แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องเข้ามาในร้านเหล้า เถ้าแก่กำลังผิวปากหยอกนกในกรงตัวนั้น นกน้อยเย็นชาปานประหนึ่งเทพธิดาบนภูเขา แต่ผู้เฒ่ากลับยิ่งฮึกเหิม พยายามโอ้อวดฝีมือของตัวเองเต็มที่ เสียงผิวปากจึงยิ่งดังถี่กระชั้น
ลูกจ้างหนุ่มกำลังเก็บกวาดร้านอย่างขยันขันแข็ง โต๊ะที่เดิมทีก็ไม่มีฝุ่นเกาะอยู่แล้วยิ่งสะอาดเอี่ยมอ่อง บางครั้งยังเป่าลมใส่แล้วใช้ชายแขนเสื้อเช็ดอย่างละเอียด ร่างทั้งร่างแผ่กลิ่นอายของความภาคภูมิใจอย่างเปี่ยมล้น
ราวกับว่าสำหรับเด็กหนุ่มขายเหล้าในภูเขาห้อยหัวคนนี้ การทำความสะอาดของทุกชิ้นในร้านก็คือความสุขสูงสุดในใต้หล้านี้
เฉินผิงอันที่นอนฟุบอยู่บนโต๊ะงัวเงียตื่นขึ้นมา ไม่ได้รู้สึกปวดหัวราวหัวจะแตกเหมือนคนที่ดื่มเหล้าอย่างหนัก แค่รู้สึกเลอะๆ เลือนๆ นั่งอยู่ที่เดิมอย่างมึนงง พยายามย้อนนึกว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น แต่กลับนึกไม่ออกเลยแม้แต่นิดเดียว จำได้แค่ว่าตัวเองตอบรับสามีภรรยาคู่นั้นว่าจะมาดื่มเหล้าลืมทุกข์ที่แม้แต่ผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบอยากดื่มก็ยังยากอะไรนั่น คู่สามีภรรยาคือใคร ตนคุยอะไรกับพวกเขา พวกเขาจากไปตอนไหน ล้วนลืมไปสิ้น
ทั้งๆ ที่เรียกว่าเหล้าลืมทุกข์ แต่สรุปแล้วมันทำให้ลืมอะไรกันแน่?
เฉินผิงอันกลับยิ่งรู้สึกทุกข์มากกว่าเก่า มักรู้สึกว่าในใจมีความเสียใจบางๆ ล้อมวน ปัดเป่าอย่างไรก็ไม่จางหาย
ก็เหมือนกับตอนที่ฟ้าเพิ่งจะเริ่มสาง มีนกขมิ้นตัวหนึ่งบินมาเกาะหน้าต่างดินของบ้านบรรพบุรุษตรอกหนีผิง เสียงจิ๊บๆๆ ของมันรบกวนการนอน ปลุกให้คนตื่น แต่กลับตัดใจไล่มันไปไม่ลง
เฉินผิงอันกวาดตามองรอบด้านก็เห็นหนุ่มลูกจ้างที่กำลังทำงานอย่างแข็งขันกับเถ้าแก่วัยชราที่กำลังว่างงาน
เฉินผิงอันจึงส่งเสียงหยั่งเชิง “คิดเงิน?”
เด็กหนุ่มที่กำลังนั่งยองเช็ดขาโต๊ะยิ้มกว้าง ไม่พูดอะไร
ผู้เฒ่าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าดื่มเหล้าไปทั้งหมดสี่ไห สามไหนั้นข้าเลี้ยงเอง ยังเหลืออีกไหหนึ่งที่เจ้าต้องจ่ายเงินจริงๆ”
เฉินผิงอันถาม “เป็นเงินเท่าไหร่?”
ผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ “เงิน? หากต้องจ่ายเงินซื้อเหล้าหวงเหลียงไหหนึ่งจริงๆ นั่นก็เป็นเงินที่ค่อนข้างมากนะ”
เด็กหนุ่มที่เถ้าแก่ชราเรียกว่าสวี่เจี่ยหัวเราะหึหึ “เมื่อคืนมีเด็กหนุ่มร่ำรวยจากธวัลทวีปมาเยือนเพราะได้ยินชื่อเสียงของร้านมานาน หวังจะซื้อเหล้าลืมทุกข์ไหหนึ่งกลับบ้าน เถ้าแก่ไม่อยากขายให้ บอกว่าไม่ใช่เรื่องของเงิน เด็กหนุ่มคนนั้นตอแยไม่เลิกรา ซักถามจะขอรู้ราคาให้ได้ พอรู้ราคาเข้าจริงๆ ก็ตกใจจนเซ่อไปเลย แถมยังนั่งเหม่ออยู่บนบันไดนอกร้านทั้งคืน คงเป็นเพราะยังไม่ยอมถอดใจกระมัง”
เฉินผิงอันถาม “หลิวโยวโจว?”
