หลังจากยืดเอวขึ้นตรงแล้ว หลิวโยวโจวก็หันไปคำนับราชครูสาวแห่งต้าตวนผู้นั้น “ข้าน้อยเลื่อมใสท่านราชครูมานานแล้ว”
อันที่จริงตระกูลหลิวคือหนึ่งในผู้มีพระคุณที่อยู่เบื้องหลังของราชวงศ์ต้าตวน หลิวโยวโจวที่มีฐานะเป็นว่าที่เจ้าประมุข ไม่จำเป็นต้องลดทอนคุณค่าของตัวเองถึงเพียงนี้
หญิงสาวคลี่ยิ้มอย่างที่หาได้ยาก นางวางถ้วยชาลง “นิสัยแตกต่างจากบิดาเจ้ายิ่งนัก ดีมาก”
ฮ่องเต้ต้าตวนเหงื่อตกเล็กน้อย
นี่ถือว่าเป็นคำพูดที่ดีไหม?
หญิงสาวร่างสูงใหญ่ถามยิ้มๆ “เคยไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่หรือไม่?”
หลิวโยวโจวมาถึงพักหนึ่งแล้วก็ยังไม่ได้นั่ง เขาที่ยืนอย่างนอบน้อมอยู่ตลอดเวลาส่ายหน้ากล่าวว่า “ยังไม่เคยไป บิดาไม่อนุญาตให้ข้าไปเพราะกลัวจะเกิดเรื่องไม่คาดฝัน”
หญิงสาวคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ลูกศิษย์คนเดียวของข้า ตอนนี้กำลังฝึกประสบการณ์อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ หากคุณชายหลิวเต็มใจ ข้าสามารถเดินทางไปพร้อมเจ้าได้ รับรองว่าจะไม่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น”
หญิงชรามองประสานสายตากับผู้ดูแลเฒ่าแห่งจวนหยวนโหรวด้วยความรู้สึกยุ่งยากใจเล็กน้อย
ไม่ได้รู้สึกว่าราชครูต้าตวนกำลังคุยโว แต่นี่เกี่ยวพันไปถึงความต้องการของเจ้าประมุข พวกนางที่เป็นข้ารับใช้ไม่กล้าตัดสินใจเองโดยพลการ
ยังดีที่หลิวโยวโจวส่ายหน้าปฏิเสธอย่างละมุนละม่อมเสียก่อน “ไม่อาจละเมิดคำสั่งของบิดาได้ หวังว่าทานราชครูจะเข้าใจ”
หญิงสาวร่างสูงใหญ่พยักหน้ารับอย่างไม่ถือสา “อีกไม่นานลูกศิษย์ของข้าก็จะไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่และภูเขาห้อยหัวแล้ว ให้เขาไปฝึกประสบการณ์ที่ธวัลทวีปก็ดีเหมือนกัน หากคุณชายหลิวไม่ถือสาก็พาเขาไปด้วยกันได้”
สีหน้าของหลิวโยวโจวผ่อนคลายลง น้ำเสียงก็เบาสบายขึ้นเยอะมาก เขากล่าวยิ้มๆ ว่า “ยินดีอย่างยิ่ง!”
