ตรอกเส้นนี้มีคนอยู่อาศัยน้อยมาก แค่สามสี่ครอบครัวที่บางตาเท่านั้น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้เฒ่าอายุเยอะที่ไร้คนดูแล แล้วก็ไม่ค่อยออกไปมีปฏิสัมพันธ์กับคนภายนอก ลูกศิษย์ของป้อมอินทรีบินที่เรียนวรยุทธ์ ตอนที่ยังหนุ่มสาว เวลาพวกเขาประลองความกล้าหาญกัน มักจะเลือกกลางดึกของคืนหนึ่งเพื่อดูว่าใครจะกล้ามาเดินในตรอกแคบเล็กมืดสลัวแห่งนี้เพียงลำพัง
ต่างก็บอกกันว่าตรอกแห่งนี้เคยมีสงครามนองเลือดเกิดขึ้นมาก่อน ก่อนหน้าที่ป้อมอินทรีบินจะจมหายไปจากยุทธภพ ในขณะที่อดีตเจ้าประมุขเพิ่งจะลาลับไปจากโลกนี้ มีศัตรูกลุ่มหนึ่งที่ตั้งก๊กตั้งเหล่าฉวยโอกาสแอบเข้ามาในป้อมอินทรีบิน แต่ละคนล้วนมือเปื้อนเลือด หากไม่ใช่ยอดฝีมือลัทธิมารก็ต้องเป็นปรมาจารย์ฝ่ายอธรรม ล้วนเป็นเหล่าผู้นำในแต่ละฝ่ายของยุทธภพที่อดีตเจ้าประมุขเคยทำร้ายจนบาดเจ็บและพิการมาก่อน
พวกเขาเผยเบาะแสของตัวเองโดยไม่ทันระวัง จึงถูกป้อมอินทรีบินที่เตรียมพร้อมมานานแล้วกักตัวอยู่ในตรอกแห่งหนี้เหมือนจับตะพาบในไห การเข่นฆ่าครั้งนั้นเลือดนองแผ่นดิน ทั้งสองฝ่ายฆ่าฟันกันจนศีรษะกลิ้งหลุนๆ มีทั้งศีรษะของฝ่ายผู้ร้าย แล้วก็มีทั้งศีรษะของรุ่นผู้อาวุโสแห่งป้อมอินทรีบิน เศษแขนขากองให้เกลื่อน แทบจะไม่มีศพไหนที่ครบสมบูรณ์แบบ ว่ากันว่าตอนสุดท้ายคนของป้อมอินทรีบินที่มาเก็บศพ ไม่มีใครสักคนที่ไม่อ้วกเอาน้ำดีขมๆ ออกมา
ป้อมอินทรีบินคือพรรคในยุทธภพที่รุ่นบรรพบุรุษเคยร่ำรวยอู้ฟู่มาก่อน เคยมีช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ที่ยาวนาน แต่ภายหลังตกต่ำ ในบรรดาคนรุ่นเก่าของยุทธภพแคว้นเฉินเซียง ต่อให้ทุกวันนี้สกุลหลวนจะเงียบหายไปหลายปี แต่ก็ยังมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะนายท่านผู้เฒ่าหลวนที่เสียชีวิตไปแล้วที่มีคุณธรรมสูงส่ง ตอนยังหนุ่มก็เลื่องระบือไปทั้งยุทธภพ เป็นผู้กล้าที่คนทั้งราชสำนักต่างก็รู้จัก
น่าเสียดายก็แต่พรสวรรค์ในการฝึกยุทธ์ของหลวนหยางเจ้าประมุขคนปัจจุบันธรรมดาไม่โดดเด่น ไม่สามารถประคับประคองชื่อเสียงและบารมีของป้อมอินทรีบินให้กลับคืนมาได้อีกครั้ง อีกทั้งหลวนฉางก็ยังเด็ก จึงกลายเป็นว่าเกิดสถานการณ์น่ากลัดกลุ้มใจที่ตรงกลางขาดคนสืบทอดความรุ่งโรจน์
แต่หากพลิกเปิดปฏิทินเหลืองเก่าแก่ นับจากรุ่นของนายท่านผู้เฒ่าหลวนขึ้นไปสองรุ่น สิ่งที่สามารถนำขึ้นเวทีออกหน้าออกตาของป้อมอินทรีบินมีมากมายจริงๆ