ผู้เฒ่าพยักหน้า “เจ้าเด็กนั่นแหละ ว่าที่เจ้าประมุขสกุลหลิวแห่งธวัลทวีป ถูกขนานนามให้เป็นกุมารมากสมบัติ ในวัตถุฟางชุ่นชิ้นหนึ่งของเขามีสมบัติอาคมอยู่มากมาย เพราะสาเหตุจากจวนหยวนโหรว คนทั้งภูเขาห้อยหัวจึงรู้จักชื่อของคุณชายน้อยที่มีเงินคนนี้ มีครั้งหนึ่งเขาออกไปฝึกประสบการณ์กับสหายในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง คนที่ร่วมเดินทางไปด้วยกันมีเจ็ดคน ดันไปเจอศัตรูที่แข็งแกร่งเข้า เจ้าหนูนี่เอาสมบัติอาคมด้านการโจมตีชั้นเยี่ยมออกมารวดเดียวเจ็ดชิ้น จากนั้นก็ทำตัวเองเป็นเหมือนเต่าที่หดหัวอยู่ในกระดอง ไม่พูดถึงยันต์ที่มีชื่อของอริยะ ลำพังเพียงแค่เสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างก็สวมไปแล้วถึงสองตัว อีกเจ็ดคนที่เหลือถึงได้แข็งใจอาศัยสิ่งนี้สังหารวัตถุหยินเซียนพสุธาที่มีขอบเขตสูงกว่าพวกเขาถึงสองระดับจนตาย”
เห็นได้ชัดว่าในสายตาของเถ้าแก่เฒ่า เจ้าหนูคนนี้มีค่าให้เขาพูดถึงอยู่หลายคำ เขากล่าวกลั้วหัวเราะว่า “เด็กที่น่าสนใจขนาดนี้ แม้แต่ข้าก็เกือบจะอดใจไม่ไหว อยากจะเลี้ยงสุราหวงเหลียงเขาสักถ้วย”
เฉินผิงอันอับอายเล็กน้อย หลิวโยวโจวผู้นี้ต้องกลัวตายถึงขนาดไหนกัน
เขาอดรู้สึกกระวนกระวายไม่ได้ “ท่านผู้เฒ่า จะคิดบัญชีกันอย่างไร?”
ผู้เฒ่าคิดแล้วก็ตอบว่า “ตอนนี้ยังคิดไม่ออกว่าจะคิดอย่างไร วันหน้าถ้าคิดออกแล้วค่อยไปหาเจ้า”
เฉินผิงอันใจตุ้มๆ ต่อมๆ ขึ้นมาทันควัน
ผู้เฒ่าจึงพูดยิ้มๆ ว่า “บางทีต่อให้เจ้าใช้ชีวิตชาตินี้หมดแล้ว ข้าก็ยังคิดไม่ออก ดังนั้นไม่ต้องกลัว”
เฉินผิงอันถึงคลายใจได้บ้างเล็กน้อย
เฉินผิงอันลุกขึ้นเตรียมจะออกไปจากร้าน ผู้เฒ่าถามว่า “ไอ้หนู เหล้าหวงเหลียงยังเหลืออีกเกือบครึ่งไห ไม่ดื่มให้หมดก่อนแล้วค่อยไปเล่า?”
เฉินผิงอันยื่นมือไปคว้าไหเหล้ามาแกว่ง ยังเหลืออีกเกือบครึ่งไหจริงๆ ด้วย จึงถามอย่างสงสัย “เอาไปด้วยไม่ได้หรือ?”
ผู้เฒ่าส่ายหน้า “เอาไปด้วยก็ลืมทุกข์ไม่ได้แล้ว แบบนั้นยังเทียบกับเหล้าธรรมดาไม่ได้ด้วยซ้ำ สิ้นเปลืองของดีซะเปล่าๆ แนะนำเจ้าว่าอย่าได้ทำเรื่องโง่แบบนี้เลย เหล้านี้มีความลี้ลับอยู่เล็กน้อย อันที่จริงสองสามีภรรยาเลี้ยงเหล้าเจ้าในเวลานี้ เดิมทีก็เป็นความสิ้นเปลืองอย่างใหญ่หลวงอยู่แล้ว เพราะยิ่งดื่มช้าเท่าไหร่ก็ยิ่งดีมากเท่านั้น เพียงแต่ว่าเรื่องราวบนโลกใบนี้ยากที่จะไขว่คว้าคำว่าดีที่สุดได้ ผ่านไปได้ก็ผ่านไป แค่ทำได้ดีก็พอแล้ว”
เฉินผิงอันจึงนั่งกลับลงไปอีกครั้ง ถามอย่างใคร่รู้ “ไม่ได้เรียกว่าเหล้าลืมทุกข์หรอกหรือ? เหตุใดเถ้าแก่ถึงชอบเรียกว่าเหล้าหวงเหลียง?”
