สุยโย่วเปียนไม่ได้เปิดประตูให้ชุยตงซาน แม้ชุยตงซานจะบอกกับนางว่าตนสามารถช่วยทำให้เวทกระบี่ ปณิธานกระบี่ หรือแม้แต่วิถีกระบี่ของนางสูงขึ้นจากเดิมได้ถึงสามฉื่อ เท่ากับว่าสุยโย่วเปียนจะได้ตัวอ่อนกระบี่ตระกูลเซียนมาเพิ่มอีกเล่มหนึ่งอย่างเปล่าๆ แต่สุยโย่วเปียนก็ยังคงไม่เปลี่ยนใจ
ชุยตงซานยืนลูบปลายคางอยู่นอกประตู ลองเปลี่ยนวิธีใหม่โดยการถามสุยโย่วเปียนว่า อยากรู้หรือไม่ว่าเซียนกระบี่ที่แท้จริงของใต้หล้าไพศาลมีท่วงท่าองอาจสง่างามถึงเพียงไหน
สุยโย่วเปียนยังคงไม่สะทกสะท้าน ใช้แท่นสังการมังกรก้อนหนึ่งขัดกลึงกระบี่ชือซิน แท่นสังหารมังกรก้อนนี้นางซื้อต่อมาจากเฉินผิงอัน ตอนที่มาอยู่ในมือนางเหลือขนาดหนาเท่าแค่ฝ่ามือ ถือว่าเป็นของที่กระบี่บินชูอีสืออู่ ‘กิน’ เหลือ
แม้ว่าเดิมทีชือซินก็เป็นสมบัติอาคมตระกูลเซียนที่นักพรตคนหนึ่งสร้างขึ้น อีกทั้งยังมีโอกาสที่จะเลื่อนระดับขั้นให้สูงขึ้น แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่ถูกฟูมฟักมาจากร่างของผู้ฝึกกระบี่ จึงยังถือว่ายังอยู่ในขอบเขตของวัตถุไร้ชีวิต ดังนั้นจึงไม่เหมือนกับกระบี่บินสองเล่มนั้นของเฉินผิงอันที่แค่วางแท่นสังหารมังกรไว้ให้ก็ไม่ต้องสนใจอีก สุยโย่วเปียนที่ต้องการหล่อหลอมชือซินจึงจำเป็นต้องเผาผลาญพลังใจในการจับตามองดูมัน
ตอนที่กระบี่ถูกขัดกลึง ลูกไฟสาดกระเซ็นไปทั่วจนเกิดเป็นสะเก็ดแสงห้าสีที่ลี้ลับเกินจะหยั่ง สุยโย่วเปียนรู้แค่ว่าแท่นสังหารมังกรถูกขนานนามให้เป็นหินลับกระบี่ที่มีมูลค่าสูงสุดของโลก ส่วนต้นสายปลายเหตุนั้น นางยังไม่รู้ แต่ระหว่างที่ใช้แท่นสังหารมังกรลับกระบี่ก็ทำให้สุยโย่วเปียนได้ผลประโยชน์มหาศาลเช่นกัน ปราณกระบี่ที่เล็กละเอียดไหลเวียนวนดุจก้อนเมฆที่มารวมตัว ก่อนจะแยกออกจากกัน ล่องลอยไปตามเส้นทางปราณวิญญาณบางอย่างที่ไม่หยุดนิ่ง ประกายแสงพุ่งวาบผ่านไปบนคมกระบี่ เกิดเป็นแสงวาววับคมกริบ
ราวกับว่าวัตถุที่ถูกลับ นอกจากกระบี่อาคมชือซินแล้ว ยังมีจิตแห่งกระบี่ของนางที่เดิมทีก็ใสกระจ่างอยู่แล้วด้วย
ชุยตงซานแปลกใจยิ่งนัก บุคคลที่ลุ่มหลงในกระบี่อย่างถึงที่สุดเฉกเช่นสุยโย่วเปียน เขาอาจเคยเจอมาไม่ถึงหนึ่งร้อย แต่ก็ต้องมีหลายสิบคนแล้ว อันที่จริงจิตใจของพวกเขานั้นเรียบง่ายที่สุด พูดให้น่าฟังก็เรียกว่าจิตใจมั่นคงยึดมั่น แต่พูดให้ไม่น่าฟังสักหน่อยก็เรียกว่าหัวแข็งดึงดัน ไม่รู้จักเดินอ้อม สร้างถ้อยคำที่น่าฟังให้แก่ตัวเองว่าวิถีแห่งกระบี่ต้องเดินด้วยตัวเอง อีกทั้งดูจากการที่นางหล่อเลี้ยงปราณกระบี่ด้วยความอบอุ่นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน สิ่งที่นางต้องการอย่างแท้จริงกลับเป็นจิตแห่งกระบี่ ซึ่งนี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกอาจารย์กระบี่แสวงหา เห็นได้ชัดว่าสุยโย่วเปียนตั้งใจจะเปลี่ยนจากผู้ฝึกยุทธ์มาเป็นผู้ฝึกลมปราณ มีปณิธานว่าจะได้เป็นหนึ่งในเซียนกระบี่อันดับต้นๆ ของใต้หล้าไพศาล อีกทั้งยังเป็นผู้หญิงโง่เง่าที่คิดว่าโลกหมุนวนรอบตัวเอง ตามหลักแล้วนางก็ไม่ควรกระบิดกระบวนขนาดนี้ถึงจะถูก