ดังนั้นป้อมอินทรีบินที่ยิ่งใหญ่ คนสี่ร้อยกว่าคนที่อยู่ที่นี่ล้วนเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจในตัวเอง
แม้ว่าด้วยสถานการณ์ที่บีบบังคับจะทำให้ต้องมาเร้นตัวอยู่ห่างไกล แต่ป้อมอินทรีบินกลับไม่ถือว่าเป็นกบใต้กะลา
นับตั้งแต่เด็ก แทบทุกคนล้วนต้องได้ยินเรื่องราวที่มหัศจรรย์ของป้อมอินทรีบินมามากมาย และนายท่านผู้เฒ่าหลวนก็เป็นหนึ่งสี่ปรมาจารย์ใหญ่ของแคว้นเฉินเซียง
เพื่อนสนิทที่เคยท่องยุทธภพร่วมกับนายท่านผู้เฒ่าหลวนตอนยังหนุ่ม ในบรรดายอดฝีมือใหญ่สิบท่าน ทุกวันนี้ยังเหลืออยู่อีกสามท่าน
ส่วนเหล่าไท่จวิน (บรรดาศักดิ์ของมารดาขุนนางในสมัยศักดินา) ว่ากันว่าคือองค์หญิงของแคว้นล่มสลายซึ่งเป็นแคว้นเพื่อนบ้านในราชวงศ์ก่อน ถูกนายท่านผู้เฒ่าหลวนช่วยชีวิตเอาไว้ พวกเขาตกหลุมรักกันตั้งแต่แรกเห็น ระหว่างนั้นก็มีอุปสรรคนานัปการเข้ามาทดสอบ แต่สุดท้ายก็ยังได้ครองคู่อยู่ด้วยกัน เรื่องราวของพวกเขากลายเป็นเรื่องเล่าอันงดงามเรื่องหนึ่งในยุทธภพ
หลวนฉางเจ้าปราสาทน้อยแสดงออกถึงพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธ์ที่โดดเด่นมาตั้งแต่เด็ก เกิดมาก็มีพละกำลังที่น่าครั่นคร้าม ระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา เขาไปขอความรู้จากจอมยุทธ์ใหญ่ภายนอก บ้างก็ประลองฝีมือกับจอมยุทธ์น้อยที่มีชื่อเสียงในยุทธภพ เรียกได้ว่าวางตัวดีน่าชมเชย ส่วนหลวนซูบุตรสาวของเจ้าปราสาท ว่ากันว่าเป็นคู่หมั้นตั้งแต่ยังแบเบาะกับลูกหลานสายตรงของหนึ่งในสิบยอดฝีมือแห่งแคว้นเฉินเซียง แค่รอให้ชายหนุ่มคนนั้นมาสู่ขอเท่านั้น
ทว่าผู้นำคนรุ่นหนุ่มสาวของป้อมอินทรีบินกลับไม่ใช่หลวนฉาง แต่เป็นคนต่างแซ่คนหนึ่ง เถาเสียหยาง คือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าปราสาทหลวนหยาง เรียนรู้ตำราลัทธิขงจื๊อและกังฟูที่ลึกล้ำจากอาจารย์เหอผู้ดูแลใหญ่มาตั้งแต่เด็ก พูดถึงความนิยมแล้ว เขาได้รับความนิยมยิ่งกว่านายน้อยหลวนฉางเสียอีก
เถาเสียหยางมีน้ำใจและความจริงใจ เป็นที่กล่าวขานไปทั่วป้อมอินทรีบิน นิสัยเปิดกว้างร่าเริง ราวกับว่าต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็ไม่กลัว
คนกลุ่มก่อนที่เข้ามาในปราสาท ปรมาจารย์ที่เป็นผู้นำคือจอมยุทธ์ผู้กล้าในยุทธภพที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ส่วนสาวงามคนหนึ่งที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นเทพธิดาก็มีความสัมพันธ์ดีเยี่ยมกับเถาเสียหยาง พวกเขามักจะเดินทางเข้านอกออกในป้อมอินทรีบินด้วยกันเป็นประจำ แค่นางได้ดื่มเหล้าข้างทางที่ถูกที่ที่สุดกับเถาเสียหยางก็สามารถยิ้มแย้มดุจบุปผาผลิบาน
ช่วงหลายปีที่ผ่านมาเถาเสียหยางก็เริ่มช่วยเจ้าประมุขและผู้ดูแลเหอหยาทดลองจัดการกิจธุระในป้อมอินทรีบินแล้ว ได้รู้เรื่องวงในมากมาย ชีวิตจึงไม่สุขสบายนัก
ต้อนรับขับสู้ให้การรับรองแขกจากแปดทิศต้องรอบคอบรัดกุมจนแม้แต่น้ำสักหยดก็หลุดรอดไปไม่ได้ ควันธูปของธูปแต่ละก้านที่เหล่าบรรพบุรุษป้อมอินทรีบินทิ้งเอาไว้ จะปล่อยให้พวกมันดับลงอย่างเงียบเชียบไม่ได้ ต้องคอยเชื่อมสัมพันธ์ควันธูปอย่างลับๆ อยู่ตลอดเวลา ไปเมืองหลวง ไปเยือนสำนักที่มีชื่อเสียงบนภูเขา ไปเยือนพรรคที่แข็งแกร่งในเมืองใหญ่ มอบเงินให้แก่เหล่าขุนนางและตระกูลสูงศักดิ์ คอยกระชับเชื่อมความสัมพันธ์กับเจ้าถิ่นในสถานที่ต่างๆ ล้วนจำเป็นต้องให้คนต่างแซ่อย่างเถาเสียหยางผู้นี้ไปทำ ดังนั้นเถาเสียหยางจึงมีประสบการณ์และความรู้ในยุทธภพอย่างเฟื่องฟู โดดเด่นกว่าคนอื่น
มือดาบที่มาเยือนตรอกเล็กในคืนนี้ก็คือเถาเสียหยาง
นักพรตหนุ่มที่เดินทางมาพร้อมกับเถาเสียหยางคือเพื่อนสนิทที่เขารู้จักในยุทธภพ เพียงแค่พบหน้ากันก็เหมือนรู้จักกันมานาน เถาเสียหยางรู้ความลับบางอย่างของนักพรตหนุ่ม รู้ว่าเขาสามารถมองเห็นวัตถุหยินและสิ่งสกปรกทั้งหลาย อีกทั้งยังมีวิธีสยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะบางอย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนในยุทธภพ หลังจากนักพรตได้รับจดหมายลับขอความช่วยเหลือจากเถาเสียหยาง ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็เดินทางมายังป้อมอินทรีบินทันที หลังจากทำการตรวจสอบอย่างระมัดระวัง อารมณ์ของนักพรตหนุ่มก็ยิ่งหนักอึ้ง เป็นอย่างที่เถาเสียหยางกล่าวไว้ในจดหมาย ที่ป้อมอินทรีบินมีภูติผีคอยรังควานก่อความวุ่นวายอยู่จริงๆ อีกทั้งตบะยังลึกล้ำมาก มันถึงกับทำลายรากฐานฮวงจุ้ยของป้อมอินทรีบินโดยตรง
นักพรตหนุ่มรู้ความสามารถของตัวเองดี เขาไม่ใช่คนบนภูเขาที่แท้จริงอะไร เพิ่งจะเล่าเรียนมรรคกถากับอาจารย์ที่ชอบท่องเที่ยวไปทั่วทิศแค่ห้าปี เรียนรู้แค่วิชาผิวเผินอย่างการมองลมปราณและการวาดยันต์ อีกทั้งยันต์ที่เขาวาดออกมา บางครั้งก็ศักดิ์สิทธิ์ บางครั้งก็ไม่ กระบี่เหรียญทองแดงที่เกิดจากการร้อยเรียงกันของเหรียญทองแดงเจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าเหรียญที่สะพายไว้บนหลัง จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีโอกาสให้เอาออกมาใช้ จะสยบความชั่วร้ายปราบอธรรมได้หรือไม่นั้น ในใจเขาไม่มีความมั่นใจเลยจริงๆ
นักพรตหนุ่มชื่อว่าหวงซ่าง คือลูกหลานตระกูลปัญญาชนที่ไม่มีหวังว่าจะสอบติดเคอจวี่ ฝึกมรรคกถามาเกือบห้าปี วาดยันต์ยังไม่เชี่ยวชาญมากพอ อาจารย์ที่ถ่ายทอดมรรคกถาให้แก่เขามักจะไม่อยู่ข้างกาย หวงซ่างต้องใช้เงินเก็บแทบทั้งหมดถึงจะสามารถรวบรวมออกมาเป็นกระบี่เหรียญทองแดง ‘สามทงเป่า’ (ทงเป่าคือชื่อเรียกเหรียญทองแดงชนิดหนึ่งในสมัยโบราณ) อย่างเหรียญเสินเช่อ เหรีญหยวนกวางและเหรียญเจิ้งเต๋อของราชวงศ์ก่อนมาได้ อาจารย์เคยบอกว่าเหรียญทองแดงทงเป่าสามชนิดนี้ประทับตราจิ่วเตี๋ยจ้วน มีปราณหยางซุกซ่อนอยู่ด้านในเต็มเปี่ยมเพียงพอมากที่สุด
ส่วนยันต์ที่หวงซ่างวาดนั้น ระดับขั้นยังไม่ดีพอ จึงได้แต่อาศัยปริมาณมาชดเชยเท่านั้น
ให้นักพรตเต๋าครึ่งตัวอย่างเขามารับมือกับวิญญาณดุร้ายของป้อมอินทรีบินเช่นนี้ นับว่าฝืนใจเขามากจริงๆ เพียงแต่ว่าเขาเป็นเพื่อนรักกับเถาเสียหยาง น้ำใจและคุณธรรมเป็นเหตุ เมื่อเห็นว่าเถาเสียหยางตัดสินใจเด็ดเดี่ยวว่าจะมาปราบความชั่วร้ายแทนปวงประชาที่นี่ จะให้เขาทนมองพี่น้องต้องมาตายอยู่ตรงนี้คาตาก็คงไม่ถูกต้อง
คนทั้งสองเรียกกันเป็นพี่น้อง หาใช่เพราะการเวียนจอกเหล้าดื่มบนโต๊ะสุราอย่างพวกจอมยุทธ์ในยุทธภพ แต่เป็นเพราะพวกเขาเคยแลกชีวิตช่วยเหลือกันมาก่อน
เมื่อก่อนเจ้าของเดิมบ้านที่ถูกทิ้งร้างหลังนี้น่าจะมีฐานะพอสมควร ธรณีประตูจึงค่อนข้างสูง และประตูใหญ่ก็ทำมาจากไม้ชั้นดี แถมยังประดับวงกลมที่จับประตูเป็นรูปใบหน้าสัตว์ ทั้งเก่าแก่และหนักอึ้ง
นักพรตหวงซ่างคลำเอายันต์กระดาษเหลืองแผ่นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ก่อนหน้านี้ฝนตกหนัก เวลานี้พอนักพรตเห็นว่าประตูใหญ่และกำแพงสูงเปียกแฉะไปด้วยน้ำก็ยิ้มเจื่อนพูดว่า “ฟ้าอำนวยดินอวยพรไม่ได้อยู่ข้างพวกเราเลยจริงๆ”
เถาเสียหยางมือดาบอืมรับหนึ่งที จ้องประตูบานนั้นเขม็ง มือหนึ่งกดด้ามกระบี่ แล้วพลันหันตัวกลับ มืออีกข้างที่เหลือตบไหล่ของนักพรตแรงๆ “ข้าจะนำไปก่อน หากสถานการณ์เลวร้าย ช่วยข้าไม่ได้ เจ้าก็ไม่ต้องสนใจข้า แค่ช่วยหาเรือนหยินที่ฮวงจุ้ยดีให้ข้าสักหลังก็พอ!”
หวงซ่างกำลังจะอ้าปากพูด
เถาเสียหยางกลับยิ้มกว้างสดใสเสียก่อน “นี่ไม่ใช่คำพูดที่เอ่ยตามมารยาท! หากตายอยู่ที่นี่กันทั้งสองคน จะต้องไปแย่งกันดื่มเหล้าอยู่ข้างล่างอีกหรือไง?!”
เถาเสียหยางหดมือกลับมา ลมปราณร่วงดิ่งสู่จุดตันเถียน ยกดาบฟันเข้าไปที่ประตูใหญ่ “จงเปิดออกให้ข้า!”
ดาบพุ่งมาอย่างดุดัน ถึงกับผ่าให้ประตูใหญ่แยกออกเป็นสองท่อน เถาเสียหยางก้าวยาวๆ เข้าไปข้างในอย่างเด็ดเดี่ยว
ทันใดนั้นทุกย่างก้าวของเขาก็หนักอึ้งเหมือนจมลงไปในบ่อโคลน เถาเสียหยางไร้ความเกรงกลัว ตวาดเบาๆ หนึ่งครั้งแล้วโบกดาบไปเบื้องหน้า แต่ละดาบผ่าลงกลางความว่างเปล่า ประกายแสงดาบที่ทอรัศมีจางๆ น่าสะพรึงกลัว เห็นได้ชัดว่าเขาพบเจอเส้นทางที่ถูกต้องบนวิถีวรยุทธ์ของตัวเองแล้ว
เถาเสียหยางใช้ดาบบุกเบิกทาง ตรงดิ่งไปด้านหน้าเป็นเส้นตรง
ยันต์ ‘วิญญูชนพกยันต์’ สองแผ่นที่ซ่อนไว้ตรงสาบเสื้อหน้าอกกับตรงเอวของเขาพลันกลายเป็นสีดำเหมือนถูกอาบย้อมด้วยหมึก ปราณวิญญาณที่เดิมทีก็มีไม่มากสลายหายไปสิ้น
หวงซ่างกำลังจะก้าวเร็วๆ ตามไป เพียงแต่รู้สึกว่ามีลมเย็นยะเยือกพัดวูบๆ มาจากด้านในของประตู จึงต้องหาจุดที่ค่อนข้างแห้งสองจุดแถวผนังด้านในกำแพงใหญ่ติดยันต์พิทักษ์เรือนสองแผ่นลงไปเสียก่อน ถึงจะพอวางใจได้ ไม่ถึงขั้นหายใจหายคอไม่คล่อง จากนั้นมือสองข้างก็คีบยันต์มือละแผ่น แบ่งออกเป็น ‘ยันต์กวงหัวเจินจวินถือกระบี่’ และ ‘ยันต์ตราประทับเยว่จางของหวงเสิน’ ล้วนเป็นยันต์คุ้มกันกายที่มีชื่อเสียงตั้งแต่สมัยบรรพกาล ค่อนข้างเป็นที่นิยมในวงกว้าง
เพียงแต่ว่าหวงซ่างเพิ่งจะเดินต้านลมเย็นไปได้แค่สามก้าวก็ค้นพบว่ายันต์ถือกระบี่และยันต์ตราประทับกลายเป็นสีดำไปแล้วเกินครึ่ง ราวกับว่ายันต์สองแผ่นนี้เพิ่งถูกดึงออกมาจากแท่นฝนหมึก ในใจของนักพรตหนุ่มตะลึงพรึงเพริดอย่างหนัก อดไม่ไหวต้องรีบตะโกนไปเสียงดัง “ปราณชั่วร้ายเข้มข้นหนักอึ้งราวกับน้ำ ภูตผีของที่นี่ต้องไม่ใช่วิญญาณที่ตายอยู่ในตรอกเล็กด้วยความไม่เป็นธรรมในปีนั้นอย่างแน่นอน! ต้องเป็นผีร้ายที่เร่ร่อนมาแล้วเกินร้อยปีขึ้นไป! เสียหยาง รีบถอยออกจากจวนเร็วเข้า…”
เพียงแต่ว่าประตูของห้องหลักที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกลับเปิดออกด้วยตัวเอง เถาเสียหยางโบกดาบก้าวเข้าไป แล้วประตูก็ปิดลงดังปัง
ใบหน้าของหวงซ่างเต็มไปด้วยความเจ็บปวด พยายามกรอกเทปราณวิญญาณบางเบาเข้าไปยังยันต์สองแผ่นในมือที่โดนเล่นงาน ตวาดกร้าวอย่างแค้นเคือง “เปลี่ยนย้ายหายนะ!”
ยันต์ถือกระบี่ไม่มีความเคลื่อนไหว ปราณชั่วร้ายรวมตัวกันกลายมาเป็นน้ำหมึกที่แทรกซอน สองนิ้วที่คีบยันต์เหมือนถูกไฟลวก หวงซ่างรีบโยนยันต์แผ่นนั้นทิ้งไปทันที
ยังดีที่ยันต์ตราประทับมีแสงวิเศษกระเพื่อมไหวแล้วพลันส่องเจิดจ้า สาดสะท้อนภาพประหลาดรอบด้านให้เห็นเด่นชัด
ยันต์ติดไฟลุกไหม้อย่างรวดเร็ว กระดาษสีเหลืองถูกเผาผลาญจนเกิดควันเขียวกลิ่นแสบจมูก
รอบกายของหวงซ่างมีเสียงหัวเราะคิกคักน่าขนลุกดังขึ้นๆ ลงๆ แต่กลับมองไม่เห็นตัวคน
ตรงลำคอของเขาเหมือนถูกลิ้นยาวเยียบเย็นเลียผ่าน ทำให้นักพรตหนุ่มขนลุกพรึ่บไปทั้งร่าง
หวงซ่างโยนยันต์ตราประทับที่เผาไหม้จนหมดทิ้งไป เตรียมจะหยิบยันต์อีกชิ้นหนึ่งซึ่งเป็นสมบัติก้นกรุออกมาจากชายแขนเสื้อ
ทว่าหลังมือของมือซ้ายที่ยื่นเข้าไปในชายแขนเสื้อกลับเหมือนถูกคนใช้เข็มแหลมแทง หวงซ่างสั่นเยือกไปทั้งตัว แล้วอยู่ดีไม่ว่าดีฝนก็เทลงมาเหนือศีรษะ หวงซ่างเหลียวมองไปรอบด้านก็เห็นว่ามีแค่ฝนเม็ดบางปรอยๆ เท่านั้น นักพรตหนุ่มยกมือปาดหน้าอย่างเหม่อลอย พอแบมือออกกลับเห็นเลือดสดเต็มฝ่ามือ
นาทีถัดมาหวงซ่างก็เงยหน้าขึ้นตามจิตใต้สำนึก
ใบหน้าซีดขาวไม่มีดวงตาอยู่ใกล้ในระยะประชิด แทบจะแนบติดกับจมูกของหวงซ่าง
หวงซ่างอึ้งงันเป็นไก่ไม้
พริบตานั้นบ่าก็ถูกคนกดอย่างแรงแล้วกระชากไปด้านหลัง ร่างทั้งร่างของหวงซ่างปลิวออกไปจากบ้าน กระแทกลงบนตรอกดินโคลนที่อยู่ด้านนอก หัวสมองมึนงงไปหมด
แล้วเขาก็ได้เห็นแผ่นหลังสูงผอมที่คุ้นเคย เขาก็คือเหอหยาผู้ดูแลเฒ่าของป้อมอินทรีบิน อาจารย์ของเถาเสียหยาง
มือทั้งคู่ของผู้เฒ่าถือยันต์ กระดาษยันต์น่าจะไม่ใช่กระดาษเหลืองที่เป็นยันต์ธรรมดาเพราะส่องประกายแสงอัญมณีแวววาว แม้ว่าเมื่ออยู่ท่ามกลางสายฝนแสงนั้นจะแกว่งส่ายประหนึ่งเปลวเทียนสองเล่มที่อยู่กลางลมพายุ แต่แสงศักดิ์สิทธิ์ของยันต์ก็ยังคงอยู่ไม่สลายหายไป
ใต้ฝ่าเท้าของผู้ดูแลเฒ่าเกิดพายุลมกรด ปากก็ท่องพึมพำไม่หยุด
หวงซ่างเพิ่งจะคลายใจลงได้ ลำคอกลับถูกมือซีดขาวคู่หนึ่งที่มีเล็บแหลมยาวบีบแน่น แล้วกระชากลากถูไปด้านหลัง นักพรตหนุ่มฟาดมือสองข้างตีเปะปะลงบนถนนดินโคลน แต่ก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ ท้ายทอยกับแผ่นหลังกระแทกลงบนผนังที่แข็งกระด้าง ราวกับว่าสิ่งที่ลากตัวหวงซ่างได้ผลุบหายเข้าไปในกำแพงแห่งนี้จึงหวังว่าคนตัวเป็นๆ อย่างหวงซ่างจะเข้าไปในกำแพงตามไปด้วย
หวงซ่างตาเหลือกแล้วหมดสติไปอย่างสิ้นเชิง
รอจนนักพรตหนุ่มคืนสติกลับมา เขาก็กลับมาอยู่ในห้องพักแขกของหอหลักป้อมอินทรีบินแล้ว ข้างกันก็คือที่พักของเถาเสียหยาง
หวงซ่างลุกขึ้นนั่งโงนเงน แล้วก็เห็นว่าอาจารย์เหอที่หน้าตาเคร่งเครียดกำลังเดินออกมาจากในห้องพอดี
เหอหยาถอนหายใจ “ร่างกายของเสียหยางไม่ได้บาดเจ็บร้ายแรง เพียงแต่ว่า…”
ผู้เฒ่าไม่ได้พูดต่อ
เดิมทีเหอหยาอยากตำหนิหวงซ่างว่าไม่ควรจะบุ่มบ่ามบุกเข้าไปในตรอกแห่งนั้นโดยพลการกับเถาเสียหยาง
เพียงแต่พอเห็นสีหน้าตื่นตกใจจนทำอะไรไม่ถูกของนักพรตหนุ่ม โดยเฉพาะตรงลำคอยังมีรอยนิ้วเป็นเส้นๆ สีดำเหมือนหมึก ผ่านไปคืนหนึ่งแล้วก็ยังไม่หายดี ผู้เฒ่าจึงรู้สึกสงสาร เพียงแค่ถอนหายใจหนึ่งครั้งแล้วก้าวเร็วๆ จากไป เพื่อไปต้มยามาช่วยบำรุงพลังต้นกำเนิดให้กับลูกศิษย์
หลายครั้งที่หวงซ่างอยากผลักประตูเดินเข้าไป แต่ก็ต้องหดมือกลับมาอย่างห่อเหี่ยว
……
คืนนี้เฉินผิงอันกับลู่ไถจะไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนตระกูลหลวน
ยังเหลืออีกครึ่งชั่วยามกว่างานเลี้ยงจะเริ่ม วันนี้ตอนกลางวันคนทั้งสองเดินเล่นไปทั่ว ถนนใหญ่ตรอกเล็ก บ่อน้ำแห่งต่างๆ ศาลบรรพชนสกุลหลวน สนามฝึกยุทธ์ ลานประหารของป้อมอินทรีบิน ฯลฯ พวกเขาล้วนไปเยือนมารอบหนึ่ง
ลู่ไถมองสังเกตเทพทวารบาลแต่ละรูปแบบที่แปะอยู่บนประตูใหญ่ของบ้านแต่ละหลัง ส่วนเฉินผิงอันจะนั่งยองลงเป็นพักๆ หยิบดินกำเล็กขึ้นมาใส่ปากเคี้ยวเงียบๆ
พอกลับมาถึงบ้านพัก เฉินผิงอันก็พลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ผู้ดูแลเหอพาพวกเราเข้ามาในป้อมอินทรีบิน แถมยังจัดให้พวกเราพักอยู่ที่นี่ เป็นเพราะเขามีใจที่เห็นแก่ตัวหรือไม่?”
ลู่ไถพยักหน้ารับ “แผนไล่หมาป่าไปกินเสือ น่าจะเป็นเพราะป้อมอินทรีบินอับจนหนทางแล้ว จึงรักษามาตายดั่งม้าเป็น ไม่แน่ว่างานเลี้ยงคืนนี้ หากพวกเราฉีกหน้าซักไซ้เอาความเรื่องนี้ ป้อมอินทรีบินก็น่าจะป่าวประกาศอย่างเป็นทางการ ก็คงไม่พ้นเอ่ยขอโทษ แล้วทุ่มเงินให้พวกเรา ขอให้พวกเราช่วยให้ป้อมอินทรีบินผ่านด่านเคราะห์ครั้งนี้ไปให้ได้”
เฉินผิงอันถอนหายใจ หากตบะของพวกเขาตื้นเขิน เอาชนะผีเร่ร่อนพวกนั้นไม่ได้ เมื่อคืนวานถ้าต้องตายอยู่ในจวนแห่งนี้ก็คือตายไปใช่หรือไม่? ถึงเวลาก็แค่เอาเสื่อเก่าๆ มาห่อศพ แล้วให้คนโยนทิ้งไปนอกป้อมอินทรีบินเท่านั้นน่ะหรือ?
ดูเหมือนลู่ไถจะมองความคิดในใจของเฉินผิงอันออก จึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “กำลังปลงอนิจจังกับความอันตรายชั่วร้ายในยุทธภพงั้นรึ? เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า บางทีป้อมอินทรีบินกับเหอหยาผู้นั้นอาจจะมีความลำบากใจที่มิอาจเอื้อนเอ่ย พอได้ยินพวกเขาระบายทุกข์ให้ฟังแล้ว ไม่แน่ว่าเจ้าอาจเป็นเดือดเป็นแค้น หยัดยืนให้ความช่วยเหลือพวกเขาอย่างฮึกเหิมก็เป็นได้”
เฉินผิงอันส่ายหน้า พูดเบาๆ ว่า “เรื่องราวมีก่อนมีหลัง ถูกผิดก็มีแบ่งเล็กใหญ่ ลำดับจะวุ่นวายไม่ได้ หลังจากนั้นค่อยชั่งน้ำหนักว่าหนักหรือเบา จำกัดความว่าดีหรือเลว สุดท้ายค่อยตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร”
ลู่ไถเอ่ยยิ้มๆ “ฟังแล้วเหมือนง่าย แต่ทำจริงๆ กลับไม่ง่ายหรอกนะ”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที “ยากมากเลยล่ะ”
ผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ สองพี่น้องหลวนฉางหลวนซูก็จับมือกันมาเยือน วันนี้หลวนซูเปลี่ยนมาสวมชุดสีเหลืองอบอุ่น เรือนกายอรชรสะโอดสะอง หลวนฉางยังคงแต่งตัวเหมือนเดิม แค่ปลดธนูเขาวัวที่สะพายไว้ด้านหลังออก
ก่อนหน้านี้ลู่ไถสอบถามเฉินผิงอันว่าจะมอบเรื่องน่าตะลึงให้หลวนซูแห่งป้อมอินทรีบินดีหรือไม่ ไม่รอให้ลู่ไถพูดจบ เฉินผิงอันก็ทำหน้าดำ ตบไปที่น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งที ลู่ไถจึงหุบปากเงียบทันที ยกสองมือประกบกันทำท่าอ้อนวอน
บนราวระเบียงของหอเรือนสูงที่อยู่ห่างออกไป สตรีแต่งงานแล้วที่อารมณ์ไม่เลวมีสีหน้าแจ่มใส คลี่ยิ้มอ่อนโยน เมื่อคืนวานฟังบุตรสาวเล่าความในใจ บอกว่ามีคุณชายต่างถิ่นที่สง่างามคนหนึ่ง วันนี้จะมาเยือนพร้อมกับสหายหนึ่งคน จึงต้องการให้มารดาอย่างนางช่วยดูให้หน่อย
สตรีแต่งงานแล้วรู้สึกว่าน่าสนใจจึงรับปาก
ส่วนสัญญาหมั้นหมายแต่แบเบาะนั้น อย่าว่าแต่ป้อมอินทรีบินที่ไม่เอาจริงเลย อีกฝ่ายก็ยิ่งคาดหวังว่าอย่าให้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น จะได้ไม่ต้องถูกป้อมอินทรีบินที่ตกต่ำอับจนมาคอยเป็นตัวถ่วง
พอสตรีแต่งงานแล้วผู้อ่อนโยนเพียบพร้อมคิดว่าสักวันหนึ่งบุตรสาวจะได้สวมชุดเจ้าสาวสีแดงสดที่งดงามที่สุดในช่วงเวลาที่ดีที่สุด ได้แต่งงานกับคนที่ตัวเองรักที่สุดเหมือนตนที่เป็นมารดา สตรีแต่งงานแล้วก็ทั้งปลาบปลื้มใจ แต่ก็อดผิดหวังอย่างเลี่ยงไม่ได้
กรอบตาของสตรีแต่งงานแล้วแดงก่ำ ก้มหน้าลงต่ำน้อยๆ หยิบผ้าเช็ดหน้าปักลายดอกไม้ผืนหนึ่งออกมาซับหัวตาเบาๆ
สตรีแต่งงานแล้วไม่รู้เลยว่า ในป้อมอินทรีบินไม่มีใครมองเห็นได้ว่า บนใบหน้าที่เลือดออกจากทวารทั้งเจ็ดของนางเกิดรอยปริร้าวนับไม่ถ้วนตัดสลับกันคล้ายเครื่องกระเบื้องใบหนึ่งที่จะแตกมิแตกแหล่
—–