เด็กหนุ่มสวี่เจี่ยเบิกตากว้าง ทำสีหน้าเหมือนเห็นผีกลางวันแสกๆ “เจ้าไม่รู้หรือว่าที่นี่คือที่ไหน?”
เฉินผิงอันยิ่งสงสัยเข้าไปอีก “หรือว่าไม่ใช่ภูเขาห้อยหัว?”
สวี่เจี่ยยิ้มกว้าง “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็คงจะเคยได้ยินชื่อพื้นที่มงคลหวงเหลียงมาบ้างกระมัง?”
เฉินผิงอันยังคงส่ายหน้า
ผู้เฒ่าจึงช่วยไขข้อข้องใจให้เฉินผิงอัน “เจ้าไม่รู้ก็ไม่แปลก พื้นที่มงคลแห่งนี้เผชิญกับสภาพการณ์เดียวกับถ้ำสวรรค์หลีจูบ้านเกิดของเจ้า”
สวี่เจี่ยรีบโยนผ้าเช็ดโต๊ะทิ้งแล้วกล่าวอย่างเร่งร้อนว่า “เถ้าแก่ๆ เรื่องต่อจากนี้เดี๋ยวข้าเล่าเอง คุณหนูบอกว่าเวลาข้าเล่าเรื่องนี้เท่ห์มากเป็นพิเศษ”
ผู้เฒ่าหัวเราะหึหึ “หากไม่เป็นเพราะลูกสาวข้าตาบอดก็เป็นเพราะนางดื่มเหล้าจนพูดส่งเดช เจ้าคิดว่าความเป็นไปได้ข้อไหนมากกว่ากัน?”
“คุณหนูเป็นคนดีจะตายไป!”
สวี่เจี่ยกระแอมหนึ่งครั้งให้ลำคอชุ่มชื้น กล่าวด้วยสีหน้าขึงขัง “ตอนนี้พื้นที่มงคลหวงเหลียงเหลือเพียงซากปรักหักพังเล็กน้อยเท่านั้น ในอดีตช่วงเวลาที่พื้นที่มงคลหวงเหลียงเจริญรุ่งเรืองมากที่สุด คนบนโลกที่ไม่สมหวังมักจะต้องมาเยือนรอบหนึ่ง ครึกครื้นมากเลยล่ะ คนสวยทิวทัศน์สวย เหล้ารสเลิศฝันงดงาม ทั้งหมดนี้ล้วนมีในพื้นที่มงคลแห่งนี้ อีกทั้งรับรองว่าจะต้องสมดังใจปรารถนา นี่ต่างหากถึงจะเป็นจุดที่หาได้ยากยิ่ง มันสามารถส่องสะท้อนจิตแห่งมรรคาของคนคนหนึ่ง ผู้ฝึกลมปราณหลายคนที่เลื่อนสู่ขอบเขตหยกดิบห้าขอบเขตบนได้อย่างถูไถ แม้ตอนแรกจะโชคดีฝ่าทะลุขอบเขตไปได้ แต่อันที่จริงได้ใช้วิชาลับและวิชานอกรีตมากมายของเมธีร้อยสำนัก ดังนั้นจึงต้องมาที่ร้านในภูเขาห้อยหัว ดึงหนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณออกมาก่อนเพื่อให้คงความมีสติเอาไว้ จากนั้นก็ดื่มเหล้าลืมทุกข์หนึ่งไห จนกระทั่งจิตที่แท้จริงปรากฏ อาศัยโอกาสนี้มองไปยังภาพเหตุการณ์ทั้งหมด บ้างก็ค่อยๆ สืบสาวเหมือนสาวเส้นไหม บ้างก็ตรวจสอบรูรั่วอุดช่องโหว่…”
ขณะที่สวี่เจี่ยกำลังพูดอย่างติดลม ผู้เฒ่าก็กล่าวอย่างหมดความอดทนว่า “หยุดเลยๆ! ปฏิทินเหลืองเล่มหนึ่ง พลิกไปพลิกมาเดี๋ยวเจ้าก็พลิกจนมันเละเทะพอดี (ปฏิทินเหลืองในที่นี้คือเรื่องราวในอดีต เรื่องในประวัติศาสตร์ พลิกปฏิทินเหลืองจนเละจึงเปรียบเปรยว่าบิดเบือนประวัติศาสตร์) สรุปก็คือตอนนี้พื้นที่มงคลหวงเหลียงเหลือแค่ร้านพวกเราร้านเดียวแล้ว”
เฉินผิงอันรินเหล้าใส่ถ้วย มองซ้ายมองขวา เอาพื้นที่มงคลแห่งหนึ่งมาคิดเชื่อมโยงกับร้านร้านหนึ่งไม่ได้เลยจริงๆ
อันที่จริงในแจกันสมบัติทวีปก็มีพื้นที่มงคลอยู่แห่งหนึ่ง พื้นที่มงคลชิงถาน อยู่ในครอบครองของสำนักโองการเทพซึ่งเป็นผู้ควบคุมลัทธิเต๋าของหนึ่งทวีป
ว่ากันว่าสกุลเจียงสำนักกุยหยกของใบถงทวีปก็ได้ครอบครองพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาเหมือนกัน
เฉินผิงอันดื่มเหล้าหนึ่งอึกแล้วถามว่า “ท่านผู้เฒ่า เมื่อวานข้าคงไม่ได้เมาอาละวาดกระมัง? แล้วสามีภรรยาคู่นั้นล่ะ?”
