป็นคนสำคัญอันดับสองของภูเขาห้อยหัวด้วยกลับรู้สึกว่าการขุดดินก่อสร้างบนภูเขาห้อยหัว ขอแค่เกี่ยวพันกับตัวของตราประทับภูเขา ต่อให้จะแค่เสี้ยวเดียวก็ถือเป็นการไม่เคารพต่อท่านอาจารย์แล้ว

ตอนนั้นคนทั้งสองทะเลาะกัน แต่ก็ยังไม่ได้คำตอบ ถึงกับลงไม้ลงมือกันเพราะเหตุนี้ หลังจบเรื่องต่างคนต่างไปจุดธูปสามดอกบนหอซ่างเซียง ทำเอาอาจารย์เจ้าลัทธิที่ปกติพำนักอยู่ฟ้านอกฟ้าตกใจ อาจารย์กลับไปที่หอป๋ายอวี้จิงของใต้หล้ามืดสลัวก่อน จากนั้นจึงร่างโองการด้วยตัวเองหนึ่งฉบับ สองศิษย์พี่ศิษย์น้องถึงยอมหยุดลงได้ แต่นับจากนั้นมา ด้วยความโมโห นักพรตเด็กที่เดิมทีกุมอำนาจใหญ่ไว้ในมือไม่แพ้ศิษย์พี่ก็ไม่สนใจกิจธุระของภูเขาห้อยหัวอีกเลย เขาโยนงานทั้งหมดให้เทียนจวินใหญ่ ส่วนตัวเองก็มานั่งเฝ้าอยู่บนเบาะรองนั่งตรงนี้

บุรุษกอดกระบี่ที่นั่งอยู่บนเสาผูกม้ามักจะหลับตลอดช่วงเวลากลางวัน แต่พอถึงกลางคืนกลับตื่นคืนสติแจ่มชัด ดวงตาของเขาสว่างดุจแสงจันทร์กระจ่าง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มกระตือรือร้น มองซ้ายทีมองขวาทีเหมือนกำลังรอใครอยู่

รอแล้วรอเล่า แต่คนที่รอก็ยังไม่มาสักที เขาจึงเริ่มหงุดหงิด กระโดดลงจากเสาผูกม้า (ซวนหม่าจวง เสาหินแกะสลักของจีน มีลักษณะเป็นทรงสี่เหลี่ยม บ้านคนมีฐานะในสมัยโบราณเอาไว้ใช้ผูกม้า วัวเพื่อแสดงถึงความร่ำรวย และยังมีความหมายถึงการสยบความชั่วร้ายปกป้องบ้านเรือน ภายหลังกลายมาเป็นเหมือนเสาประดับ) เดินอ้อมประตูใหญ่ที่เหมือนกระจกมานั่งยองอยู่ข้างกายนักพรตน้อย ข้างหูได้ยินเพียงเสียงเปิดหน้าหนังสือที่เนิบช้าของอีกฝ่าย

เดิมทีช่วงนี้อารมณ์ของนักพรตน้อยก็ย่ำแย่อยู่แล้ว แม้ว่าเขาจะเป็นนักพรตเต๋าสายของเทียนจวินใหญ่ แต่กลับสนิทสนมกับลู่เฉินหนึ่งในสามเจ้าลัทธิ พอเห็นกะเทยแซ่ลู่ผู้นั้นก็ให้รู้สึกหงุดหงิดใจ และคำพูดคำจาที่วางโตของกะเทยนั่นก็ยิ่งทำให้เขารำคาญ เรื่องที่ศิษย์พี่เทียนจวินใหญ่แพ้คนอื่นในการต่อสู้ก็ยิ่งทำให้เขาโมโห

เหตุใดใต้หล้าถึงมีเรื่องที่ทำให้คนหงุดหงิดใจมากมายขนาดนี้?

ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ป๋ายอวี้จิง ตอนที่ยังไม่ถูกลู่เฉินเจ้าลัทธิน้อยหลอกมาที่ภูเขาห้อยหัวกลับไม่มีเรื่องน่ารำคาญใจมากมายขนาดนี้ ทุกวันเดินเล่นอยู่บนราวระเบียงเป็นเพื่อนเจ้าลัทธิลู่ รอให้อาจารย์กลับจากฟ้านอกฟ้ามาพักผ่อนที่ป๋ายอวี้จิง บางครั้งโชคดียังได้เจอกับท่านผู้เฒ่ามรรคาจารย์เต๋าที่ร้อยปีก็ยากจะพานพบสักครั้ง ท่านผู้เฒ่ามรรคาจารย์เต๋าเป็นคนที่ยุ่งมาก น้อยครั้งที่จะมาปรากฏตัวที่ป๋ายอวี้จิง หากไม่ไปท่องเที่ยวยังพื้นที่ลับไม่รู้ชื่อ ช่วยทำให้โชคชะตาของบางแห่งมั่นคง สร้างถ้ำสวรรค์สำหรับผู้ฝึกตน ก็มนสิการมรรคาอยู่ที่ถ้ำสวรรค์เหลียนฮวา แน่นอนว่าท่านผู้เฒ่ามรรคาจารย์เต๋าไม่จำเป็นต้องทำความเข้าใจเพื่อให้บรรลุมรรคาอีกแล้ว ตามคำอธิบายของท่านอาจารย์ คำว่ามนสิการนี้ก็แค่คอยมองจุลมรรคาของคนอื่นเท่านั้น

นักพรตน้อยทนชายฉกรรจ์กอดกระบี่ที่นั่งอยู่ด้านข้างไม่ไหวจึงเอ่ยว่า “ก็แค่แม่นางน้อยคนหนึ่งไม่ใช่หรือ มีอะไรให้น่าดูกัน”

ชายฉกรรจ์กอดกระบี่ตอบด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไม่เข้าใจ ข้าเป็นคนที่มีความผิดติดตัว ถูกลงโทษให้มาอยู่ที่นี่ นานๆ ทีจะมีความสนใจเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้”

นักพรตน้อยปิดหนังสือ ยิ้มกว้าง “โอ้ ห่างแค่บานประตูกั้น ตัวอยู่ในใต้หล้าไพศาล แต่ยังได้ครอบครองเซียนกระบี่ใหญ่ขอบเขตเซียน ความสนใจเล็กๆ น้อยๆ? น้อยแค่ไหน?”

ชายฉกรรจ์วัยกลางคนส่ายหน้าถอนหายใจ “คุยกับคนแบบเจ้านี่น่าเบื่อจริงๆ”

—–

กระบี่จงมา Sword of Coming

กระบี่จงมา Sword of Coming

Status: Ongoing
” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “
เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา
เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม
และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง
ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท