สุดท้ายดวงจันทร์ก็ลาลับ ดวงอาทิตย์ยังคงส่องแสงตามปกติ
วันใหม่มาเยือนอีกวันหนึ่งแล้ว
ยากนักที่หนิงเหยาจะหลับสนิทขนาดนี้ พอตื่นแล้วก็เช็ดปาก ลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจ ถือโอกาสขี่กระบี่ลงจากหัวกำแพงมุ่งหน้าไปยังนครทางทิศเหนืออย่างสง่างาม
แม้ว่าเฉินผิงจะเห็นภาพเซียนซือขี่กระบี่ท่องเที่ยวในฟ้าดินมาไม่น้อยแล้ว แรกเริ่มสุดคือหนิงเหยา ต่อมาก็เว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะ แล้วก็หลิวป้าเฉียว ช่วงเวลาตอนที่นั่งเรือคุนก็ยิ่งได้เห็นอีกหลายคน แต่เวลาหนิงเหยาขี่กระบี่ ไม่ว่าจะมองอย่างไรเขาก็ยังรู้สึกสดใหม่อยู่เสมอ แน่นอนว่ายังรู้สึกอิจฉาด้วย
เฉินผิงอันกลับไปกินอาหารเช้าที่กระท่อม จากนั้นก็เริ่มเดินเลียบกำแพงทางทิศเหนือ ฝึกหมัดเดินนิ่งจากซ้ายไปขวาเพราะชินทางมานานแล้วจึงหลับตาเดินไปได้ตลอดทาง หนิงเหยาบอกว่าวันนี้อาจจะไม่ได้มาหาเขาที่หัวกำแพง ดังนั้นวันนี้เฉินผิงอันจึงพกอาหารมาด้วย กะว่าจะเดินไปให้ไกลกว่าเดิมอีกนิด
ก่อนหน้านี้คงเป็นเพราะอยู่ใกล้กับสถานที่ฝึกตนของเซียนกระบี่ผู้เฒ่าจึงมีเซียนกระบี่ปรากฏตัวให้เห็นน้อย เฉินผิงอันจึงได้เห็นแค่ผู้เฒ่าแซ่ฉี ละใต้เท้าอิ่นกวานที่สังหารเผ่าปีศาจห้าขอบเขตกลางมากเป็นอันดับหนึ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ รอจนวันนี้ที่เฉินผิงอันฝึกวิชาหมัดไปทางขวาเรื่อยๆ จึงได้เห็นผู้ฝึกกระบี่มากขึ้น มีทั้งชายหญิงคนแก่และเด็ก มีทั้งคนหนุ่มสาวที่มาที่นี่เพื่อดึงปณิธานกระบี่ ขัดเกลาวิถีกระบี่ ส่วนใหญ่แล้วจะฝึกเวทกระบี่อยู่เพียงลำพัง หรือไม่ก็ทำความเข้าใจกับมรรคาอยู่เงียบๆ แล้วก็มีผู้ฝึกกระบี่ที่จับกลุ่มกันลาดตระเวนหัวกำแพงเมือง พอเห็นเฉินผิงอันที่ปล่อยหมัดแต่สะพายกล่องกระบี่ไว้ข้างหลัง ทุกคนต่างก็ไม่มีใครทักทายเขา แถมยังมีสีหน้าเย็นชากันทุกคนโดยไม่มีข้อยกเว้น
เฉินผิงอันถึงได้เข้าใจความหมายประโยคนั้นของผู้เฒ่าแซ่ฉีมากขึ้น การฝึกกระบี่อยู่ที่นี่ ไม่มีใครอยากสร้างปัญหาให้ใคร แล้วก็ยิ่งไม่ควรสร้างปัญหาให้กับตัวเอง
เที่ยงตรง เฉินผิงอันนั่งกินหมูแผ่นและขนมที่หนิงเหยาเอามาให้บนหัวกำแพง เขาเคี้ยวอย่างละเอียดกินอย่างตั้งใจ ห่างออกไปไกลมีกลุ่มเด็กหนุ่มเด็กสาวเดินมา มีกันประมาณยี่สิบกว่าคน พวกเขาออกกระบี่ได้อย่างว่องไวและยังเป็นระเบียบ ร่างกายคล่องแคล่วปราดเปรียว ท่ากระบี่เรียบง่ายแต่พลิกแพลง ปณิธานกระบี่มีแนวโน้มไปในทางเข่นฆ่าสังหาร มืดทะมึนหนักอึ้ง มีผู้ฝึกกระบี่วัยกลางคนแขนเดียวผู้หนึ่งที่ก้าวเดินแผ่วเบาคอยติดตามขบวนมาให้คำชี้แนะอยู่ข้างๆ น่าจะเป็นเพราะมีลูกหลานคนหนุ่มสาวที่เป็นคนแซ่เดียวกับเขาฝึกตนอยู่ในกลุ่มนี้