ถึงอย่างไรเขาก็เป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง เด็กหนุ่มที่กำลังเผชิญหน้าอยู่กับบุคคลอันดับที่ห้าของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง
เหมือนอย่างบิดาของเขาที่ไร้ศัตรูทัดเทียมมานานแล้วในธวัลทวีป แต่ตัวเขาเองก็ยังพูดว่าหากอยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง อย่างมากสุดตนก็เป็นแค่บุคคลล่างๆ ของคนจำนวนสิบคนเท่านั้น
เห็นว่าหญิงสาวคนนั้นลุกขึ้นยืน ฮ่องเต้ต้าตวนจึงเอ่ยพร้อมยิ้มบางๆ ว่า “ระยะเวลาแน่ชัดที่เขาจะออกจากภูเขาห้อยหัว หากทราบแล้วกว่าเหรินจะให้คนมาแจ้งจวนหยวนโหรวทันที ไม่ต้องไปส่ง เดี๋ยวพวกเราเดินออกไปกันเอง”
หนึ่งชายหนึ่งหญิงเดินออกจากจวนหยวนโหรว
หรือจะพูดให้ถูกคือหนึ่งหญิงหนึ่งชาย
เพราะไม่ว่าจะมองอย่างไร สตรีร่างสูงใหญ่ก็เหมือนเป็นฮ่องเต้ต้าตวน ส่วนบุรุษเป็นแค่ผู้ติดตามเท่านั้น
หลิวโยวโจวเพิ่งจะได้นั่ง เขากระตุกคอเสื้อของชุดไม้ไผ่เย็นสบายเบาๆ เพราะเหงื่อโซมเต็มกาย ชำเลืองตามองไปยัง ‘ภาพดอกบัวร่วงโรย’ ที่เป็นสมบัติพิทักษ์จวนหยวนโหรวซึ่งอยู่บนผนังชิ้นนั้นแวบหนึ่งแล้วหันไปสั่งความกับพ่อบ้านวัยชราว่า “เอาลงมาแล้วบรรจุให้ดี นำไปมอบให้กับฮ่องเต้ต้าตวน”
พ่อบ้านวัยชราทำสีหน้าลำบากใจ
หลิวโยวโจวยิ้มกว้าง “เชื่อข้าเถอะ”
พ่อบ้านวัยชราพยักหน้ารับเงียบๆ แล้วลงมือทำตามคำสั่ง
หลังจากที่พ่อบ้านวัยชราเอาภาพวาดโบราณภาพนั้นออกไปจากห้องโถงแล้ว มองผนังที่ว่างเปล่ากะทันหัน เขาก็ถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ท่านยายหลิ่ว ท่านคิดว่าภาพเด็กหนุ่มล่องเรือภาพนั้น ดีหรือไม่?”
สีหน้าของหญิงชราเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น กำลังจะเกลี้ยกล่อมเด็กหนุ่มว่าอย่าทำอะไรโดยใช้อารมณ์
หลิวโยวโจวกลับพูดกลั้วหัวเราะขึ้นมาเสียก่อน “ไม่แขวนไว้ที่นี่ดีกว่า รอกลับไปถึงบ้าน ข้าจะเอาไปแขวนไว้ที่ห้องหนังสือของตัวเอง! ไปๆๆ เพื่อแสดงความจริงใจ ข้าจะวาดด้วยตัวเองหนึ่งรูป! ท่านยายหลิ่ว รีบบอกให้ข้ารับใช้เตรียมหมึกและพู่กันไว้ให้ข้า!”
สีหน้าของหญิงชราแฝงแววครุ่นคิด
สาวใช้สี่คนของจวนหยวนโหรวหน้าตางดงามอ่อนหวานชวนให้คนหวั่นไหว สองคนในนั้นยังเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตถ้ำสถิต เมื่อพวกนางที่เต็มไปด้วยความคาดหวังเฝ้ามองนายน้อยที่ผู้คนพากันเล่าลือถึงทุ่มเทพละกำลังทั้งหมดวาดภาพนั้นจนเสร็จ เหล่าสาวใช้ก็ต้องเปลืองแรงไม่น้อยถึงจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ได้ นั่นยิ่งทำให้พวกนางดูน่าหลงใหลมากกว่าเก่า
หลิวโยวโจวค่อนข้างภาคภูมิใจในตัวเอง แม้จะวาดไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ แต่ความจริงใจกลับเต็มเปี่ยม
ภาพวาดของหลิวโยวโจวมีความคล้ายคลึงกับตัวอักษรของคนบางคนที่อยู่บนกำแพงของร้านแห่งหนึ่ง
น่าเสียดายก็แต่ตอนนั้นหลิวโยวโจวตัดใจซื้อเหล้าหวงเหลียงไหหนึ่งไม่ได้ หาไม่แล้วหากได้เห็นตัวอักษรยึกยือเหล่านั้น ไม่แน่ว่าเขาอาจจะรู้สึกเจ็บใจที่วีรบุรุษผู้เลื่อมใสกันและกันมาพบเจอกันช้าไปก็เป็นได้
……
ระหว่างฟ้าดินมีกำแพงแห่งหนึ่งที่สลักตัวอักษรใหญ่ทั้งหมดสิบแปดตัว
เต้าฝ่า (กถามรรค) เฮ่าหราน (ซื่อตรงและยิ่งใหญ่) ซีเทียน (แดนนิพพาน)
เจี้ยนชี่ฉางฉุน (ปราณกระบี่คงอยู่ยาวนาน) เหลยฉือจ้งตี้ (บ่อสายฟ้าสถานที่สำคัญ)
ฉี เฉิน ต่ง เหมิ่ง
หลังจากศึกแห่งการเดิมพันที่ทั้งสองฝ่ายต่างก็ส่งยอดฝีมือลำดับสูงสุดมาฝั่งละสิบสามท่าน เผ่าปีศาจทำลายข้อตกลง ไม่เพียงแต่ไม่ส่งมอบกระบี่ที่หลงเหลืออยู่ทั้งหมดที่เซียนกระบี่ทิ้งไว้ทางทิศใต้ของกำแพงเมืองมาให้ กลับยังอับอายจนพานเป็นโกรธ พากันบุกโจมตีเข้ามาระลอกแล้วระลอกเล่า เพียงแต่เมื่อเทียบกับศึกเดิมพันที่ทุ่มสุดตัว ใช้ชีวิตแลกชีวิตอย่างครั้งก่อนหน้านี้แล้ว พละกำลังที่ใช้ในการโจมตีกำแพงเมืองสามครั้งที่เกิดขึ้นอย่างไม่ปะติดปะต่อคราวนี้กลับด้อยกว่าหนึ่งระดับ ว่ากันว่าในเผ่าปีศาจมีปีศาจใหญ่หลายตนไม่คิดจะให้ความร่วมมือกับการโจมตีกำแพงเมืองครั้งนี้ ดังนั้นพวกเผ่าปีศาจจึงไม่มีมาดอันใหญ่โตโอหังเท่าใดนัก
ช่วงแรกเริ่มสุดกำแพงเมืองปราณกระบี่เป็นเช่นนี้ ตอนนี้ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม แค่มีตัวอักษรเพิ่มขึ้นมาสิบแปดตัวเท่านั้น
เนื่องจากกำแพงยาวแถบนี้เคยเป็นค่ายกลด่านใหญ่ที่อริยะสามลัทธิร่วมมือกันสร้างขึ้นมา เว้นเสียจากว่าจะถูกทำลายให้พังพินาศในรวดเดียว หาไม่แล้วเพียงไม่นานก็จะฟื้นตัวกลับคืนสภาพเดิม หากไม่เป็นเช่นนี้ ต่อให้จะเป็นกำแพงเมืองที่สูงเท่าไหร่ หรือเป็นขุนเขาที่แข็งแกร่งแค่ไหนก็คงพังราบเป็นหน้ากลองไปนานแล้ว เผชิญหน้ากับการจู่โจมอย่างดุดันและเต็มกำลังของเหล่าปีศาจใหญ่ที่มีฝีมือในระดับสูงสุด รวมไปถึงการออกกระบี่ที่เฉียบคมบนหัวกำแพงเมืองของเหล่าเซียนกระบี่แต่ละรุ่น ปราณกระบี่ที่ซัดกระจายไปทั่วทิศจึงทำลายตัวกำแพงด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้
กองทัพใหญ่ของเผ่าปีศาจที่ปักหลักห่างออกไปร้อยลี้มีจำนวนมากดุจฝูงมดที่เกาะกลุ่ม เมื่อไม่นานมานี้เพิ่งหยุดการโจมตีไปได้หนึ่งเดือนกว่า
กำแพงเมืองปราณกระบี่จึงได้อยู่ท่ามกลางความสุขสงบอย่างที่หาได้ยาก
ลำพังเพียงทางเดินม้าบนหัวกำแพงก็กว้างถึงสิบลี้
มีผู้เฒ่าที่ไม่รู้ว่าอายุเท่าไหร่คนหนึ่งมาสร้างกระท่อมฝึกตนอยู่บนหัวกำแพง ลูกหลานของผู้เฒ่าไปแตกกิ่งก้านสาขาอยู่ในเมืองทางทิศเหนือของกำแพงเมืองปราณกระบี่ กลายเป็นหนึ่งในตระกูลที่ใหญ่ที่สุดไม่กี่ตระกูลนานแล้ว แต่ผู้เฒ่าไม่เคยลงจากหัวกำแพง เขาเฝ้าอยู่ที่นี่มาปีแล้วปีเล่า ผู้เฒ่ามีนิสัยประหลาด เขาไม่เคยอนุญาตให้ลูกหลานในตระกูลมาพบ กลับเป็นเด็กต่างแซ่บางคนที่เขายอมส่งยิ้มให้ในบางครั้ง
เซียนกระบี่ เซียนกระบี่ใหญ่
ต่างกันแค่คำเดียว กลับต่างราวฟ้ากับเหว
และที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ เซียนกระบี่ใหญ่กับเซียนกระบี่ผู้เฒ่าที่ต่างกันแค่คำเดียวก็ห่างชั้นกันไกลโขเช่นกัน
เพราะเซียนกระบี่คนหนึ่งที่คิดจะมีชีวิตรอดอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ได้อย่างยาวนาน ไม่ได้อาศัยแซ่ แต่อาศัยแค่พลังในการต่อสู้
ในฐานะของคนที่มีอายุมากที่สุดในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ผู้เฒ่าผ่านมาหลายฝนหลายหนาว และแน่นอนว่าเคยมีความเสียดายมาหลายครั้ง ความเสียดายครั้งล่าสุดนี้อาจถือว่าเป็นครั้งใหญ่ในชีวิตอันยาวนานของผู้เฒ่า ผู้เฒ่าเสียดายที่เพราะกฎข้อบังคับ ทำให้ตนไม่อาจลงสนามสู้รบ ถึงได้ทำให้เด็กรุ่นหลังคู่รักเทพเซียนคู่นั้นต้องตายอย่างไม่สมเกียรติ
ผู้เฒ่าเห็นพวกเขาสองคนเติบโตมาตั้งแต่เด็ก เติบใหญ่ปีแล้วปีเล่า ขอบเขตไต่ทะยานครั้งแล้วครั้งเล่า ต่างคนต่างกลายเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ในท้ายที่สุด
ผู้เฒ่ารู้สึกว่าคนหนุ่มสาวที่เป็นเช่นนี้ต่างหาก ถึงจะทำให้ผู้คนมีความหวัง
ทำให้ผู้เฒ่ารู้สึกว่าโลกไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ชั่วร้าย หนุ่มสาวยังมีคนดี
คืนนี้ผู้เฒ่านั่งขัดสมาธิอยู่บนหัวกำแพงเพียงลำพัง กระบี่พกที่นอกเหนือจากกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเขาหักไปเล่มแล้วเล่มเล่า สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจไม่ใช้มันซะเลย
ผู้เฒ่าและเด็กๆ ทุกคนในกำแพงเมืองปราณกระบี่รู้จักผู้เฒ่าที่ไม่รู้ว่ามีอายุอยู่มากี่ปีคนนี้ดี บวกกับที่ผู้เฒ่ามีนิสัยประหลาด จึงไม่มีใครอยากคบค้าสมาคมกับผู้เฒ่านานแล้ว
แต่เมื่อหลายปีก่อนกลับมีเด็กหนุ่มต่างถิ่นที่ไม่มีใครรู้ประวัติความเป็นมาคนหนึ่งที่ทำหน้าหนาดึงดันมาสร้างกระท่อมเล็กๆ หลังหนึ่งอยู่ด้านหลังกระท่อมของผู้เฒ่า
ช่วงที่ผ่านมานี้ทุกครั้งที่เผ่าปีศาจรุกรานกำแพงเมือง เด็กหนุ่มจะทำเพียงแค่เฝ้าผู้เฒ่าและกระท่อมของตัวเอง หาไม่แล้วเขาก็ไม่มีทางลงมือ
อันที่จริงก็ไม่มีใครตำหนิเด็กหนุ่มต่างถิ่น ถึงอย่างไรเขาก็เป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตสี่คนหนึ่ง สามารถขึ้นมากินดื่มขับถ่ายอยู่บนหัวกำแพงเมืองได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว
ผู้เฒ่าที่กรอบตาลึกโบ๋ หน้าตอบโหนกแก้มสูงจมอยู่ในภวังค์ความคิด
หากไม่เป็นเพราะอยู่บนหัวกำแพง แต่ไปอยู่ในใต้หล้าไพศาลอย่างทางฝั่งของภูเขาห้อยหัว เกรงว่าใครก็ตามที่ได้เห็นผู้เฒ่าตัวเล็กผอมบางจนแทบไม่อาจต้านทานลมผู้นี้ก็คงไม่มีทางเชื่อว่า ผู้เฒ่าถูกคนเสเพลคนหนึ่งที่สามารถสลักคำว่าเหมิ่งไว้บนกำแพงเมืองเรียกว่า ‘เซียนกระบี่ใหญ่ผู้เฒ่า’