ชุยตงซานที่กินน้ำแกงประตูปิดจนปัญญากับนาง หากเป็นเซี่ยเซี่ย ป่านนี้เขาคงถีบประตูบุกเข้าไปตบนางให้คว่ำแล้ว ทว่าสุยโย่วเปียนมีเฉินผิงอันเป็นยันต์คุ้มกันกาย ชุยตงซานจึงอดรู้สึกเหมือนถูกมัดมือมัดเท้าอย่างเลี่ยงไม่ได้ ในเมื่อไม่อาจร่ายใช้วิธีการอันอัศจรรย์ที่สั่งสอนและปรับเปลี่ยนใจคนได้ ก็ได้แต่จากไป
อันที่จริงเขายังมีอีกเรื่องหนึ่ง ขอแค่พูดออกไป ไม่มีทางที่สุยโย่วเปียนจะไม่หวั่นไหว เพียงแต่ตอนนี้เขายังไม่อยากแบไต๋ของตัวเองเท่านั้น
กลับไปที่ห้องของตัวเอง พอปิดประตูลง ชุยตงซานก็กระทืบเท้าหนักๆ หนึ่งที เรียกเทพแห่งผืนดินของที่แห่งนี้ออกมารับคำสั่ง คือสตรีแต่งงานแล้วรูปร่างอวบอิ่มที่แต่งตัวได้งดงามฉูดฉาด นับว่าค่อนข้างหาได้ยาก ชุยตงซานยืนอยู่ริมเตียง ทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง สลัดรองเท้าหุ้มแข้งออก บอกให้เจ้าแม่เทพแห่งผืนดินที่ระดับขั้นต่ำที่สุดช่วยทุบขาให้เขา สตรีแต่งงานแล้วหลุบตาต่ำนั่งคุกเข่าอยู่ข้างเท้าของเซียนซือท่านนี้ ลงมือนวดด้วยท่วงท่านุ่มนวล ว่าง่ายอย่างถึงที่สุด
อากาศหนาวเย็น สี่ฤดูกาลหมุนเวียนเปลี่ยนผ่าน เกิดแก่เจ็บตาย ลมปราณทำให้เป็นเช่นนี้
ผู้ที่กินลมปราณอายุขัยยืนยาว นี่ก็คือหนึ่งในที่มาของผู้ฝึกลมปราณ เกี่ยวพันไปถึงรากฐานมหามรรคาที่แท้จริง
อริยะเคยกล่าวไว้ว่า คนกินเนื้อกล้าหาญแกร่งกร้าว คนกินธัญพืชทั้งห้าเฉลียวฉลาดมีปฏิภาณ คนกินลมปราณอายุขัยยืนยาว คนที่ไม่กินอะไรเลยคือเทพเซียนที่ไม่ตาย
สามอย่างแรกค่อนข้างจะเข้าใจได้ง่าย แต่ประโยคสุดท้ายกลับพูดอย่างคลุมเครือไม่ครบถ้วนกระบวนความ มีทั้งความนัยที่ว่า ‘มรรคามิอาจกล่าว’ เพราะในเรื่องนี้มีข้อห้ามที่ใหญ่มากเกินไป มีทั้งความนัยถึงทางสายขาดของผู้ฝึกยุทธ์ และมีทั้งความนัยที่ว่าอริยะของฝ่ายต่างๆ ล้วนไม่คาดหวังให้คนรุ่นหลังสืบเสาะตามหาต้นกำเนิดควันธูปของเทพเซียน
แต่ชุยตงซานกลับรู้ถึงสามชั้นของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบ ปราณโชติช่วง คืนความจริง เทพมาเยือน ตอนนี้ซ่งจ่างจิ้งอ๋องผู้ครองเมืองน่าจะอยู่แค่ช่วงปราณโชติช่วง กลับเป็นหลี่เอ้อร์ที่มีขอบเขตปลายทางของวิถีวรยุทธ์เสียอีกที่เลื่อนสู่คืนความจริงแล้ว ครั้งแรกที่ชุยตงซานได้ข่าวนี้ เขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก เป็นเหตุให้วิ่งไปสั่งสอนอวี๋ลู่ที่วันๆ เอาแต่เที่ยวเล่นส่งเดชเป็นเพื่อนเกาเซวียนองค์ชายต้าสุยมาคำรบหนึ่ง อวี๋ลู่ที่หน้าบวมจมูกเขียวก็ไม่กล้าเอาคืน คาดว่าจนถึงตอนนี้ก็คงยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดอยู่ดีๆ ถึงได้โดนซ้อม และอวี๋ลู่ก็ยิ่งไม่เข้าใจประโยคว่า ‘ระวังว่าวันหน้าในมือจะมีกระดาษชำระ แต่กลับไม่มีห้องส้วมให้เจ้าเข้าไปขี้’ ของชุยตงซาน
ชุยตงซานร้อนใจแทนลูกสมุนจริงๆ ขนาดหนึ่งแคว้นยังมีการแบ่งชะตาบู๊ว่าหนาบางหรือตื้นลึก หนึ่งทวีปจะไม่มีได้อย่างไร? เดิมทีแจกันสมบัติทวีปก็เป็นทวีปที่เล็กที่สุดในใต้หล้าไพศาลอยู่แล้ว ผลกลับกลายเป็นว่าซ่งจ่างจิ้งที่อายุยังน้อยก็ได้เลื่อนขั้นสู่ขอบเขตปลายทาง ตามมาติดๆ ด้วยหลี่เอ้อร์ที่พอเดินทางไปเยือนอุตรกุรุทวีป เพียงไม่นานก็แซงหน้าอีกฝ่ายไป ตอนนี้จึงกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบขั้นคืนความจริงแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังมีตาแก่ผู้นั้นอยู่อีกคน ว่ากันว่าตอนนี้นิสัยของเขาเปลี่ยนไปมาก เก็บตัวเงียบเป็นฤษีอยู่ในเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรีไปแล้ว
ดังนั้นหากไม่เป็นเพราะเจิ้งต้าเฟิงผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าล้มหัวทิ่มอยู่ในนครมังกรเฒ่า เปลี่ยนจากคนที่มีหวังว่าจะเลื่อนสู่ขอบเขตปลายทางมาเป็นคนไร้ค่า คาดว่าร้อยปีในอนาคต เส้นทางสายขาดใต้ฝ่าเท้าของผู้ฝึกยุทธ์แจกันสมบัติทวีปก็คงไม่ใช่ขอบเขตสิบอะไรอีกแล้ว แต่ถดถอยลงไปที่ขอบเขตเก้าโดยตรง บวกกับเฉินผิงอัน รวมไปถึงผู้ติดตามสี่คนที่จู่ๆ ก็โผล่มาในแจกันสมบัติทวีป เจ้าอวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ย ในฐานะคู่บ่าวใต้การปกครองของข้าชุยตงซานกลับไม่ใช้สมอง ไม่รีบไปนั่งยองตำแหน่งห้องส้วมของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบซะ ไม่อย่างนั้นวันหน้าคิดจะขี้ก็ไม่มีที่ให้ขี้แล้ว
อวี๋ลู่-อวี๋หลู เศษเดนสกุลหลูที่เหลืออยู่ ในฐานะรัชทายาทของราชวงศ์สกุลหลูที่แคว้นล่มสลาย หากไม่ใช่เศษเดนสกุลหลูยังจะเป็นอะไรได้อีก
ขอบเขตวิถีวรยุทธ์ของอวี๋ลู่ไต่ทะยานไปตลอดทาง ประเด็นสำคัญคือทุกก้าวที่เดินขึ้นบันไดไปยังนับได้ว่ามั่นคง นอกจากพรสวรรค์ในการเรียนวรยุทธ์ของตัวเขาเองที่ดีเยี่ยมที่สุดแล้ว ที่มากกว่านั้นยังเป็นเพราะฮ่องเต้สกุลหลูสติวิปลาส ถ่ายโอนโชคชะตาบู๊ครึ่งหนึ่งของแคว้นมาไว้บนร่างของรัชทายาทอวี๋ลู่
ในสายตาของอริยะแล้ว ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวไม่ใช่ก้อนหินในห้องส้วมที่ทั้งเหม็นทั้งแข็ง ทั้งเอาออกหน้าออกตาไม่ได้หรอกหรือ?