เฉินผิงอันไม่กล้ามองมาก หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกมองเป็นพวกคนที่แอบมาขโมยเคล็ดวิชากระบี่ที่สืบทอดต่อกันมาจากบรรพบุรุษของตระกูลผู้อื่น
ผู้ฝึกกระบี่แขนเดียวคนนั้นเห็นว่าเฉินผิงอันกำลังกินอาหาร คิดดูแล้วก็ทำสัญญาณมือท่าหนึ่ง เหล่าผู้ฝึกกระบี่หนุ่มสาวร้องเฮด้วยความดีใจ รีบหยุดการฝึกฝนอย่างรวดเร็ว ก่อนจะจับกลุ่มสองสามคนนั่งลงบนพื้น ชายหญิงกลุ่มหนึ่งที่เดินตามมาด้านหลังขบวนของพวกเขาอยู่ไกลๆ รีบปลดห่อสัมภาระลง หยิบอาหารกลางวันออกมาส่งให้เด็กหนุ่มเด็กสาวกลุ่มนี้ด้วยท่าทางนอบน้อม
หนิงเหยาเคยบอกว่าการแบ่งระดับชั้นของกำแพงเมืองปราณกระบี่เข้มงวดมาก ให้ความสำคัญกับการสืบทอดของตระกูลและผลงานการสู้รบที่แท้จริงมากที่สุด
ยกตัวอย่างเช่นใต้เท้าอิ่นกวานคนนั้น ‘อิ่นกวาน’ ไม่ใช่ชื่อ แต่เป็นตำแหน่งขุนนางที่ประหลาดมาก เพราะแม้จะมีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน แต่ก็ไม่มีใครบอกได้ว่าขุนนางตำแหน่งนี้มีหน้าที่อะไรกันแน่ สรุปก็คือยศ ‘อิ่นกวาน’ นี้สืบทอดกันมาหลายยุคหลายสมัย รับหน้าที่เป็นผู้ควบคุมกองทัพ ตัดสินโทษ ลงโทษเป็นต้น รุ่นบรรพบุรุษมีประมุขหลายคนที่เป็นพวกไร้ความสามารถ เป็นเหมือนเงาที่อยู่ทางทิศเหนือของกำแพงเมืองปราณกระบี่ สุดท้ายมักจะกลายเป็นพวกลูกขุนพลอยพยักให้กับตระกูลใหญ่แห่งอื่น แต่ใต้เท้าอิ่นกวานรุ่นนี้กลับแตกต่างออกไป
เพราะได้รับการยอมรับว่าเป็นบุคคลอันดับที่สี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่
ในศึกสิบสาม คนที่สองที่ออกรบก็คือ ‘แม่นางน้อย’ ที่มีนิสัยฉุนเฉียวขี้หงุดหงิดคนนี้ ปีศาจใหญ่ที่มีพลังการต่อสู้ล้ำเลิศตนนั้นถึงกับยอมแพ้ถอยออกจากสนามรบไปโดยตรง ทำเอานางที่อยู่บนสนามรบเพียงลำพังโมโหฟาดงวงฟาดงาทุบทำลายพื้นที่รอบด้านนานถึงหนึ่งเค่อเต็มๆ คนของทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่และเผ่าปีศาจต่างก็มองดูนางระบายโทสะอยู่อย่างนั้น ทั้งสองฝ่ายต่างก็เคยชินเสียแล้ว
หลังจากหนิงเหยาเล่าศึกสิบสามให้ฟังคร่าวๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ นอกจากจะจดจำพลังการต่อสู้สูงสุดของทั้งสองฝ่ายได้แม่นยำแล้ว เฉินผิงอันยังจดจำสกุลลู่แห่งสำนักหยินหยางที่ ‘ความรู้ของตระกูลแพร่ไปครึ่งแผ่นดิน’ ได้ดีเป็นพิเศษด้วย
เพราะหนึ่งเค่อสุดท้ายก่อนที่สงครามจะจบลง ทั้งสองฝ่ายถึงเพิ่งจะเผยลำดับการส่งคนลงสนามรบ ซึ่งนี่น่าจะถือเป็นสงครามใหญ่อีกสงครามหนึ่งที่เงียบเชียบ แต่แท้จริงแล้วกลับเหมือนคลื่นใต้น้ำ
ใต้เท้าอิ่นกวานท่านนี้ช่วยเอาฤกษ์เอาชัยที่ดีให้แก่ฝั่งของเผ่ามนุษย์ เพียงแต่ว่าทางฝ่ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่กลับแตกพ่ายกลางทางจนแทบจะเสียกระบวนรบ โชคดีที่อาเหลียงปรากฏตัว ช่วยปิดท้ายให้จบลงได้ด้วยดี
หลังจากกินอาหารกลางวันเสร็จ เฉินผิงอันก็ลุกขึ้นเดินหน้าฝึกหมัดต่ออีกครั้ง ระหว่างนี้ยังได้เจอกับผู้เฒ่าแซ่ฉี แต่ว่าคราวนี้ข้างกายผู้เฒ่าแซ่ฉีมีชายวัยกลางคนหน้าตาหล่อเหลาติดตามมาด้วยคนหนึ่ง ผู้เฒ่าแซ่ฉีเก็บพลังอำนาจไว้ภายใน ส่วนบุรุษผู้นั้นกลับปล่อยพลังอำนาจอย่างเต็มที่ มองดูแล้วเหนือกว่าผู้เฒ่าหนึ่งระดับ
เฉินผิงอันไม่ได้เดินขึ้นหน้าไปทักทาย แค่หยุดการเดินนิ่ง ก้มหน้าลงเล็กน้อย กุมหมัดคารวะ
ผู้เฒ่าผงกศีรษะรับด้วยรอยยิ้ม แล้วก็ไม่ได้มาทักทายปราศรัยกับเด็กหนุ่มต่างถิ่นคนนี้เช่นกัน
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็เจอผู้ฝึกกระบี่วัยฉกรรจ์สองคนที่นั่งดื่มเหล้าอยู่บนหัวกำแพง รวมไปถึงเด็กสาวแขนเดียวคนหนึ่งที่ยืนถือกระบี่ไม่กระดุกกระดิก และกระบี่เล่มที่นางถือก็ใหญ่มาก
พอเฉินผิงอันเห็นพวกเขาก็จะกระโดดลงมาจากหัวกำแพงเงียบๆ อ้อมผ่านพวกเขา รอจนเดินไปไกลมากแล้ว ถึงได้กระโดดขึ้นไปบนหัวกำแพงและฝึกเดินนิ่งอีกครั้ง
ช่วงสนธยา เฉินผิงอันยังได้เห็นเซียนกระบี่หลายคนที่ขี่กระบี่บินขึ้นมาจากเบื้องล่างของกำแพงเมืองทางทิศใต้ ข้ามผ่านทางเดินม้าแล้วมุ่งหน้าตรงไปยังทิศเหนือ
เฉินผิงอันมองท้องฟ้ายามเย็นแวบหนึ่ง กินอาหารเย็นอย่างง่ายๆ แล้วหมุนตัวเดินกลับ
จนกระทั่งกลางดึกถึงกลับมาถึงกระท่อมหลังเล็ก ผลคือพอผลักประตูเข้าไป อาศัยแสงจากดวงจันทร์ที่สาดส่อง เฉินผิงอันมองเห็นว่าใต้เท้าอิ่นกวานผู้นั้นกำลังแอบขโมยกินอาหารของเขา เฉินผิงอันยืนนิ่งไม่ขยับอยู่ตรงหน้าประตู ‘แม่นางน้อย’ ผมแกละค่อยๆ หันหน้ากลับมา แก้มของนางพองป่อง ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นโจรที่ถูกจับได้เลยแม้แต่น้อย กลับยังทำตัวเป็นโจรที่ตะโกนให้จับโจร สายตาที่มองเฉินผิงอันเต็มไปด้วยแววตำหนิและระแวดระวัง คล้ายกำลังถามว่าเจ้าเป็นใคร มาที่บ้านข้าทำไม
นี่ไม่ใช่หัวขโมยที่เข้าไปลักเล็กขโมยน้อยในบ้านคนอื่น แต่คือโจรภูเขาที่ลงจากเขามาปล้นสะดมชัดๆ
เฉินผิงอันได้แต่ออกจากกระท่อมเงียบๆ แถมยังปิดประตูให้ด้วย
เขากลัวว่าหากสองฝ่ายพูดจาไม่เข้าหูกัน ใต้เท้าอิ่นกวานที่มีพลังการต่อสู้เหี้ยมหาญ มีนิสัยเอาแต่ใจตัวเองผู้นี้จะชักกระบี่ออกมาแทงตนจนพรุน