ชายหญิงคู่หนึ่งที่มีลักษณะเหมือนสามีภรรยามาปรากฏตัวอยู่ด้านหลังผู้เฒ่า ผู้เฒ่าไม่ได้หันหน้ากลับไปมอง เขาถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “พวกเจ้าเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว ยังต้องการให้ข้าทำอะไรอีกไหม? พูดมาได้เลย ขอแค่ไม่เกี่ยวข้องกับทิศทางการดำเนินไปของใต้หล้าทั้งสองแห่ง แค่เป็นเรื่องส่วนตัวของพวกเจ้า จะถูกต้องตามกฎหรือไม่ ข้าก็ล้วนช่วยได้ อีกอย่างตอนนั้นที่ข้าฝืนเก็บดวงวิญญาณที่หลงเหลืออยู่ของพวกเจ้าเอาไว้ เดิมทีก็ถือเป็นการทำผิดกฎอยู่แล้ว แต่ตาเฒ่าสองคนนั้นก็หลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งเหมือนกันไม่ใช่หรือ”
บุรุษที่กุมมือสตรีแต่งงานแล้วส่ายหน้า “แค่นี้ก็ดีมากแล้ว”
สตรีแต่งงานแล้วหันไปถลึงตาใส่บุรุษ ยิ้มพูดว่า “มี”
ผู้เฒ่าเค้นรอยยิ้มออกมาเสี้ยวหนึ่ง “พ่อตาแม่ยายได้เจอลูกเขย ยิ่งมองก็ยิ่งถูกชะตางั้นรึ? อืม เป็นเรื่องดี ถึงอย่างไรก็ดีกว่าได้พวกที่ไม่เป็นโล้เป็นพายมาเป็นเขย ว่ามาเถอะ จะให้ข้ามอบอาวุธเซียนชิ้นหนึ่งให้เจ้าเด็กนั่น หรือจะให้ข้าสอนวิชากระบี่เขาด้วยตัวเอง?”
สตรีแต่งงานแล้วกล่าวอย่างลังเล “อาจจะยากกว่านั้นสักหน่อย”
ผู้เฒ่าผอมแห้งหันหน้ามาถาม “หมายความว่าไง?”
บุรุษกล่าวอย่างจนใจ “สะพานแห่งอมตะของเด็กคนนั้นถูกคนสะบั้นขาดไปแล้ว”
ผู้เฒ่าขมวดคิ้ว “ทำลายสะพานอมตะของคนอื่นคือสิ่งที่ผู้ฝึกกระบี่อย่างพวกเราเชี่ยวชาญที่สุด แต่หากจะให้สร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะ นั่นน่ะยากยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์เสียอีก อีกอย่างถ้าข้าจำไม่ผิดล่ะก็ หากเป็นสะพานแห่งอมตะที่คนอื่นช่วยสร้างขึ้น ในประวัติศาสตร์ไม่มีเซียนกระบี่ร้ายกาจคนใดที่สามารถเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนได้ ถึงอย่างไรการฝึกตนก็ถือเป็นการกระทำที่ละเมิดหลักฟ้าดินอยู่แล้ว สะพานขาดแล้วค่อยซ่อมสะพานเพื่อฝึกตนก็ยิ่งถูกมหามรรคาเคียดแค้น มีความเป็นไปได้ว่าจะถูกจับตามองไม่ปล่อย พวกเจ้าพิจารณาดีแล้วหรือ? ไม่กลัวว่าจะได้ผลลัพธ์ในทางตรงกันข้ามรึ?”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ผู้เฒ่าก็ยิ้มบางๆ “ถึงอย่างไรคนอื่นเดินขึ้นฟ้าไม่ง่าย แต่ข้ากลับไม่ยาก”
สตรีแต่งงานแล้วลังเลตัดสินใจไม่ได้ นางเคยเถียงกับบุรุษเรื่องนี้มาก่อนแล้ว บุรุษรู้สึกว่าควรปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่แน่เสมอไปว่าวิถีวรยุทธ์จะไม่ดี ในฐานะที่นางคือเซียนกระบี่ซึ่งเคยยืนอยู่บนยอดเขาและเห็นทัศนียภาพของมหามรรคามาก่อน ย่อมรู้ดีว่าภูเขาของวิถีวรยุทธ์ต่ำกว่าของพวกนางหนึ่งระดับ ในเมื่อนี่เป็นความจริง อีกทั้งยังมีที่มาและหลักฐาน ใช่ว่านางจะดูแคลนวิถีวรยุทธ์ของเด็กคนนั้น แต่การเดินบนเส้นทางสายขาดเส้นนี้ ความเป็นไปได้ที่จะเดินไปสู่จุดสูงสุดอาจยิ่งน้อยเข้าไปอีก มันน้อยมากจริงๆ อีกทั้งอะไรคือทางสายขาด? แล้วอะไรคือสะพานอมตะของผู้ฝึกลมปราณ?