ชุยตงซานเป็นกังวลอย่างมาก คนโง่ใต้หล้านี้มีมากเกินไปแล้ว ไม่มีใครเข้าใจการมองการณ์ไกลของเขาเลย ก่อนหน้านี้เป็นกลุ่มเด็กๆ เซี่ยเซี่ย อวี๋ลู่ ตอนนี้ยังมามีคนข้างกายเฉินผิงอันอย่างพวกจูเหลี่ยน หลูป๋ายเซี่ยงนี่อีก
ยังคงเป็นเป่าผิงน้อยที่ดีที่สุด
เพียงแต่ว่าแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงนิสัยเจ้าอารมณ์ไปสักหน่อย
ชุยตงซานล้มตัวลงบนเตียง ยกมือลูบหน้าผากตัวเอง อยู่ดีๆ ก็รู้สึกอารมณ์เสียจึงถีบเจ้าแม่เทพแห่งผืนดินของอำเภอแห่งนี้กระเด็นออกไป
ร่างของสตรีแต่งงานแล้วกระแทกลงบนผนัง ต่อให้ระดับขั้นต่ำแค่ไหนก็ยังเป็นองค์เทพที่ได้รับควันธูปจากโลกมนุษย์ จึงไม่มีเสียงใดๆ เล็ดรอดออกมา นางรีบลุกขึ้นยืนอย่างเงียบเชียบ กล่าวอย่างกล้าๆ กลัวๆ “บ่าวโง่เขลา ขอเซียนซือโปรดระงับโทสะ”
ก่อนหน้านี้เทพเซียนต่างถิ่นผู้มีที่มาไม่แน่ชัดคนนี้คุมตัวนางจาก ‘จวน’ เรียบง่ายใต้ดินให้ไปโผล่ที่ศาลบู๊ของอำเภอ จากนั้นก็สะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้งกระชากร่างทองของอริยะแม่ทัพบู๊ออกมาจากเทวรูป สอบถามต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวแล้วคืนนั้นก็จัดการกับความแค้นที่เดิมทีหากไม่มีใครตายก็ไม่ยอมเลิกราให้ยุติลง อริยะควันธูปสองท่านจากศาลบุ๋นบู๊ที่ได้รับความช่วยเหลือจากคนผู้นี้ก็ได้ร่างทองที่บริสุทธ์กลับคืนมา แต่ที่ทำให้คนคิดเป็นร้อยตลบก็คิดไม่ตกเลยก็คือ ตระกูลที่มีลูกศิษย์สำนักเซียนแห่งนั้นกลับรู้สึกปิติยินดีชื่นมื่นกันไปทั้งจวน ราวกับว่าได้เปรียบครั้งใหญ่อย่างไรอย่างนั้น
จะไม่ให้นางกลัวได้อย่างไร
ผู้ฝึกลมปราณหนุ่มที่มีขอบเขตถ้ำสถิตคนหนึ่งกลับเกือบจะทำให้ฮวงจุ้ยของอำเภอเปลี่ยนแปลงไป คนต่างถิ่นที่นางใคร่ครวญดูแล้วคิดว่าอย่างน้อยก็ต้องเป็นเซียนดินผู้นี้ ไม่ควรไปมีเรื่องด้วย ขนาดองค์เทพที่ได้รับการสืบทอดอย่างถูกต้องสองท่านแห่งศาลบุ๋นบู๊ซึ่งตอนมีชีวิตอยู่หยิ่งทระนงอย่างถึงที่สุดก็ยังเต็มใจทำหน้าที่เป็นเทพทวารบาลให้กับเขา ยืนเฝ้าอยู่นอกโรงเตี๊ยมหนึ่งคืนเป็นการตอบแทนพระคุณ นางเป็นแค่เทพผืนดินเล็กๆ ที่ได้แต่กินเศษซากน้ำแกงเหลือของคนอื่น อีกทั้งยังเป็นสตรีคนหนึ่ง ไหนเลยจะกล้าวางตัวโอหังอวดดี
ชุยตงซานนั่งลงข้างโต๊ะ ด้านบนวางตำราของนักประพันธ์ปึกหนึ่งที่ซื้อติดมือมาระหว่างเดินทาง ส่วนใหญ่เป็นผลงานของนักประพันธ์ที่มีชื่อแคว้นชิงหลวน ชุยตงซานหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาเปิด เปิดอ่านได้ไม่กี่หน้าก็เริ่มอ้าปากหาว
เขากวักมือเรียก “เจ้ามาช่วยเปิดหนังสือให้ข้า”