เฉินผิงอันเดินไปนั่งดื่มเหล้าที่หัวกำแพงเมืองทางเหนือด้านหลังกระท่อม
แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงตบดังเพี๊ยะมาจากด้านหลัง เฉินผิงอันหันหน้ากลับไปมอง เห็นว่านางหุบมือ จากนั้นชี้ไปทางกระท่อม แล้วนางก็ทะยานจากไป
นี่คือกำลังบอกข้าว่าสามารถกลับไปเก็บกวาดซากที่เหลือในห้องได้แล้ว?
เฉินผิงอันพลันปวดหัวแปล๊บ แต่ด้วยความระวังตัวจึงนั่งยังอยู่ที่เดิม รอจนแม่นางน้อยที่สวมชุดตัวโคร่งจากไปไกลแล้วถึงได้เดินกลับไปดูที่กระท่อมรอบหนึ่ง แล้วก็เห็นว่าอาหารที่หนิงเหยาเอามาให้แทบไม่เหลืออยู่เลย
เฉินผิงอันถอนหายใจหนึ่งครั้ง เก็บกวาดห้องที่เละเทะเรียบร้อยแล้วก็ย้อนกลับไปที่หัวกำแพงอีกครั้ง เริ่มฝึก ‘คัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริง’ เล่มที่เจิ้งต้าเฟิงมอบให้
เขายังคงทำท่าจับกระบี่ยาวที่ไม่มีอยู่จริง และหลักๆ ก็ยังคงฝึกท่าหิมะทลายและท่าสยบเสินโถวซึ่งเป็นบทขึ้นต้น
วันนี้หนิงเหยาไม่ได้มาหาเฉินผิงอันที่หัวกำแพง
ครึ่งคืนหลังเฉินผิงอันจึงกลับไปนอนที่กระท่อม
เช้าตรู่วันที่สองเฉินผิงอันเพิ่งจะตื่นนอนและเดินออกจากกระท่อมไปได้ไม่นานเท่าไหร่ก็เห็นใต้เท้าอิ่นกวานผู้นั้น ด้านหลังของนางมีเด็กหนุ่มเด็กสาวตามมาด้วยหลายคน นางก้าวยาวๆ ตรงมาแล้วดิ่งเข้าไปในกระท่อม แต่ไม่นานเด็กหญิงผมแกละก็พุ่งออกจากกระท่อมอย่างขุ่นเคือง นางถลึงตากว้าง พยายามทำท่าให้ดูดุร้าย บางทีนางคงกำลังตำหนิเขาว่าทำไมวันนี้ในห้องถึงไม่มีของให้ขโมยกระมัง
พวกเด็กหนุ่มเด็กสาวที่ลักษณะไม่ธรรมดาด้านหลังของนางต่างก็ทำสีหน้ามีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น
เฉินผิงอันสีหน้ากระอักกระอ่วน ได้แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
หากไม่เป็นเพราะมียศใต้เท้าอิ่นกวานขวางอยู่ เฉินผิงอันก็อยากจะหยิกแก้มนางสักทีจริงๆ
คราวนี้เด็กหญิงผมแกละโกรธนิดๆ แล้วจริงๆ กำแพงเมืองปราณกระบี่ใต้ฝ่าเท้าของนางสั่นสะเทือนเลือนลั่น นางที่สวมชุดสีดำใหญ่เกินตัวบินทะยานขึ้นสู่ฟ้าสูง พริบตาเดียวก็ไม่เห็นเงา
ตอนบ่ายหนิงเหยามาที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ฟังเฉินผิงอันเล่าประสบการณ์ที่เพิ่งพบเจอมาจนจบ หนิงเหยาก็พูดยิ้มๆ ว่าไม่ต้องเป็นกังวล ใต้เท้าอิ่นกวานท่านนั้นมีนิสัยแบบนี้อยู่แล้ว ผู้ฝึกกระบี่ที่เคยถูกนางเล่นงานมีนับไม่ถ้วน แต่อันที่จริงนางเป็นพวกบ้ายอที่เอาใจได้ง่ายมาก นางชอบฟังคนอื่นพูดจาชื่นชม ของสวยๆ งามๆ ที่ใครมอบให้ นางล้วนรับไว้หมด