ถึงเวลานั้นลูกสาวของพวกเขาจะทำอย่างไร?
บุรุษหันมาพูดกับนางด้วยรอยยิ้ม “ไม่งั้นเอาอย่างนี้ดีไหม? ให้เจ้าเด็กนั่นลองพยายามเอาเอง สุดท้ายเดินไปได้ถึงตรงไหนก็ให้เป็นเรื่องของเขาเถอะ”
สตรีแต่งงานแล้วยังไม่ยอมถอดใจ เอ่ยถามว่า “ไม่อย่างนั้นข้าขออาวุธเซียนชิ้นหนึ่งจากท่านปู่เฉิน ถือว่าเป็นสินเจ้าสาวของลูกสาวเรา?”
ทางฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือคนแก่ก็ล้วนเคยชินที่จะเรียกผู้เฒ่าว่าท่านปู่เฉิน มีเพียงคนสองคนที่เป็นข้อยกเว้น
แน่นอนว่าคนบางคนที่สวมงอบพกดาบไปจากที่แห่งนี้ก็เคยเป็นข้อยกเว้นเช่นกัน
บุรุษกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ยังไม่ต้องพูดเรื่องที่ว่าชั่วชีวิตนี้เขาจะได้ใช้อาวุธเซียนที่ยากจะกำราบหรือไม่ พูดแค่ว่าเขาเฉินผิงอันคือลูกผู้ชายคนหนึ่ง ไหนเลยจะอยากได้รับโชควาสนาที่คนอื่นโปรยทานมาให้แบบนี้…”
สตรีแต่งงานแล้วตัดบทเหตุผลใหญ่โตของบุรุษ “แต่เขายังเป็นแค่เด็กหนุ่มอยู่เลยนะ”
บุรุษไม่รู้จะเถียงนางอย่างไร
แม้ว่าผู้เฒ่าจะชอบสองสามีภรรยาคู่นี้มาก แต่ก็ไม่ชอบมาฟังพวกเขาเถียงกันเรื่องหยุมหยิม
เพียงแต่พอได้ยินชื่อของเด็กหนุ่ม ผู้เฒ่าก็หันหน้ามาถามอีกครั้ง “เด็กหนุ่มก็แซ่เฉิน?”
สตรีแต่งงานแล้วเอ่ยยิ้มๆ “ท่านว่าบังเอิญหรือไม่ หลังจากเขาดื่มเหล้าหวงเหลียง ตัวอักษรที่เขาเขียนลงไปบนกำแพงตามใจปรารถนาก็คือคำว่าปราณกระบี่ยาว”
ผู้เฒ่าหันมามองคู่สามีภรรยา
บุรุษโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน “นี่ไม่ใช่แผนการของพวกเรา ทุกอย่างเกิดขึ้นตามธรรมชาติ”
สตรีแต่งงานแล้วก็พยักหน้ารับอย่างแรงด้วยสีหน้าจริงใจ
ด้วยกลัวว่าเซียนกระบี่ผู้เฒ่าที่ผู้คนเคารพเลื่อมใสจะเข้าใจผิดคิดว่าพวกเขากำลังเล่นงานเขา
หากผู้เฒ่าโมโหขึ้นมา
ผลลัพธ์…ยากเกินกว่าจะคาดการณ์ได้!