นางรีบเดินไปหา ช่วยเปิดตำราให้กับ ‘เด็กหนุ่ม’ ที่หน้าตางดงามผู้นี้ นี่เป็นงานที่ต้องใช้ความประณีตบรรจง จำเป็นต้องคอยสังเกตสายตาของเซียนซืออย่างละเอียด เปิดเร็วไปหรือเปิดช้าไปต้องทำให้เซียนซือไม่สบอารมณ์อีกเป็นแน่
ชุยตงซานอ่านไปอีกไม่กี่หน้าก็โบกมือ “หลังจากนี้ไม่มีธุระของเจ้าแล้ว”
นางไม่กล้าเผยสีหน้าดีใจออกมาแม้แต่น้อย ขณะที่กำลังจะบอกลาก็พลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ชั่งน้ำหนักอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจบอกเรื่องที่เห็นมาก่อนหน้านี้ให้ชุยตงซานฟังทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ
นั่นก็คือเรื่องที่เฉินผิงอันออกไปเที่ยวนอกโรงเตี๊ยมในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เรื่องที่เขาไปเยือนศาลบู๊ พอออกมาก็เข้าไปในตรอกเปลี่ยวร้าง พบกับสาวงามในยันต์ผู้นั้น
ถึงอย่างไรนางก็เป็นเทพแห่งผืนดิน ร่างอยู่ใต้ดินก็เท่ากับอำพรางตัวอยู่ท่ามกลางลมและน้ำของพื้นที่แถบหนึ่ง เว้นจากว่าเป็นเซียนดิน ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางก็ยากที่จะค้นพบร่องรอยของนาง
ชุยตงซานฟังจบแล้วปากก็บอกว่านางมีคุณความชอบครั้งใหญ่ ครั้นจึงคลี่ยิ้มโบกชายแขนเสื้อหนึ่งที เกือบจะทำให้จิตวิญญาณของเจ้าแม่เทพแห่งผืนดินผู้นี้แหลกสลาย กว่าเขาจะหยุดมือก็เป็นช่วงที่คับขันอย่างถึงที่สุดแล้ว ถึงกระนั้นก็ยังช่วยนางสร้างร่างทองให้กลับมามั่นคงอีกครั้ง นี่ถึงทำให้นางสูญเสียตบะควันธูปที่บริสุทธิ์ไปแค่เจ็ดแปดตำลึงเท่านั้น ไม่อย่างนั้นอำเภอแห่งนี้ก็น่าจะได้เปลี่ยนเทพแห่งผืนดินคนใหม่แล้ว แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ควันธูปที่บริสุทธิ์เจ็ดแปดตำลึง นางก็ต้องใช้เวลาสะสมเกือบหกสิบปี ขณะเดียวกันกับที่รู้สึกหวาดผวาพรั่นพรึง ยังรู้สึกเสียดายเหมือนหัวใจหลั่งเลือดไปด้วย เพียงแต่นางก็ยังไม่กล้าแสดงความโกรธเคือง ได้แต่คุกเข่าอ้อนวอนน้ำตาคลอเจียนจะหยด “เซียนซือโปรดอภัยให้ด้วย”
ชุยตงซานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็คลี่ยิ้มกว้าง “เจ้าสร้างคุณความชอบใหญ่ขนาดนี้ ข้าควรแต่งตั้งเจ้าให้เป็นเทพแห่งภูเขาและสายน้ำที่ถูกต้องตามระบบสืบทอดของแคว้นชิงหลวนให้กับเจ้า ส่วนเรื่องที่เจ้าแอบสืบเรื่องของอาจารย์ข้าโดยพลการ ถือว่ามีโทษประหาร ความชอบก็ส่วนความชอบ โทษทัณฑ์ก็ส่วนโทษทัณฑ์ คุณความชอบไม่อาจลบล้างได้ การให้รางวัลและการลงโทษต้องแบ่งแยกอย่างชัดเจน เดิมทีเจ้าก็ต้องตายสถานเดียว ต่อให้ข้ามีใจอยากจะช่วยยกระดับตำแหน่งเทพของเจ้า รางวัลนี้ก็ไม่อาจหล่นลงบนหัวเจ้าได้ แต่ตอนนี้ เจ้าจงรอข่าวดีมาเคาะประตูบ้านอย่างว่าง่ายเถิด”
ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดเขาถึงยอมปล่อยนางไปในท้ายที่สุด ชุยตงซานกลับไม่ได้พูดถึง