แต่หลังจากที่นางกินจนเกลี้ยงหรือเก็บของไปเรียบร้อยแล้ว อย่างมากก็แค่ยิ้มให้ ไม่เคยจดจำน้ำใจของใคร หากทำให้ใต้เท้าอิ่นกวานไม่พอใจ ใครก็ช่วยไม่ได้ ดังนั้นก่อนที่นางจะลงมือ พวกคนดวงซวยของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็จะเริ่มแกล้งตายก่อนแล้ว แล้วนางก็จะรู้สึกว่าลงมือต่อยตีเศษสวะประเภทนี้จะทำให้มือนางสกปรก จึงมักจะปล่อยผ่านไป อีกอย่างนางก็ไม่ใช่คนที่เจ้าคิดเจ้าแค้นนัก ซึ่งมีความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งว่านางจำคนพวกนั้นไม่ได้
หนิงเหยานึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงบอกว่า ได้ยินสหายเล่าว่าใต้เท้าอิ่นกวานมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับเจ้าของกระท่อมหลังเล็ก นางชื่นชอบเขาอย่างที่ไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อน เคยมีคนเห็นคนแซ่เฉาเอาใต้เท้าอิ่นกวานขี่คอ จากนั้นเขาก็ต่อยหมัดเดินอยู่บนหัวกำแพงไปตลอดทาง ตอนนั้นคนที่ผ่านทางมาตกใจจนเกือบขวัญกระเจิง
เฉินผิงอันจึงทอดถอนใจพูดว่าเฉาสือร้ายกาจจริงๆ
หนิงเหยาพูดยิ้มๆ “เมื่อก่อนไม่คุ้นเคยกับเขา แต่หมู่นี้ข้าลองสืบเรื่องของเฉาสือเพิ่มอีกนิดจึงได้ข้อสรุปว่า ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่เดินอยู่บนเส้นทางเดียวกับเฉาสือ อันที่จริงน่าเวทนามาก โดยเฉพาะพวกคนที่มีพรสวรรค์ด้านการฝึกยุทธ์”
หนิงเหยารับกาเหล้ามาจากเฉินผิงอัน ดื่มเหล้าหนึ่งอึกจนใบหน้าแดงเรื่อ “หากเปรียบเทียบผู้ฝึกลมปราณแล้ว ถ้าไม่ใช่แค่ในหนึ่งทวีป แต่เอาไปเปรียบเทียบกับใต้หล้าทั้งแห่ง ก็ยากที่จะมีใครได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการว่าเป็นอันดับหนึ่งของขอบเขตเดียวกัน เพราะของนอกกายอย่างกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต สมบัติอาคม อาวุธเซียนอะไรพวกนี้ แท้จริงแล้วไม่ถือว่าเป็นของนอกกาย มีหลายครั้งที่ศึกใหญ่ตัดสินเป็นตายถูกตัดสินด้วยสิ่งของเหล่านี้ ดังนั้นโอกาสและโชควาสนาจึงสามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องจริงที่ถูกกำหนดมาแล้วได้หลายเรื่อง ทว่าผู้ฝึกยุทธ์นั้นไม่เหมือนกัน พวกเขาไม่ค่อยอาศัยสิ่งของเหล่านี้ ซ้ำร้ายยังมีอคติต่อพวกมันด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงมีคำกล่าวว่าวรยุทธ์ไร้ที่สอง แพ้หรือชนะล้วนชัดเจน”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ตอนอยู่ในตรอกหนีผิง คนแรกที่เขาได้เห็นคือซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าแคว้นต้าหลี