ผู้เฒ่าถามกลับ “จำไม่ได้แล้วรึ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า
ผู้เฒ่าเอ่ยยิ้มๆ “ขนาดตัวเจ้าเองยังจำไม่ได้ ข้าที่เป็นคนนอกคนหนึ่งทำไมต้องจำด้วยล่ะ?”
เฉินผิงอันไร้คำพูดตอบโต้ ได้แต่ดื่มเหล้าไปเงียบๆ
ยังคงดื่มไม่รู้รสว่าดีหรือเลว
รู้แค่ว่าดื่มง่าย
ผู้เฒ่านึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงชี้ไปที่กำแพงฝั่งหนึ่ง พูดกับเฉินผิงอันว่า “เห็นกำแพงทางฝั่งนั้นหรือไม่ คนที่สามารถมานั่งดื่มเหล้าที่นี่ล้วนไปเขียนกลอน หรือเขียนประโยคอะไรไว้บนนั้นก็ได้”
สวี่เจี่ยพูดเหมือนคนแก่ “ดื่มเหล้าเข้าไปแล้ว คนประเภทหนึ่งเมาจนล้มคว่ำ ชีวิตครึ่งหลังจะเป็นหรือตายก็ล้วนเหมือนจมอยู่ในถังเหล้า จนกระทั่งตายก็ยังไม่คืนสติจากอาการเมามาย อีกประเภทหนึ่งคือคืนสติอย่างเต็มที่ มองชีวิตได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ยังไม่ทันใช้ชีวิตของชาติหนึ่งจบก็ลิ้มรสชาติของชีวิตได้หลายชาติแล้ว สิ่งที่คนสองประเภทนี้เขียนออกมา ข้ารู้สึกว่าน่าสนใจเป็นพิเศษ ลูกค้า เจ้าอยากจะลองดูหน่อยหรือไม่?”
ผู้เฒ่าโมโหจนกลายเป็นขำ “หยุดพูดเถอะ ฟังเจ้าแล้วข้าเสียวฟันจะแย่ อายุแค่นี้ วันๆ คิดแต่จะเลียนแบบอาเหลียง เจ้าไม่อายตัวเองบ้างหรือไง”
สวี่เจี่ยกล่าวอย่างมีเหตุมีผล “คุณหนูชอบอาเหลียงขนาดนั้น ข้าไม่เลียนแบบเขาแล้วจะให้เลียนแบบใคร?”
ผู้เฒ่าทอดถอนใจ “ใครที่เรียนรู้จากข้า มีชีวิต ใครที่เป็นเหมือนข้า ตาย เจ้าเห็นผีขี้เหล้ามากมายขนาดนั้น ได้ยินถ้อยคำที่เกิดจากความเมามาก็เยอะ ยังไม่เข้าใจหลักการเล็กๆ ข้อนี้อีกหรือ?”
สวี่เจี่ยหัวเราะหึหึ “ข้าเรียนรู้จากอาเหลียง ไม่ได้เรียนรู้จากท่าน”
ผู้เฒ่าขว้างจอกเหล้าจอกหนึ่งใส่อีกฝ่าย “วันๆ ดีแต่จะเล่นลิ้นกับข้า!”
สวี่เจี่ยรับจอกเหล้ามาเบาๆ พอขว้างกลับไปให้ผู้เฒ่าแล้วก็รีบวิ่งเหยาะๆ เอาพู่กันด้ามหนึ่งไปส่งให้เฉินผิงอัน “ทิ้งข้อความไว้บนนั้นเป็นที่ระลึกหน่อยเถอะ”
—–