ผู้เฒ่ายื่นมือออกไปอย่างไม่ใส่ใจนัก
คว้าเอาเด็กหนุ่มคนหนึ่งจากภูเขาห้อยหัวที่อยู่ในใต้หล้าไพศาลมาที่หัวกำแพงของใต้หล้าแห่งนี้
ปราณกระบี่และปณิธานกระบี่ที่กลบเกลื่อนไปทั่วฟ้าดิน ดำรงอยู่ทั่วทุกหนแห่ง ประหนึ่งน้ำทะเลที่ไหลซัดกรากเข้ามาในช่องโพรงลมปราณของเด็กหนุ่ม
จนเขาแทบจะหายใจไม่ออก
เหมือนปลาน้อยตัวหนึ่งที่เดิมทีแหวกว่ายอยู่ในลำธารสายเล็ก แล้วถูกคนโยนขึ้นมาบนฝั่ง แถมฝั่งที่ว่านั้นยังเป็นประเภทที่พื้นดินแห้งแตก แสงแดดแผดจ้า ดีดร่างดิ้นรนอยู่ไม่กี่ที ไอน้ำบนตัวที่เหลืออยู่อีกไม่มากก็หายไปไม่มีเหลือ
ผู้เฒ่ามองประเมินเด็กหนุ่มที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศด้วยสีหน้าเจ็บปวดแวบหนึ่งแล้วโบกมืออย่างไม่ใส่ใจอีกครั้ง ส่งเด็กหนุ่มกลับไปยังตำแหน่งเดิมที่ภูเขาห้อยหัว ก่อนจะหันมาเอ่ยยิ้มๆ กับสองสามีภรรยาที่ไม่เข้าใจการกระทำของเขา “แบบนี้ก็ดีมากเหมือนกันไม่ใช่หรือ”
……
เฉินผิงอันร่างส่ายโงนเงน กว่าจะหยุดยืนนิ่งได้ไม่ใช่เรื่องง่าย
‘การเดินทางไกล’ ครั้งนี้ เฉินผิงอันลำบากเท่าไหร่ อันที่จริงผีสาวโครงกระดูกในแผ่นยันต์ที่ถูกเฉินผิงอันกำราบในแคว้นไฉ่อีซึ่งตอนนี้ซ่อนตัวอยู่ในกล่องกระบี่กลับลำบากยิ่งกว่า เพราะร่างของนางแหลกสลายไปอย่างสิ้นเชิง โชคดีที่เป็นแค่ระยะเวลาสั้นๆ อีกทั้งใน ‘เรือนไหว’ ซึ่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติของกล่องกระบี่ก็มีปราณหยินที่เข้มข้นมาก จึงสามารถสกัดกั้นปราณกระบี่ส่วนใหญ่เอาไว้ได้
ตอนนั้นเฉินผิงอันที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศมองเห็นผู้เฒ่าร่างผอมแห้งคนหนึ่งและสามีภรรยาคู่นั้น รวมไปถึงกำแพงเมืองยาวเหยียดที่เห็นแค่แวบเดียว
ตรงลานกว้างตีนภูเขาเดียวดาย เด็กสาวคนหนึ่งที่ตรงเอวพกกระบี่สองเล่มเดินออกมาจากผิวกระจก นางครุ่นคิดอยู่เล็กน้อยก็ชะลอฝีเท้า แม้ว่าสีหน้าจะยังไร้อารมณ์ แต่ก็ถือว่านางเป็นฝ่ายทักทายนักพรตน้อยที่อึ้งงันเป็นไก่ไม้ผู้นั้นก่อน “ครั้งนี้คุ้นเคยกับเจ้ามากกว่าครั้งก่อนนิดหนึ่งแล้ว แต่อันที่จริงก็ยังไม่สนิทกันอยู่ดี”
นักพรตน้อยพึมพำ “ไร้ขื่อไร้แปขนาดนี้ กำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเจ้าไม่ดูแลบ้างเลยหรือไง?”
ชายฉกรรจ์กอดกระบี่แหงนหน้ามองท้องฟ้าราตรีที่มีดวงจันทร์แค่ดวงเดียวพลางพูดกับตัวเองเบาๆ “เพื่อพวกเจ้าแล้ว พวกเราตายกันไปมากมายขนาดนั้น ใต้หล้าไพศาลไม่เห็นดูแลบ้างล่ะ?”
—–