ภายหลังจึงเป็นผู้เฒ่าแซ่ชุยบนเรือนไม้ไผ่ บวกกับเจิ้งต้าเฟิงที่หลังจากฝ่าทะลุขอบเขตอย่างยากลำบากก็ได้เดินขึ้นไปบนฟ้า คนเหล่านี้ล้วนทำให้เฉินผิงอันสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงระหว่างพวกเขากับเทพเซียนบนภูเขา พลังอำนาจของปรมาจารย์ที่ ‘เมื่อข้าช่วงชิงความเป็นหนึ่ง ใครก็มิอาจเผยอมาประชัน’ ของผู้ฝึกยุทธ์ต่างก็โดดเด่นอย่างถึงที่สุด
หนิงเหยาคืนกาเหล้าให้เฉินผิงอัน “อันที่จริงข้าเพิ่งจะพูดข้อสรุปได้แค่ครึ่งเดียว เจ้ารู้สึกว่าเฉาสือร้ายกาจ แต่ข้ารู้สึกว่าเจ้าร้ายกาจยิ่งกว่า”
เฉินผิงอันยิ้มกว้างอย่างโง่งม สามารถทำให้แม่นางที่รักรู้สึกว่าตนร้ายกาจได้ ถ้าไม่เรียกว่าร้ายกาจแล้วจะเรียกว่าอะไร?
หนิงเหยาพูดอย่างจริงจัง “เพราะผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในยุคเดียวกัน ต้องมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถประมือกับเฉาสือได้ และต้องไม่มีใครที่ได้เผชิญพลังอำนาจที่ ‘ไร้ศัตรูทัดทาน’ ของเฉาสือมาก่อน แต่เจ้าไม่เพียงแต่ประมือกับเขา ยังต่อสู้กับเขาถึงสามครั้ง และหลังจากที่แพ้ทุกครั้ง เจ้าก็ยังไม่พ่ายในการแข่งขันทางจิตกับเขา ข้อนี้หาได้ยากมากจริงๆ”
หนิงเหยากระแอมหนึ่งที ยืดตัวนั่งตรง ตบไหล่เฉินผิงอัน “นี่เป็นสิ่งที่หาได้ยาก ต้องรักษาเอาไว้ พยายามต่อไป”
เฉินผิงอันเห็นว่าหนิงเหยาพูดจาจริงจัง เดิมทีเขาก็รับฟังอย่างตั้งใจ แต่จู่ๆ สังเกตเห็นแววตาเจ้าเล่ห์ของหนิงเหยาจึงรู้ว่านางกำลังเลียนแบบท่าทางของเฉาสือมาแกล้งล้อเลียนตน เฉินผิงอันจึงหัวเราะปากกว้าง เหล้าก็ไม่คิดจะดื่ม “เจ้าเลียนแบบเขาไม่เหมือนเลยสักนิดเดียว”
หนิงเหยามองค้อน “เจ้าเลียนแบบเหมือนงั้นสิ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าไม่อยากเลียนแบบเขา แล้วก็ไม่จำเป็นต้องเลียนแบบด้วย”
หนิงเหยาส่งเสียงจุ๊ๆ ไม่รู้ว่าชื่นชมหรือหยอกล้อกันแน่
เฉินผิงอันหัวเราะหึหึ
หนิงเหยาฉลาดถึงเพียงนี้ จึงรู้ทันทีว่าเจ้าหมอนี่เลียนแบบตนตอนอยู่โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ย จึงทุบไหล่เฉินผิงอันหนึ่งหมัด “ดื่มเหล้าของเจ้าไป!”
เฉินผิงอันดื่มเหล้าอย่างที่นางบอกจริงๆ จากนั้นก็พูดยิ้มๆ ว่า “ว้าว เหล้าวันนี้รสชาติดีมากเป็นพิเศษ”
หนิงเหยาชำเลืองตามองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ในมือเฉินผิงอันแล้วพลันหน้าแดงก่ำ แจกหมัดเฉินผิงอันอีกหนึ่งที พูดเสียงสะบัด “ผู้ชายไม่มีใครดีสักคน!”
เฉินผิงอันที่ถือน้ำเต้าบรรจุเหล้าหน้าเหวอด้วยความมึนงง
—–